มวลชนผู้หาญกล้า กับอุดมการณ์อันสูงสุด

เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน เวียดนามแบ่งเป็นประเทศเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ จากการแทรกแซงของมหาอำนาจในสมัยนั้น ต่อมาเกิดสงครามกลางเมืองในเวียดนามใต้ และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ส่งทหารมาถึง 5 แสนคนมาช่วยฝ่ายรัฐบาล เพื่อหวังหยุดยั้งฝ่ายเวียดกงที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเหนือที่ต้องการรวมประเทศเวียดนาม ตามอุดมการณ์ของลัทธิสังคมนิยม

ท่านติช นัท ฮันห์ พระผู้นำจิตวิญญาณชาวพุทธคนสำคัญชาวเวียดนาม เคยเล่าให้ฟังในสมัยนั้นที่ท่านเป็นผู้นำขบวนการอหิงสาของชาวพุทธที่ไม่ฝักหนึ่งฝ่ายใดว่า

“ ชาวเวียดนามผู้บริสุทธิ์หลายแสนคนถูกทหารฝ่ายรัฐบาลและทหารอเมริกันฆ่าตาย เพียงเพราะถูกป้ายสีว่าเป็นคอมมิวนิสต์ คนเหล่านี้ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ไม่เคยเกลียดชังเป็นการส่วนตัว”

แม้สงครามเวียดนามจะยุติลง แต่ได้ทำให้ผู้คนในสังคมเวียดนามแตกแยกร้าวลึกไปอีกนับสิบปี เพราะความเกลียดชังที่หยั่งรากลงไป

ทุกวันนี้หากไปถามคนเวียดนาม ที่เคยมีประสบการณ์วัยเด็กวิ่งหนีความตายสมัยสงคราม พวกเขาต่างชิงชังกับฝันร้ายในสงครามกลางเมืองที่ยังตามมาหลอกหลอน

แน่นอนว่าในสงครามครั้งนั้น ฝ่ายเวียดกงสามารถขับไล่รัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐได้สำเร็จ แต่ประชาชนอย่างพวกเขาแพ้เต็มประตู ผู้คนจำนวนมากสูญเสียคนในครอบครัว บ้านแตกสาแหรกขาด โดยที่ชีวิตก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ขณะเดียวกันอุดมการณ์สังคมนิยม อันเป็นความเชื่อสูงสุดที่พาคนตายไปจำนวนมาก ปัจจุบันก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าเวียดนามเป็นสังคมในอุดมคติแบบที่นักทฤษฎีทั้งหลายใฝ่ฝัน ขณะที่กำลังเดินตามระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เคยรังเกียจอย่างเงียบ ๆ

เช่นเดียวกับประชาชนในกัมพูชาและลาวที่เคยผ่านสงครามกลางเมือง ผู้คนตายกันเป็นเบือ ฆ่ากันเองจากความเกลียดชังและอุดมการณ์ต่างกันที่ถูกหล่อหลอมกันมา ทุกวันนี้หลายคนยังไม่ตื่นจากฝันร้ายที่รอดตายในวัยเด็ก

ผู้นำประเทศสังคมนิยมเหล่านี้ก็เริ่มเก็บอุดมการณ์เพื่อผู้ยากไร้ใส่กระเป๋า และหาทางครองอำนาจให้ยาวนานที่สุด กำจัดศัตรูทางการเมืองไปทีละคน พร้อมกับทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ประเทศไทยอาจจะโชคดีที่ผ่านพ้นสงครามกลางเมืองระหว่างผู้ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองไม่เหมือนกัน คือฝ่ายรัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มีผู้บาดเจ็บล้มตายไม่มาก ก่อนที่จะมีการเจรจาหยุดยิง คนไทยไม่ต้องหลั่งเลือดล้มตายกันเป็นแสนคนเหมือนอย่างประเทศเพื่อนบ้าน

แต่ใครจะคิดว่า ยุคที่โลกกำลัง CHANGE ในเมืองไทยกำลังจะเกิดสงครามกลางเมืองที่ต่างฝ่ายต่างสร้างความชอบธรรม และสร้างความเกลียดชังจนสุกงอมมากพอที่จะทำให้บรรดาคนเสื้อเหลือง และเสื้อแดงออกมาไล่ฆ่า ไล่ยิงอย่างป่าเถื่อนกลางถนนตอนกลางวันแสก ๆ ได้

การสร้างความเกลียดชังระหว่างทั้งสองฝ่ายเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จากประสิทธิภาพของสื่ออันทันสมัย โดยเฉพาะจากวิทยุ โทรทัศน์และสื่อออนไลน์

เป็นที่น่าเสียดายว่า ในยุคที่สื่อมวลชนมีเทคโนโลยีอันทันสมัย แต่สื่อบางฉบับกลับเสนอความจริงบางส่วน เพื่อให้ผู้บริโภคเชื่อในสิ่งที่สื่ออยากให้เชื่อ แทนที่จะเสนอข่าวอย่างครบถ้วนและให้คนอ่านตัดสินเอาเอง

ไม่ต่างจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่เกิดสงครามกลางเมืองในประเทศรวันดาระหว่างชนเผ่าสองฝ่ายที่อยู่ร่วมประเทศเดียวกัน เมื่อฝ่ายรัฐบาลที่เป็นชนเผ่าฮูตู ได้ใช้สื่อปลุกระดมผ่านทางสถานีวิทยุว่า ชนเผ่าตัวเองยิ่งใหญ่เหนือกว่าพวกตุ๊ดซี่ที่เป็นชนกลุ่มน้อย และเป็นแค่แมลงสาบต้องขยี้ให้ตายหมด ผลก็คือ บรรดาชายฉกรรจ์เผ่าฮูตูถือมีดดาบ ออกมาตั้งด่านเถื่อนกลางถนน ตรวจรถทุกคันหากเป็นพวกตุ๊ดซี่ก็ฆ่าทิ้งกลางถนน

ไม่ถึงเดือนประชากรตุ๊ดซี่ถูกสังหารหมู่ไปนับล้านคน และอพยพหนีตายออกนอกประเทศอีกหลายล้านคน แต่ไม่กี่เดือนกองทัพของชาวตุ๊ดซี่ก็ทำสงครามยึดประเทศรวันดาได้ คราวนี้ชาวฮูตูต้องอพยพออกนอกประเทศบ้าง เพราะกลัวการล้างแค้นเอาคืน และทุกวันนี้แม้เหตุการณ์จะสงบลง แต่ประชาชนทั้งสองเผ่าก็ยังนอนตาไม่หลับ ไม่แน่ใจว่า คืนใดจะมีการล้างแค้นเอาคืนอีกหรือไม่

สงครามกลางเมืองทั่วโลกที่ผ่านมา เป็นเรื่องของความเชื่อ ปัญหาด้านเชื้อชาติ และอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างอ้างสิ่งที่ตัวเองเชื่ออย่างหนักแน่น จนพัฒนาไปสู่ความขัดแย้ง ยากที่จะสมานฉันท์กันได้ นอกจากการใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน

สงครามกลางเมืองในประเทศนี้กำลังเริ่มต้นแล้ว ฝ่ายหนึ่งยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ แต่ไม่เคยบริหารประเทศ นอกจากเร่งรัดอนุมัติเงินงบประมาณหลายแสนล้านบ้านเพื่อประโยชน์ของพรรคพวกตัวเอง และทำทุกอย่าง แม้กระทั่งจะแก้กฎหมายเพื่อจะฟอกให้นายใหญ่ของตัวเองที่ทำผิดกฎหมายชัดเจนกลับมามีอำนาจอีกครั้ง โดยอ้างอุดมการณ์ท่องคาถาว่า เป็นฝ่ายปกป้องประชาธิปไตย

ขณะที่อีกฝ่ายอ้างคุณธรรมนำหน้า โจมตีคนรอบข้างที่เห็นแตกต่าง ทำทุกอย่างเพื่อจะล้มล้างรัฐบาล แม้ต้องละเมิดกฎหมาย หรือสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติเพียงใด โดยท่องคาถาชูอุดมการณ์ว่า เป็นฝ่ายปกป้องสถาบัน

ขณะที่เขียนต้นฉบับอยู่นี้ แกนนำทั้งสองฝ่ายกำลังวางแผนทางยุทธวิธีเพื่อต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทั้งสองฝ่ายมีมวลชนเสื้อแดงและเสื้อหลวงสนับสนุนอยู่จำนวนมาก และใช้สื่อปลุกเร้าจิตใจของมวลชนให้ฮึกเหิม กล้าต่อสู้ กล้าเสียสละกับอุดมการณ์ของตัวเอง

สังคมไทยอาจจะต้องเปลี่ยนผ่านด้วยสงครามกลางเมืองจริง ๆ กว่าจะเรียนรู้ว่า ประชาชนผู้บาดเจ็บล้มตายคนแล้วคนเล่าคือเหยื่อของอุดมการณ์ที่ไม่เคยจีรังยั่งยืน และผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจากอุดมการณ์เหล่านี้คือ ผู้ปกครองทุกยุคทุกสมัย

ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาสอนให้เรารู้ว่า มวลชนผู้หาญกล้า สุดท้ายก็คือเหยื่อ

เราตกเป็นเหยื่อมากพอหรือยัง

Comments

  1. VARANONT

    ถ้าสนใจเรื่องสงครามกลางเมืองใน Rwanda หาดูได้ในหนังเรื่อง Hotel Rwanda นำแสดงโดย ดอน ชีเดิล ครับ

  2. yuttipung

    สมัยเด็กที่เคยเห็นภาพปิกัสโซ่ข้างบน แล้วบอกว่าสะท้อนให้เห็นถึงภาพสงครามกลางเมืองในสเปน(ถ้าจำไม่ผิด) ผมดูไม่ออกเลยว่ามันไม่หมายถึงอะไร แต่พอตอนนี้เริ่มเห็นถึงความสับสนวุ่นวายในบ้านเมือง ความแตกแยก แบ่งเขาแบ่งเรา มองผู้อื่นไม่ใช่คนปรากฎในภาพนี้ชัดเจน

  3. คนคู่

    ต่อสู้เอาชนะกันโดยลืมไปว่าความแตกต่างทางความคิดคือรากเหง้าของประชาธิปไตย อนิจจา!อำนาจ

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.