21 มีนาคม ที่ผ่านมาของทุกปีเป็น วันป่าไม้โลก (World Forestry Day)
วันป่าไม้โลก มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรป่าไม้ตลอดจนประโยชน์และผลิตผลต่างๆ ที่ได้รับจากป่า
สำหรับป่าไม้ของไทย พบว่าพื้นที่ป่าไม้เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ที่เคยมีอยู่ประมาณร้อยละ 50 ของพื้นที่ประเทศหรือประมาณ 150 ล้านไร่ เหลือเพียง 100 ล้านไร่ หรือร้อยละ 30 ของพื้นที่ประเทศ
หมายความว่าที่ผ่านมา พื้นที่ป่าไม้ลดลงกว่า 50 ล้านไร่ หรือ เฉลี่ยลดลงปีละกว่า 1 ล้านไร่
คำถามใหญ่คือ ป่าลดลงเพราะสาเหตุอะไร
เมื่อห้าสิบปีก่อน ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 30 ล้านกว่าคน แต่ปัจจุบันมีประชากรเพิ่มขึ้นเกือบ 70 ล้านคนเรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นเท่าตัว
แน่นอนว่า เมื่อคนมากขึ้น ประชากรขยายตัว ก็มีการใช้ประโยชน์จากป่ามากขึ้นไม่ว่าการเปลี่ยนพื้นที่ที่เคยเป็นป่า เป็นพื้นที่เกษตร ทำไร่ ทำนา หรือเป็นบ้านพักอาศัยจนผืนป่าหลายแห่งในอดีต กลายเป็นที่ตั้งของอำเภอหลายแห่ง โดยเฉพาะอาชีพหลักของคนไทยในอดีตคือการทำไร่ไถนา ซึ่งต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก
ป่าดงพญาเย็น ป่าดงดิบผืนใหญ่ที่กั้นระหว่างที่ราบภาคกลางกับที่ราบสูงอีสาน ตลอดเส้นทางจากสระบุรีไปโคราชปัจจุบันก็กลายเป็นไร่นาและตัวอำเภอหลายแห่ง
ป่าดงดิบผืนใหญ่ที่มีเสือโคร่งมากมายในนิยาย ล่องไพร ของน้อย อินทนนท์ ปัจจุบันก็กลายเป็นเรือกสวนไร่นา ของชาวจังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร คงเหลือแต่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์
ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นทั่วประเทศ แต่ปัญหาการเพิ่มขึ้นของประชากร คงไม่ใช่สาเหตุสำคัญเพียงอย่างเดียว
ทิศทางการพัฒนาประเทศ ไม่ว่านโยบายของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมาในอดีตที่ส่งเสริมให้คนปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นอ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน หรือยางพาราอันเป็นนโยบายที่มุ่งให้มีการเปลี่ยนพื้นที่ป่าจำนวนหลายสิบล้านไร่เป็นพื้นที่เกษตรทั้งสิ้น
ยังไม่รวมถึงนโยบายการให้สัมปทานเหมืองแร่ในพื้นที่ป่าหลายล้านไร่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ยังไม่รวมถึงการสร้างเขื่อนจำนวนมากที่ทำให้ป่าหลายล้านไร่กลายเป็นอ่างเก็บน้ำ
แน่นอนว่า การพัฒนาประเทศต้องมีการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติดังนั้นการใช้พื้นที่ป่าคือเป้าหมายในการบริโภคอันดับแรก
แต่เหตุใดนโยบายการพัฒนาที่ผ่านมา กลับทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำในสังคมมีมากขึ้นตามทิศทางการพัฒนาประเทศ
คนไทยรวยที่สุด 20% มีรายได้เกือบ 60% ของประเทศที่น่าสนใจคือ ช่องว่างระหว่างรายได้ของไทยมีมากกว่าประเทศอย่าง อินเดีย หรือ จีน เสียอีก
ในขณะเดียวกัน ยิ่งเปิดพื้นที่ป่ามากเพื่อเปลี่ยนเป็นที่ดิน ปรากฏว่าที่ดินจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในคนจำนวนน้อยของสังคม ประมาณว่า ที่ดินที่มิใช่ผืนป่า ร้อยละ 90 อยู่ในมือของคนร้อยละ 10 ของประชากรไทยเท่านั้น
หรือยิ่งเปิดพื้นที่ป่า ยิ่งมีปัญหาช่องว่าง และความเหลื่อมล้ำของคนไทยหรือไม่
คราวนี้ลองหันมามองต่างประเทศกันบ้างว่า ปัญหาประชากรที่เพิ่มขึ้น กับทิศทางการพัฒนาประเทศเป็นปัจจัยสำคัญในการลดลงของพื้นที่ป่าอย่างไร
หากเราพิจารณาพื้นที่ป่าเป็นสัดส่วนต่อพื้นที่ประเทศแล้ว จะพบว่าแต่ละประเทศมีพื้นที่ป่าคิดเป็นสัดส่วนดังนี้:
- จีน 18.21%
- ญี่ปุ่น 67.00%
- เกาหลีใต้ 64.00%
- เยอรมนี 31.70%
- สหรัฐอเมริกา 30.84%
- ลาว 71.60%
- พม่า 63.64%
- มาเลเซีย 59.50%
- กัมพูชา 51.56%
- อินโดนีเซีย 46.46%
- เวียดนาม 37.14%
- ไทย 29.00%
- ฟิลิปปินส์ 23.87%
- สิงคโปร์ 3.00%
จะเห็นว่าประเทศไทยมีสัดส่วนพื้นที่ป่าน้อยกว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้ หลายประเทศมีประชากรใกล้เคียงหรือมากกว่าไทย และประชากรทำการเกษตรเป็นหลัก แต่มีพื้นที่ป่าสูงกว่า อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา พม่า มาเลเซีย
ไม่นับรวมประเทศอุตสาหกรรมและมีประชากรหนาแน่นกว่าไทย อย่าง ญี่ปุ่น กลับสามารถรักษาปริมาณพื้นที่ป่าไว้ได้สูงมากอย่างน่าทึ่ง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
หรือเป็นเพราะทิศทางการพัฒนาประเทศที่ผ่านมามีปัญหา ทำให้การจัดการป่าไม้ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่าย
และปัจจุบันนี้คงไม่ต้องมานั่งถกเถียงกันว่า ควรจะอนุรักษ์ป่ากันดีหรือไม่ แต่จะหาวิธีการอย่างไรที่ทำให้การพัฒนาประเทศกับการอนุรักษ์ป่าไม้นั้น เป็นสิ่งที่สามารถทำให้เกิดควบคู่กันไปได้และพึงระลึกไว้เสมอว่า ที่ผ่านมา พวกเราทุกคนล้วนมีส่วนในการทำลายป่า ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมกันทั้งสิ้น
น้ำแล้งทุกวันนี้ก็อย่าไปโทษใครเลย นอกจากพวกเราทุกคน
กรุงเทพธุรกิจ 31 มีค. 59