“ผมเกลียดทุกๆ นาทีของการฝึกซ้อม แต่ก็บอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า อย่ายอมแพ้ จงอดทนไว้ แล้วค่อยไปใช้ชีวิตที่เหลือในฐานะแชมป์”
มูฮัมหมัด อาลี (๒๔๘๕-๒๕๕๙)
เมื่อสี่สิบปีก่อน สมัยเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม การถ่ายทอดสดกีฬาทางโทรทัศน์แทบจะนับครั้งได้ ไม่เหมือนปัจจุบัน ที่มีถ่ายทอดสดกีฬาให้เห็นวันละหลายรายการ
รายการถ่ายทอดสดมักมีการประกาศล่วงหน้าให้ทราบล่วงหน้านาน คนดูจะเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ถือเป็นโอกาสพิเศษอันหายาก ตอนนั้นจำได้แม่นกับคู่มวยหยุดโลกระหว่างโจ ฟราเซียร์ และมูฮัมหมัด อาลี ยอดนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวท ผู้เขียนเฝ้าอยู่หน้าจอทีวีขาวดำ ถ่ายทอดสดไปทั่วโลกจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ แลกหมัดอย่างเมามัน กลายเป็นคู่ประวัติศาสตร์ มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย ก่อนที่ อาลี จะไล่ถลุงจน ฟราเซียร์ ตัดสินใจยอมแพ้ไม่ออกจากมุมในยกที่ ๑๕ จนเป็นที่มาของคำว่า “Thrilla in Manila”
ได้เห็นลีลาการชกของ มูฮัมหมัด อาลี เจ้าของฉายา สิงห์จอมโว กลายเป็นแฟนคลับของแกมาจนถึงวันนี้
สมัยนั้นมวยรุ่นใหญ่ระดับเฮฟวีเวท มักได้รับคำเยาะเย้ยว่า ต่อยช้า ลีลาการออกหมัดไม่ค่อยงดงามเพราะนักมวยตัวใหญ่ แบกน้ำหนักไม่ต่ำกว่า ๙๐ กิโลกรัม ชกกันปานช้างสารชนกัน
แต่อาลีสามารถเต้นฟุตเวิร์กได้ตลอดเวลาอย่างสวยงามและมีลีลาเหมือนมวยรุ่นเล็ก แต่ก็ยังปล่อยหมัดได้คมกริบและหนักหน่วงถึงขนาดสามารถที่จะชกพร้อมกับเต้นถอยหลังได้ จึงทำให้อาลีได้รับนิยามว่า “โบยบินเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง”(Float like a Butterfly, Sting Like a Bee) ชนะใจคนทั้งโลก
ผู้เขียนชอบ อาลี จากลีลาการออกหมัดในสังเวียน ต่อมาก็ทราบว่า อาลี ออกหมัดนอกสังเวียนมวยได้ประทับใจกว่าในสังเวียนเสียอีก
แคสเชียส เคลย์ เกิดที่เมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี้ ในปีพ.ศ. ๒๔๘๕ เมื่ออายุได้เพียง ๑๒ ปี เริ่มหัดต่อยมวยโดยมีตำรวจเป็นครูฝึก เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กแถวบ้านขโมยรถจักรยานของตัวเอง
หัดชกมวยไปมา ครูฝึกก็รู้ดีถึงพรสวรรค์ของลูกช่างทาสี เคลย์จึงเบนเข็มมาเอาดีทางการชกมวยเอาชนะคู่ต่อสู้มาตลอด พออายุได้ ๑๘ ปี ก็ติดทีมชาติสหรัฐอเมริกา รุ่นไลท์เฮฟวี่เวท และฝ่าฟันจนได้เหรียญทองกีฬาโอลิมปิคที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี
อาลีได้เดินทางกลับสหรัฐอเมริกาเยี่ยงวีรบุรุษ แต่เมื่อเขาไปเลี้ยงฉลองตำแหน่งในร้านอาหารแห่งหนึ่งได้รับการปฏิเสธ ด้วยข้ออ้างว่าร้านนี้บริการเฉพาะคนขาว อาลีประท้วงอย่างรุนแรงด้วยการขว้างเหรียญทองลงแม่น้ำ(หลายปีต่อมา คณะกรรมการโอลิมปิคสากลได้มอบเหรียญรางวัลใหม่เพื่อเป็นเกียรติให้แก่เขา)
อาลีมุมานะในการฝึกซ้อม และหันมาชกมวยอาชีพไต่อันดับขึ้นเรื่อย ๆ จนคว้าแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทแบบพลิกความคาดหมายหลังจากเอาชนะ ซอนนี่ ลิสตัน นักมวยจอมโหดอดีตนักโทษ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ทำให้อาลีกลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน
อาลีไม่แพ้ใครบนสังเวียนนานหลายปี จากนั้นอาลีได้ทำให้โลกตะลึง เมื่อเขาประกาศว่าเขาหันมานับถือศาสนาอิสลามและได้เปลี่ยนชื่อจากเคสเซียส เคลย์ มาเป็น มูฮัมหมัด อาลี โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการใช้ชื่อเดิมซึ่งเป็น “ชื่อของทาส”
ในช่วงเวลานั้น ทัศนะการดูถูก เหยียดผิวคนดำในสหรัฐอเมริการุนแรงมาก อาลีได้เข้าร่วมขบวนการต่อสู้เพื่อคนมุสลิมดำของ Malcolm X ผู้นำผิวดำสายเหยี่ยว อาลีเป็นคนพูดเก่ง จนได้ฉายาว่า “สิงห์จอมโว” เขามักวิพากษ์วิจารณ์สังคมเสมอ และที่มีผลสะเทือนไปทั่วสหรัฐก็คือ
ในปีพ.ศ. ๒๕๑๐ เมื่อรัฐบาลสหรัฐส่งทหารจำนวน ๕ แสนคน เข้าร่วมในสงครามเวียดนาม อาลีได้รับหมายเกณฑ์เพื่อเข้าร่วมรบในสงคราม เขาปฏิเสธการถูกเกณฑ์ทหารโดยอ้างคำสอนของศาสนาไม่ให้ไปเข่นฆ่าผู้คน ดังนั้นการเกณฑ์เป็นทหารจึงเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้และด้วยประโยคอมตะว่า “ผมจะไม่เคยทะเลาะกับพวกเวียดกง ไม่มีเวียดกงคนไหนมาด่าผมว่าเป็น นิโกร”
ผลที่ได้รับจากการหนีทหารก็คือ เขาถูกตัดสินจำคุก ๕ ปี และปรับเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐในระหว่างการยื่นอุทธรณ์อาลีถูกสั่งห้ามชกมวยอาชีพ ทำให้ตำแหน่งแชมป์โลกหลุดลอยไปทันที
“พวกเขาทำในสิ่งที่คิดว่าถูก ผมก็ทำในสิ่งที่ผมคิดว่าถูก”
อาลีกล่าวภายหลังจากที่มีคำพิพากษาให้จำคุก จนกระทั่งหลายปีต่อมาศาลสูงของสหรัฐฯ มีคำตัดสินว่าเขาไม่มีความผิด
ความกล้าหาญครั้งนี้ของอาลี ได้เป็นแรงบันดาลใจให้ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ผู้นำชาวผิวดำออกมาต่อต้านสงครามเวียดนาม ของรัฐบาลสหรัฐฯเป็นครั้งแรกด้วย
หลังจากถูกสั่งห้ามต่อยมวยนานสามปี เขาก็กลับมาทวงแชมป์โลกได้อีกกลายเป็นแชมเปี้ยนเฮฟวีเวทสามสมัยคนแรกในประวัติศาสตร์ ผ่านคู่ชกระดับมหากาฬมาแล้วหลายคน อาทิ โจ ฟราเซียร์ จอร์จ โฟร์แมน ลีออง สปริงส์ และ ลาร์รี่ โฮมลส์ ก่อนจะอำลาวงการในวัย ๓๙ ปีด้วยสถิติการชกบนเวที ๖๑ ครั้ง ชนะ ๕๖ ครั้ง แพ้ ๕ ครั้ง
อาลีเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการพูดมาก แถมยังเป็นนักมวยรายแรกที่กล้าทำนายผลการชกของตัวเองล่วงหน้า แม้จะฟังดูว่าอวดตัวเอง แต่อาลีก็สามารถทำได้ในหลายต่อหลายครั้ง จนได้ฉายาว่า สิงห์จอมโว จากคำพูดของเขาว่า
“ผมยอดเยี่ยมที่สุด…ผมพูดแบบนี้ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะรู้ว่าผมจะเป็นอย่างนั้นซะอีก”
หลายปีต่อมาเขาตรวจพบว่าตนเองเป็นโรคพาร์คินสัน ซึ่งเชื่อว่าอาจเกิดจากการถูกต่อยเป็นจำนวนนับหมื่นครั้งบนสังเวียน
ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์ เมื่อถามว่า ทำไมเขาถึงเปลี่ยนมาเป็นมุสลิม อาลีตอบว่า
“ คุณถามว่าทำไมผมเปลี่ยนศาสนาเป็นมุสลิม เพราะผมไม่เคยเจอความรักอันยิ่งใหญ่ ผมไม่เคยเจอผู้คนในศาสนาที่กอดกัน หอมแก้มกัน ทำละหมาดวันละ ๕ เวลา เดินทางไปประเทศมุสลิมอื่น ๆด้วยคำพูดว่า “อัสลามูอาลัยกุม ” ความหมายก็คือ ขอความสันติสุข หรือความสุข จงมีแด่ท่านที่นี่คือบ้านของคุณ คนเหล่านี้คือพี่น้องคุณ ผมเลือกมุสลิม เพราะผมสามารถเชื่อมโยงผู้คนได้
ตอนที่ผมเป็นคริสเตียนในอเมริกา ผมไปโบสถ์ของคนขาวไม่ได้ คนคริสเตียน(คนขาว) พวกเขาทำให้พวกตัวเองดูเป็นคนดีเท่านั้น แต่ไม่ใช่พวกผม
ผมรู้จักพระเยซู ในฐานะคนขาว ผมบรอนส์ ตาสีฟ้า ผมดูรูปภาพพระเจ้าในศาสนาคริสต์ เป็นคนขาวทั้งหมด ทำภาพมีเทวดาเป็นคนขาวทั้งหมด ทำไมคนดำจึงอยู่ในสวรรค์ไม่ได้ ทำไมคนเม็กซิโกจึงไม่ได้โบยบินในสวรรค์บ้างมีแต่เทวดาคนขาว
พระเยซูผิวขาว พระนางมารีอาผิวขาว แม้แต่ทาร์ซานก็ผิวขาว สิ่งดี ๆจะเป็นสีขาวแต่สิ่งไม่ดีจะเป็นสีดำ สีดำในโลกตะวันตก ไม่ใช่สิ่งดีเลย คำว่าข่มขู่ ใช้คำว่า แบล็คเมล์ คำว่า แมวสีดำ เป็นลางร้าย
สิ่งที่ทำให้ผมอิสระได้คือออกไปจากสังคมเหล่านี้ ไปพบปะกับพี่น้องในซาอุดิ ในปากีสถาน มุสลิมเชื่อมโยงให้เป็นพี่น้องกันผมได้นอนค้างในพระราชวังไคโร เพราะผมเป็นพี่น้องมุสลิม แต่ในฐานะคริสเตียน ผมไม่สามารถพบปะกับผู้นำคริสเตียนได้”
หลังจากแขวนนวม มูฮัมหมัด อาลี มักได้รับเชิญให้ไปบรรยายในมหาวิทยาลัย และสถาบันต่าง ๆ จากบุคคลิกอันโดดเด่น คนกล้าพูด กล้าคิด กล้าวิจารณ์สังคม การเมืองมาตลอด ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนทั่วโลกและได้การคัดเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปีจากหลายสถาบัน และปีพ.ศ. ๒๕๓๙ เขาได้รับเกียรติให้เป็นผู้วิ่งถือคบเพลิงโอลิมปิกคนสุดท้าย ที่นครแอตแลนต้า ด้วยมืออันสั่นเทา
พ.ศ. ๒๕๔๘ อาลี ได้รับเหรียญ Medal of Freedom จาก ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เป็นเกียรติประวัติสูงสุดสำหรับพลเมืองอเมริกัน
๓ มิถุนายน ที่ผ่านมา มูฮัมหมัด อาลี วัย ๗๔ ปี เสียชีวิตอย่างสงบจากโรคพาร์คินสัน
ตลอดชีวิต อาลี เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนผิวสีดำ ให้ก้าวสู่ความฝันในวงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกีฬา บันเทิง หรือการเมือง
ไทเกอร์ วูดส์ เคยกล่าวไว้ว่า มูฮัมหมัด อาลี ผลักให้เขากลายเป็นแชมป์โลก เพื่อให้กีฬากอล์ฟยอมรับคนผิวดำ ที่ตอนนั้นมีแต่คนขาวเป็นแชมป์
อาลีเป็นไอดอลของคนทั่วโลกทุกยุคทุกสมัย จากการเป็นยอดนักสู้ เก่ง กล้าหาญ ยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อทั้งในและนอกสังเวียนมวย
คงมีไม่กี่คนที่กล้าทำนายชีวิตตัวเอง ด้วยคำพูดของตัวเองว่า
“ความผิดพลาดเดียวของผม คือ ผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วผมยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ขนาดไหน”
สารคดี กค. ๒๕๕๙