ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมไปไหว้บรรพบุรุษในเทศกาลเช็งเม้ง
ลูกหลานจีนในเมืองไทยคงทราบดีว่า วันที่ ๕ เมษายนของทุกปีคือวันเช็งเม้ง ตามปฏิทินจีนถือว่าช่วง ๑๕ วันแรกของเดือน ๓ หรือตรงกับปลายมีนาคมต่อต้นเมษายน คือช่วงเวลาของการไหว้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ
เช็งเม้งเป็นภาษาจีนกลาง เช็ง แปลว่า สะอาด บริสุทธิ์ เม้ง แปลว่า สว่าง รวมความแล้วหมายถึง สดชื่น สว่าง และแจ่มใส เพราะช่วงเวลานั้นเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศสดชื่น หญ้าขึ้นเขียว ต้นไม้เริ่มผลิดอกออกใบ
ผมจำได้ว่าตอนเป็นเด็กจะตั้งหน้าตั้งตารอวันสำคัญในรอบปี ๒ วัน คือวันตรุษจีน ที่คนในครอบครัวและญาติพี่น้องได้มาพบปะกัน อาป๊าอาม้าจะพาไปบ้านอากงอาม่าหรือคุณตาคุณยายแถวเยาวราช นอกจากจะได้กินอาหารไหว้เจ้าแสนอร่อย ยังได้รับอั่งเปาจากอากงอาม่าและอาอี๊หรือคุณน้าทั้งหลายเป็นเงินหลายสิบบาท และอีกวันคือวันเช็งเม้ง ที่มีโอกาสได้เจอญาติๆ ได้ไปเที่ยวชายทะเล หลังจากไหว้บรรพบุรุษที่สุสานแถวอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
พอเติบโตขึ้น มีภาระมากขึ้นทั้งการศึกษา หน้าที่การงาน สังคมเพื่อนฝูง จนละเลยเรื่องเล็กๆ ภายในครอบครัว ไม่มีโอกาสไปไหว้บรรพบุรุษนานนับสิบปี จน ๒-๓ ปีมานี้ผมรู้สึกอยากหาโอกาสไปไหว้บรรพบุรุษในวันเช็งเม้ง หากจัดเวลาล่วงหน้าได้ก็จะอาสาขับรถพาอาป๊าอาม้าและอาอี๊ไปไหว้สุสานอากงอาม่าด้วยกัน
เราออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่หกโมงเช้า แวะรับทุกคนตามบ้าน ช่วงเวลาบนรถก็ถือโอกาสถามไถ่ทุกข์สุขญาติผู้ใหญ่ที่นานๆ จะได้พบกัน โชคดีที่ปีนี้เรามาวันธรรมดา คนไม่แออัดมากนัก เทียบกับปีก่อนที่มาวันอาทิตย์ ผู้คนมาไหว้บรรพบุรุษกันหนาแน่นราวกับมาชมมหกรรมคอนเสิร์ต รถติดยาวหลายชั่วโมง
พอขับรถไปถึงสุสาน สิ่งแรกที่ต้องทำคือการไหว้เทพยดาฟ้าดินที่คอยดูแลปกป้องสุสานแห่งนี้ หลังจากนั้นเราก็ขับรถตรงไปยังหลุมฝังศพหรือฮวงซุ้ยของบรรพบุรุษที่ตั้งอยู่บนเชิงเขาแห่งหนึ่ง พอไปถึงจะมีเด็กรับจ้างแถวนั้นอาสานำผ้าใบมากางให้เพราะแดดแรงมาก และใช้เวลาไหว้บรรพบุรุษหลายชั่วโมง
เครื่องเซ่นไหว้ถูกลำเลียงออกมาจัดวางหน้าสุสาน ประกอบด้วยอาหารหลายอย่าง มีข้าว หมูกรอบ เป็ดพะโล้ บะหมี่ ซาลาเปา ไข่ต้ม องุ่น ส้ม กล้วยหอม น้ำชา บรั่นดี เป็นต้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทุกคนก็จุดธูปคนละ ๓ ดอกบอกอากงอาม่า ทำอย่างนี้จนครบ ๓ ครั้ง ตามหลักแล้วต้องทำพิธีให้เสร็จก่อนเที่ยงวัน
ระหว่างนี้เราจะช่วยกันทำความสะอาดบริเวณฮวงซุ้ย เหมือนกับได้ทำความสะอาดบ้านของอากงอาม่า แล้วโปรยกระดาษหลากสีบนเนินฮวงซุ้ยที่ปูด้วยหญ้าตกแต่งให้สวยงาม สุดท้ายก็เผากระดาษเงินกระดาษทองตามประเพณีจีน กราบลาบรรพบุรุษ และจุดประทัดเป็นอันเสร็จพิธีก่อนเที่ยงพอดี
กลอนจีนโบราณกล่าวไว้ว่า “สุสานบนเขาเหนือใต้ ผู้คนกราบไหว้วันเช็งเม้ง กระดาษเงินทองปลิวว่อนดั่งผีเสื้อ เลือดและน้ำตาหลั่งชโลมดอกตู้เจียนให้แดงสะพรั่ง”
ช่วงเวลานั้นเรารู้สึกจริงๆ ว่านี่คือการแสดงความกตัญญูแก่อากงอาม่า แม้ท่านจะจากไปนานแล้ว ลูกหลานก็ยังระลึกถึง
ตามปรกติเราจะล้อมวงกินอาหารเซ่นไหว้ตรงหน้าสุสานกันเลย แต่วันนี้อากาศร้อนจัด เมฆฝนดำทะมึนเริ่มตั้งเค้า จึงตัดสินใจมากินข้าวเที่ยงกันภายในอาคารของสุสาน ขับรถออกมาได้สักพัก ฝนก็กระหน่ำลงมาไม่ขาดสายนานนับชั่วโมง
เรากินข้าวกันกลางสายฝนในหมู่ญาติพี่น้อง ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ มองไปรอบๆ เห็นครอบครัวอื่นล้อมวงกินข้าวส่งเสียงแข่งกับพายุฝนฟ้าคะนอง ใบหน้าแต่ละคนอาบด้วยรอยยิ้ม ดูมีความสุข อบอุ่นที่ได้มาพบปะกันในสุสานแห่งนี้ ลูกหลานช่วยกันจัดเตรียมอาหาร ดูแลผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นบรรยากาศที่เราไม่ได้เห็นนานแล้ว
ชีวิตผู้คนในเมืองใหญ่ทำให้คนในครอบครัวสัมพันธ์กันน้อยลง เรามีโทรศัพท์มือถือไว้ติดต่อกัน มีคอมพิวเตอร์ไว้ท่องเน็ต มีเฟซบุ๊กหรือไฮไฟว์หามิตรจากทั่วโลก บางคนกลับบ้านก็ขังตัวเองตามลำพังกับโลกเสมือนในจอคอมพิวเตอร์
ดูเหมือนยิ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกมาก ผู้คนในโลกจริงกลับลดลงเรื่อยๆ มีแต่คนในไซเบอร์สเปซ เรายิ่งเหงา ยิ่งว้าเหว่ขึ้นทุกที
สุสานวันเช็งเม้งอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความอบอุ่นที่เราคาดไม่ถึง
Comments
เขาถึงว่าขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธีกรรมต่างๆนี่แหละคือเครื่องมือที่แท้จริงในการสร้างการมีส่วนร่วมทุกระดับ หาใช่เทคโนโลยีไม่
ของไหว้เจ้าบ้านผมนี่ไม่เหมือนกันเลยแฮะ
แต่ว่ากันตามตรง การยึดประเพณีเหล่านี้ก็ไม่ควรยึดกับทุกอย่างนะครับ อย่างฮวงซุ้ยตรงชลบุรีนั่นยึดหลักฮวงจุ้ย จินตนาการไม่ออกเลยว่าซื้อที่ขนาดใหญ่มีภูเขาใกล้ๆ นั้น ใช้เงินไปเท่าไหร่
ที่บ้านก็ไปเยี่ยมสุสานแม่ เราเชื่อว่าแม่อยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์มีความสุขชั่วนิรันดร์ แต่เหตุผลที่พวกเราเจอกันที่สุสานก็เพื่อ พี่ๆ น้องๆ หลานๆ จะได้ใช้เวลาด้วยกัน คุย ปรึกษา สอบถามข่าวคราว แล้วกินอาหารร่วมกัน เป็นเวลาสุดแสนเศษจริงๆ
ที่บ้านก็ไปเยี่ยมสุสานแม่ เราเชื่อว่าแม่อยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์มีความสุขชั่วนิรันดร์ แต่เหตุผลที่พวกเราเจอกันที่สุสานก็เพื่อ พี่ๆ น้องๆ หลานๆ จะได้ใช้เวลาด้วยกัน คุย ปรึกษา สอบถามข่าวคราว แล้วกินอาหารร่วมกัน เป็นเวลาสุดแสนวิเศษจริงๆ
เมื่อตะกี้ พิมพ์ตก ขอโทษด้วย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พิมพ์ลง