การประชุมสุดยอดของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก (UNFCCC) เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อเดือนธันวาคม 2552 ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะประเทศมหาอำนาจส่วนใหญ่ ยังยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศตนเอง
ความฝันถึงการตั้งเป้าหมายร่วมกันเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิของโลกลดลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส จึงเป็นเพียงสัญญาใจของแต่ละประเทศ จะมีใครบังคับก็หาไม่
แต่ภายหลังการประชุม ดูเหมือนธรรมชาติจะแสดงพลังออกมาเตือนมนุษย์ชาติทันที ว่าหากขืนยังเล่นลิ้นทางการทูต ไม่ยอมออกกฎกติกามารยาท ให้ทั่วโลกปฏิบัติเพื่อลดปัญหาโลกร้อน ชาวมนุษย์ก็เตรียมตัวนับถอยหลังได้
ทางซีกโลกเหนือเกิดอากาศหนาวจัดเป็นประวัติการณ์ หลายพื้นที่อุณหภูมิลดลงต่ำกว่า – 40 องศาเซลเซียส พายุฤดูหนาวพัดทั่วยุโรปทำให้ มีพายุหิมะเกิดขึ้นไปทั่ว มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน หลายประเทศในยุโรปต้องยกเลิกเที่ยวบินหลายร้อยเที่ยว ขณะที่ทางหลวงทั่วยุโรปติดขัด ประชาชนติดอยู่ในรถยนต์หลายแสนคน บางแห่งมีหิมะหนาถึง 20 นิ้ว ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกหลายนัดในประเทศอังกฤษต้องเลื่อนการแข่งออกไปเพราะหิมะตกหนัก แต่บางพื้นที่ของอิตาลีกลับเผชิญฝนตกหนัก จนเจ้าหน้าที่หวั่นกลัวว่ากรุงโรมจะจมน้ำ
ขณะที่ประเทศจีน ตัวการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อันดับหนึ่งของโลก เกิดพายุหิมะถล่ม อุณหภูมิลดลงเป็นประวัติการณ์ถึง -17 องศาเซลเซียส ความหนาวเย็นทำให้ปศุสัตว์ตายไปล้านกว่าตัว ไม่รวมความเสียหายทางพืชผลทางการเกษตร
หากเราสังเกตดี ๆ หลายปีที่ผ่านมาอากาศทั่วโลกเกิดการแปรปรวนและวิปริตมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับธรรมชาติส่งสัญญาณเตือนภัยมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผู้นำทั่วโลกยังรักษาผลประโยชน์กันสุดฤทธิ์
บ้านเราก็ใช่ย่อย แถวภาคกลางฤดูหนาวแท้ ๆ อากาศหนาวเพียงสองสามวัน แต่อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนเหมือนฤดูฝน มีฝนตกลงมาอย่างหนักหลายวัน รุนแรงกว่าฝนชะช่อมะม่วงที่มักเกิดขึ้นในปลายฤดูหนาว
นักวิชาการบางคนกล่าวเตือนว่า โดยปรกติหากมีฝนตกในช่วงฤดูหนาว สิ่งที่ตามมาคือจะเกิดไฟป่ารุนแรง โดยเฉพาะทางภาคเหนือของประเทศ ขณะเดียวกันปัญหาที่ไทยจะเจอแน่คือ ปรากฏการณ์เอลนินโญ่ระดับรุนแรงในรอบ 10 ปี จะส่งผลให้เกิดความร้อนและความแห้งแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา
ลางบอกเหตุเหล่านี้ทำให้สงสารคนทางเหนือ โดยเฉพาะชาวเชียงใหม่ ที่ต้องเผชิญปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างหนักเป็นเวลาติดต่อกันตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมถึงเมษายน โดยที่ดูเหมือนปัญหาไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
ตั้งแต่ปี 2535 เมืองเชียงใหม่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยตึกสูง ปริมาณรถยนต์เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัญหาฝุ่นละอองและควันพิษมากขึ้น ผสมกับในช่วงฤดูหนาว ชาวไร่จะมีการเผาซากไร่ เพื่อเตรียมพื้นที่ไว้ทำการเกษตร และการเกิดไฟป่าซึ่งเกือบทั้งหมดเกิดจากฝีมือของมนุษย์
หลายคนทราบดีว่า สภาพภูมิประเทศ เชียงใหม่เป็นเมืองแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขา ปรกติการอากาศก็ไม่ค่อยจะถ่ายเทอยู่แล้ว แต่ช่วงฤดูหนาวยังได้รับอิทธิพลความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่แผ่มาจากประเทศจีนปกคลุมทางภาคเหนือของประเทศ ได้กดอากาศในบริเวณแอ่งกระทะ ทำให้ควันไฟ หมอกควัน และควันพิษที่เป็นอากาศร้อนไม่สามารถระบายออกไปได้ ถูกขังอยู่ในแอ่งกระทะจนทำให้เชียงใหม่กลายเป็นเมืองหมอกควันพิษ เป็นระยะเวลาหลายเดือน
ยิ่งเชียงใหม่มีอาคารสูงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับกำแพง การระบายอากาศก็ยิ่งแย่ลง
พอถึงเทศกาลหมอกควัน ผู้คนที่อาศัยตามบ้านเรือนพากันปิดประตูหน้าต่าง ใครออกนอกบ้านก็ต้องสวมหน้ากากอนามัย จะขับขี่ยวดยานพาหนะก็เห็นได้ไม่เกิน 5 เมตร หายใจก็ไม่สะดวก แสบทุกครั้งที่หายใจเข้าไป
ไม่น่าแปลกใจที่สถิติชาวเชียงใหม่มีผู้ป่วยด้วยโรคปอด โรคทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นทุกปี ลูกเล็กเด็กแดงมีสถิติเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น ทุกวันนี้เชียงใหม่มีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดเฉลี่ย 40 คนต่อประชากร 1 แสนคน (อัตราเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 8 คน) ถือว่าสูงเป็นอันดับต้น ๆของโลกทีเดียว
สถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาประจำเชียงใหม่ ถึงกับออกระเบียบอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ที่เป็นโรคทางเดินหายใจสามารถอพยพออกนอกพื้นที่ได้ แถมยังเพิ่มเบี้ยกันดารให้กับคนของตัวเอง ที่เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนถึงวัยอันควร
ฝรั่งยังดูแลคนของเขาเองอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนพอถึงเทศกาลหมอกควัน คนเชียงใหม่ก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง ต้องอยู่ ๆกันไป เพราะยังไม่มีรัฐบาลชุดใดไม่ว่าจะสีเหลืองหรือสีแดง คิดอ่านเอาปัญหาหมอกควัน เป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องคิดวางแผนระยะยาวในการแก้ปัญหา
คนในเมืองก็โทษชาวไร่ ชาวเขาว่าเป็นตัวการจุดไฟป่า ทำให้เกิดหมอกควัน
ชาวไร่ ชาวเขาก็บอกว่า การเผาไร่ เผาป่าเป็นวิถีชีวิตของพวกเขามาช้านานแล้วตั้งแต่บรรพบุรุษ เพื่อเป็นการกำจัดวัชพืช และเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ทำมานานแล้วก็ไม่เคยเกิดปัญหาหมอกควัน เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่กี่ปี เพราะคนเมืองปลูกสิ่งก่อสร้างกันมาก ปริมาณรถและการเผาขยะคือสาเหตุที่ทำให้เกิดหมอกควันมากกว่า
พอเป็นข่าวใหญ่ตามสื่อ บรรดารัฐมนตรีก็เต้นตามจังหวะ ข้าราชการก็ยิ้มแก้มปริพากันตั้งงบประมาณดับไฟป่า และหาแพะมารับบาป ส่วนใหญ่มักเป็นชาวบ้าน ชาวเขาที่จุดไฟเผาป่าเป็นประจำ จนไม่เข้าใจพวกเขาทำผิดอะไร ไม่ให้เขาเผา แล้วจะเตรียมพื้นที่ปลูกพืชอย่างไร
ส่วนปัญหาฝุ่นในเมืองจากการก่อสร้าง การตัดถนน ควันพิษจากการจราจร การเผาขยะ เผาศพ ก็ดูจะไม่มีหน่วยงานใดกล้าออกมาวิจารณ์การพัฒนาเมืองเชียงใหม่ที่ผ่านมา การตัดถนนอย่างมโหฬารแทนที่จะคิดทำระบบขนส่งมวลชนว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาหมอกควันเป็นพิษ
แนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว มีคนเคยชี้ทางสว่างว่า ทุกฝ่ายต้องปรับตัว คนเมืองก็ต้องคิดวางแผนจริงจังในการแก้ปัญหาเมือง เพื่อลดปัญหาหมอกควัน และทางการต้องไปส่งเสริมให้ชาวไร่ต้องปรับตัวในการเตรียมพื้นที่การเกษตร ว่ามีทางเลือกมากกว่าการเผา
แต่ดูเหมือนพอถึงเดือนเมษายน หมอกควันเริ่มจางไป ก็ไม่มีใครสนใจจะวางแผนแก้ไขปัญหาระยะยาว ช่วยตอกย้ำนิสัยคนไทยได้ดีแท้ว่า เก่งแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่สนใจการมองไปข้างหน้าเพื่อแก้ปัญหา
เหมือนกับสุภาษิตญี่ปุ่นที่บอกว่า
“ การมีวิสัยทัศน์แต่ไม่ทำอะไรนั้นคือฝันกลางวัน แต่ถ้าทำไปโดยปราศจากวิสัยทัศน์นั้นคือฝันร้าย”
คนไทยและชาวเชียงใหม่จึงฝันร้ายมาโดยตลอด
มติชน 24 มกราคม 2553
Comments
ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมมันแวดล้อมตัวเราเข้ามาทุกทีแล้วครับพี่น้องครับ
ข้าเจ้าเป๋นคนเจียงใหม่เจ้า 😉
ในด้านปัญหาหมอกควันนั้นเป็นปัญหาใหญ่มากๆโดยเฉพาะในหน้าร้อน
ถ้าใครมีโอกาสไปเที่ยวเชียงใหม่ในหน้าร้อน
ตอนกลางวันจะแทบไม่อยากจะออกไปไหนเลยล่ะค่ะ
ซึ่งคนเชียงใหม่ก็ไม่ได้นิ่งเฉยกับปัญหานะคะ
มูลนิธิสถาบันพัฒนาเมือง(เชียงใหม่)
ได้ส่งอาสาสมัครไปทำความเข้าใจกับชาวบ้าน
และยังมีโครงการ”แป๋งขี้เหยื้อหื้อเป็นทุน”(ทำขยะให้เป็นทุน)
ซึ่งช่วยลดปัญหาไปได้ดีทีเดียวค่ะ
ดังนั้น ถ้าแต่คนละไม้คนละมือร่วมใจกัน และได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
(อย่างตรงจุด ตรงไปตรงมา และคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม)
หนูเชื่อว่า ปัญหาหมอกควันจางหายลงไปในเร็ววันนี้ค่ะ
ขอขอบคุณคุณวันชัยที่ช่วยเป็นตัวอย่างที่ดีในการรักษาและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
และเป็นกระบอกเสียงให้กับปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อมเสมอมาค่ะ
ด้วยความยินดี
แพร
คนมันก็เป็นธรรมชาติ ทำอะไรๆ ก็ต้องสรุปว่ามันเป็นธรรมชาติ อย่าคิดมากเลยครับอีกไม่นานนักธรรมชาติก็จะเป็นไปตามธรรมชาติ จะร้อนจะหนาว จะมีหมอกควัน จะเกิดอะไรๆ มันห้ามไม่ได้มันต้องเป็นไปตามธรรมชาติ คนจะใช้เทคโนโลยีมาแก้ไขมันคงยากเพราะธรรมชาติมันเหนือกว่าตรงมันเป็นธรรมชาตินั่นเอง ความจริงก็ดีนะมีหมอกควัน วัน สองวันมานี้หมอกควันมากจนแสงแดดที่เคยร้อนแสบกลับกลายเป็นร่ม และเย็นลงอย่างเห็นได้ชัดมากๆ หากหมอกควันหมดไป เดือนเมษายนนี้เราคงร้อนบ้ากันไปบ้างก็คงเป็นไปได้ อย่างที่เขาว่ากันมั้ง อเมริกามีเบลลาดีนเป็นเนื้อคู่ชลอความเจริญ เหมือนญี่ปุ่นมีแผ่นดินไหวช่วยหยุดความก้าวหน้า ประเทศไทยแหล่งอาหารของโลกโชคดีที่มีนักการเมืองทำให้ไม่อะหังการเกินไป เปรียบได้กับเชียงใหม่แหล่งท่องเที่ยวที่เนียบมากๆ ก็ต้องชลอไว้ด้วยหมอกควันไม่เช่นนั้นจะรับนักท่องเที่ยวไม่ไหว แต่ผมว่าเสน่ห์หมอกควันก็ไม่เลวนะหากจะมาชมแทนเหมย