ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์วันมิคสัญญีเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่บริเวณถนนราชดำเนิน ทำให้มีผู้เสียชีวิต ทั้งทหารและพลเรือนเป็นจำนวนถึง 24 คนและบาดเจ็บ 800 กว่าคน
คนไทยจำนวนมากคงไม่คาดคิดว่า ความแตกแยกครั้งใหญ่ในสังคมไทย ดูจะไม่มีทางออกใด ๆ ไม่มีการเจรจาอีกต่อไป นอกจากการนองเลือดในคืนนั้น ซึ่งหลายคนบอกว่า นี้เป็นเพียงการเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองหลวง หากไม่มีการแก้ไขสถานการณ์ใด ๆ
พ่อแม่ ลูกเมียและครอบครัวของผู้เสียชีวิตคงไม่อาจทำใจได้เลยว่า คืนนั้นที่คนรักออกไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง หรือไปชุมนุมตามความเชื่อของตน พวกเขาจะไม่ได้กลับเข้าบ้านอีกไปตลอดกาล
คนไทยด้วยกันแท้ ๆ ทำไมโหดเหี้ยมกันขนาดนี้ ลากอาวุธสงครามมายิงถล่มกันกลางเมืองหลวง
คำพูดที่บอกว่า สันติวิธี มาตลอดของฝ่ายเสื้อแดงแท้จริงแล้วเป็นเพียงกลยุทธ์ประการหนึ่งในการทำศึกครั้งนี้ ไม่ว่าท่าทีอันก้าวร้าว การใช้คำพูดรุนแรง การคุกคามคนที่ไม่เห็นด้วย การละเมิดสิทธิของคนอื่น
ขณะที่ไม่มีใครเข้าใจได้ว่า เหตุใดฝ่ายรัฐบาลจึงต้องเดินหน้าสลายฝูงชนตอนค่ำแล้ว ทำไมไม่ถอนตัวออกไป ทั้ง ๆที่รู้ว่าสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย และรู้ทั้งรู้จากหน่วยข่าวกรองว่า อาจจะมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายมาสร้างสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้น แต่รัฐบาลก็ไม่ยอมให้ทหารถอนตัวออกไปจากความเสี่ยง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นว่า แกนนำของฝ่ายเสื้อแดงไม่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชนของเขาเลย ทุกคนอยู่สบายดี ไม่มีใครบาดเจ็บ ขณะที่ บรรดาแม่ทัพนายกองระดับนายพล นายพันได้ออกปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงตายกับลูกน้อง จนตัวเองต้องเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายคน
แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้สะท้อนให้พวกเราเห็นว่า ความแตกแยกทางการเมืองและทางความคิดครั้งนี้ มันลึกลับซับซ้อน และมีตัวละคอนมากกว่าที่เรา ๆท่าน ๆ คิดกันจริง ๆ
คู่ความขัดแย้งไม่ได้มีเพียงรัฐบาล กับ ฝ่ายเสื้อแดง
การเรียกร้องประชาธิปไตย การเรียกร้องเรื่องสองมาตรฐาน การใช้วาทกรรมแยกประชาชนเป็นไพร่กับอำมาตย์ ก็ไม่ต่างอะไรจากภูเขาน้ำแข็ง ที่เรา ๆท่าน ๆ ต่างไม่รู้เลยว่า ข้างใต้ภูเขาน้ำแข็งคืออะไร ความต้องการจริง ๆของฝ่ายเสื้อแดงคืออะไรกันแน่
จนชักสงสัยว่าการเรียกร้องให้ยุบสภาของฝ่ายเสื้อแดง เป็นแค่ยุทธวิธี เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพื่อเป้าหมายอะไรที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ขณะที่เรา ๆท่าน ๆ ก็เริ่มรู้ชัดว่า รัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่มีอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็นคอยควบคุมอยู่ จนทำให้คุณอภิสิทธิ์ไม่ยอมซีเรียสกับการเจรจาเพื่อยุบสภาจริง ๆ
เหตุการณ์คืนวันที่ ๑๐ เมษายน ได้ ทำให้เราทราบว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องของการแสวงหาอำนาจทางการเมืองของตัวละครหลายฝ่ายที่ยังไม่ปรากฎตัว ผสมโรงกับความขัดแย้งอำนาจของผู้นำในกองทัพ ซึ่งเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วในสังคมไทย โดยทั้งสองฝ่ายมีประชาชนเป็นตัวประกันและผู้รับเคราะห์
เพียงแต่ว่าครั้งนี้เล่นกันแรงและโหดกว่าที่คิดด้วยฝีมือของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาอำนาจของตัวเองให้นานที่สุด ภายใต้คำพูดที่สวยหรูว่า “ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และการขอคืนพื้นที่” ขณะที่อีกฝ่ายก็ต้องการยึดอำนาจกลับคืนมา โดยแคมเปญทางการตลาดที่ได้ผลไปทั่วประเทศ คือ “สองมาตรฐาน” “ความไม่ยุติธรรมระหว่างไพร่กับอำมาตย์” ปลุกความไม่เท่าเทียมกันในสังคมขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จุดมวลชนติดเมื่อนั้น
อำนาจทางการเมืองเป็นของหอมหวานสำหรับนักการเมืองทุกคน ซึ่งมาพร้อมกับผลประโยชน์มหาศาล ลองเสพแล้วยากที่จะถอนตัว บรรดานักการเมืองจึงมักจะดูดีเห็นอกเห็นใจประชาชนเสมอเมื่อครั้งเป็นฝ่ายค้าน แต่พอเป็นรัฐบาลทีไรก็ไม่เห็นหัวประชาชน
คืนนั้นผู้นำทั้งสองฝ่ายล้วนนำพาผู้คนออกไปตาย ทั้ง ๆที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายรู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดการสูญเสียแน่นอน แต่ดูเหมือนต่างฝ่ายยอมที่จะใช้คนระดับล่างเป็นเครื่องมือนำไปสู่อำนาจทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
เมื่อเกิดการสูญเสียกันขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็หาหลักฐาน อ้างว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สร้างความรุนแรง ซึ่งคงต้องรอให้ฝุ่นตลบให้เหตุการณ์ผ่านไปสักระยะเสียก่อน ความจริงจึงจะปรากฎได้ชัดเจนขึ้น
แต่ที่ดูไร้สาระไปกว่านั้นก็คือ แกนนำเสื้อแดงได้ยุติการชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนินอย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากการคืนพื้นที่ให้รัฐบาล ขณะที่เมื่อสองวันก่อนหน้านั้น ต่างฝ่ายต้องเสียชีวิตไปจำนวนมากเพื่อทำการปกป้องและยึดพื้นที่แห่งนี้
ชีวิตของผู้คนในสายตาของผู้มีอำนาจ มีค่าไม่ต่างจากหมากตัวหนึ่งในกระดานหมากรุก ฝ่ายหนึ่งต้องปกป้องเพื่ออุดมการณ์อันเร่าร้อน อีกฝ่ายต้องรุกคืบหน้าเพื่อชิงพื้นที่คืนตามหน้าที่ สุดท้ายเมื่อเกิดการสูญเสียขึ้นทั้งสองฝ่าย ความเคียดแค้น ความชิงชัง ความโกรธแค้นของคนที่อยู่ข้างหลังก็กระพือโหมขึ้นทันที จวนเจียนจะเกิดสงครามกลางเมือง
………………
ผมเคยดูสารคดีสงครามกลางเมืองในประเทศราวันด้า ที่ผู้นำทางการเมืองของสองชนเผ่าคือเผ่าฮูตู กับ เผ่าตุ๊ดซี่ ต่างปลุกระดมมวลชนออกมาเข่นฆ่าประชาชนทั้งสองฝ่าย โดยใช้วิทยุกระจายเสียงเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ทำให้ประชาชนเกิดความบ้าคลั่ง เคียดแค้นชิงชังอีกฝ่าย ผลก็คือประชาชนถูกฆ่าตายกันนับล้านคน แต่พอสงครามผ่านไปหลายปี คนทำสารคดีได้ไปสัมภาษณ์เหยื่อผู้รอดตาย และผู้เคยใช้มีดดาบไล่ฆ่าอีกฝ่ายอย่างเมามัน ความรู้สึกของทั้งสองฝ่ายคือความเศร้า ความหดหู่ใจ และความรู้สึกผิดมหันต์กับสิ่งที่กระทำไปของฆาตกร
ทั้งสองฝ่ายยอมรับว่า ในช่วงเวลานั้น รู้สึกอย่างเดียวคือ เผ่าตัวเองต้องเป็นใหญ่ทางการเมือง ต้องล้างแค้นอีกฝ่ายหนึ่ง แต่หลังจากโศกนาฎกรรมผ่านไป พวกเขาไม่เคยสนใจกับสิ่งเหล่านี้อีกเลย ไม่สนใจเรื่องของเผ่าพันธุ์ หรือเรื่องทางการเมือง อีกต่อไป แต่กลายเป็นบาดแผลทางจิตใจที่ไม่สามารถเยียวยาไปได้ตลอด
หากย้อนเวลาได้ เขาอยากจะให้ทั้งสองเผ่าอยู่ร่วมกันได้ ไม่ต้องเข่นฆ่ากันตามอารมณ์บ้าคลั่งที่ถูกบรรดาแกนนำนักการเมืองปลุกระดมขึ้นมา
อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นสิทธิ์ของทุกคนที่ต้องเคารพ แต่ต้องตระหนักให้ดีว่า
การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ และอำนาจก็ไม่เข้าใครออกใคร นักการเมืองพร้อมที่จะหักหลังหรือผูกมิตรกับทุกฝ่ายได้เสมอ นักการเมืองไม่เคยคิดจะรักษาชีวิตของประชาชน มักใช้ประชาชนเป็นแค่ตัวประกันเพื่อไต่ไปสู่อำนาจเท่านั้น
การเมืองเป็นมายา แต่ชีวิตเป็นของจริงครับ
ชีวิตเป็นของมีค่ามาก ไม่เชื่อถามคนรอบข้างสิครับ
มติชน 18 เมษ. 53
Comments
เป็นบทความที่ “ดี” ครับ
ขอบคุณที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาค่ะ
ทำให้มองเห็นความเป็นจริงอะไรมากขึ้น
รวมถึงได้มองเข้าไปในความคิดและจิตใจของตัวเราเองด้วย
ขอบคุณที่ทำให้ภาวะจิตใจว้าวุ่นลดลงไปมาก
หวังว่าคนไทยทุกคนจะมองเห็นคุณค่าในชีวิตของตัวเองชัดเจนขึ้น
สองวันมานี้อากาศดีขึ้นเล็กน้อย
หวังว่าสถานการณ์ต่างๆจะดีขึ้นตามค่ะ
ธรรมดาครับ นานาจิตตัง…เอาเรืองความเชื่อทางการเมืองมาพูดแล้วสรุปไม่ได้หรอกครับ ประวัติศาตร์ที่ผ่านมามีมากมาย ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองว่าทำไปทำไม….นี่คือ ความเปลี่ยนแปลงของเมืองไทยและสังคมไทยในเวลานี แน่นอนในอนาคตความเชื่อนี้อาจเปลี่ยน แล้วกลายเป็นประวัติศาตร์ไป …แล้วคุณก็ไม่ต้องตำหนิประวัติศาตร์ไปทั้งหมดดอกหรือ…เมื่อมีคนได้ก็ย่อมมีคนเสียผลประโยชน์…แล้วจะปล่อยให้การเป็นไปเช่นนั้นโดยไม่ทอะไรหรือ…ก็ย่อมไม่ได้…จึงเป็นเรืองที่ให้สูตรคณิตศาตร์มาวัดคำนวณไม่ได้หรอก…ก็ต้องถามว่าทำไมปัจจุบันจีน และอีกหลายประเทศจึงมีวันนี้…นอกเหนือไปจากความเป็นอนิจจังแล้ว ย่อมไม่มีอย่างอื่นที่เหนือกว่า…
เป็นข้อเขียนที่โดนใจที่สุดหลังจาก…สงคราม10เมษาผ่านพ้นไป
…การเมือง เป็นเรื่องของ อำนาจ…เห็นด้วยอย่างแรงครับ ไม่ว่าจะพ.ศ.ไหนนักการเมืองเห็นประชาชนเป็นเพียงเครื่องมือของการขึ้นสู่อำนาจเท่านั้น…
อย่าต้องตายเพื่ออำนาจของใครๆอีกเลยครับ…คนไทยสูญเสียมามากพอแล้ว…
ความคิดต่างที่เกิดขึ้นกระจายตัวลึกไปในทุกภาคส่วน และทุกระดับของสังคม และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ ความพ่ายแพ้เสียหายที่เกิดขึ้นทุกด้าน ถึงแม้รัฐบาลจะออกมาแสดงความรับผิดชอบ แกนนำ นปช. ออกมาให้เหตุผล และต่างก็ยังปลุกปั่นให้คนไทยเพิ่มความแค้น และขัดแย้งมากขึ้นไปอีก บทเรียนราคาแพงครั้งนี้เป็นปัญหาที่สะสมมานานในโครงสร้างของประเทศ ที่ประชาชนไม่เคยมีส่วนร่วมในเรื่องต่างๆ อย่างเป็นจริง เราปล่อยให้ระบบนักการเมืองเคลื่อนไหวประเทศนี้ง่ายๆ และใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองทุกครั้งไป อนาคตไทยจะเป็นอย่างไร คนไทยทุกคนต้องทำให้การเมืองภาคประชาชนแข็งแรงให้ได้ เพื่อที่จะไม่ต้องมีใครตายฟรีๆอีก
น่าเสียดายที่คุณเป็นน้อง “พี่มด” ผู้ทำงานเพื่อคนยากคนจนมาตลอดชีวิตของเธอ แต่คุณกลับมีทัศนะดูถูกคนจนได้ถึงเพียงนี้ บทความของคุณแสร้งทำตัวเป็นกลาง แต่เห็นได้ชัดว่าเข้าข้างฝ่ายรัฐบาลอย่างเต็มที่ แทนที่คุณจะประณามว่ารัฐบาลและนายอภิสิทธ์ในฐานะผู้สั่งให้ใช้กำลังทหารเต็มอัตราศึกเข้า “ขอคืนพื้นที่” ในยามวิกาล คุณกลับช่วยกระพือความกลัวว่าการชุมนุมครั้งนี้มี “เป้าหมายอยู่เบื้องหลัง” นี่เป็นการหยิบยกเอาสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง มาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ทำตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมให้รัฐบาลยุบสภา
คุณรู้ตัวมั้ยว่าคุณกำลังทำตัวไม่ต่างกับ “อุทาร สนิทวงศ์” ที่ใส่ร้ายป้ายสีขบวนการนักศึกษาว่าจะล้มล้างสถาบัน ทั้งที่พวกเขาแค่เรียกร้องให้ถนอมออกนอกประเทศ หากมีการสังหารหมู่ประชาชนที่ราชประสงค์จริง คุณจะต้องเป็นคนหนึ่งที่มือเปื้อนเลือด เหมือนกับพวกอุทารในเหตุการร์สังหารหมู่ 6 ตุลา 2519
การพูดถึงการชุมนุมของนปช.ในบทความคุณ ช่างไม่ต่างกับบทสัมภาษณ์แกนนำพันธมิตร นายพิภพ ธงชัย ที่ออกมาใส่ร้ายป้ายสีว่าธงชัย วินิจจะกูล ปิดบังผู้ชุมนุมเรื่องการล้อมปราบในวันที่ 6 ตุลาคม เผลอๆจะเลวร้ายเสียยิ่งกว่าอีก เพราะคุณเลือกพูดความจริงครึ่งเดียว และแอบซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อคลุมของคนเป็นกลาง ผู้รักสันติ รักชีวิต แต่แอบดูถูกชาวบ้าน ประชาชน ผู้ร่วมชุมนุมว่าเป็นพวกถูกหลอกใช้
ผมอ่านมาเยอะแล้ว พวกที่เริ่มต้นก็อารัมภบทว่าเสียใจกับความตายความสูญเสียที่เกิดขึ้น ถัดจากนั้นก็พูดจาใส่ร้ายผู้ชุมนุมต่างๆ นานา อาจจะมีการตำหนิทหารที่ใช้อาวุธด้วย(เหมือนกรณีของคุณ) แต่กลับไม่พูดถึงรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆในฐานะคนสั่งการ ถามจริงๆ เหอะ คุณรู้สึกเสียใจริงๆ เหรอ กับความตายของคน 25 คนในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. หรือว่าคุณพูดไปตามมารยาท “ผู้ดี”
น่าเศร้าใจจริงๆที่ วาทะกรรมต่างๆของสื่อมวลชนไม่ได้เป็นไปเพื่อความหลากหลายในมุมมองบนความเข้าใจในเรื่องความเป็นกลางอย่างแท้จริง
สำหรับรํฐก็ควรหยุดแบ่งสีประชาชน ด้วยวาทะกรรมตอบโต้ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย หันมาใช้วิธีการทางรัฐสภาแก้ปัญหา ไม่ใช่สื่อ
อย่าลืมว่าการเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรความเป็นธรรม ไม่ใช่ความรุนแรง และอย่าเห็นประชาชนเป็นศัตรู เพียงแค่นี้ก็จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว
การเมืองต้องแก้ด้วยการเมืองจริง ๆ ครับ
ถ้ารัฐบาลยังเลือกที่จะเดินหน้าบริหารประเทต่อไป โดยไม่มีการขยับเขยื้อนทางการเมืองเช่นตอนนี้ และยังเลือกที่จะบังคับให้ประชาชนเสพข่าวข้อมูลเพียงด้านเดียวจากทางรัฐบาล เรื่องก็ไม่จบหรอกครับ รันแต่จะสร้างความแตกแยกในสังคม คนเสื้อเหลืองก็จะเกลีียดเสื้อแดงมากขึ้นจากรับข้อมูลของรัฐบาล คนเสื้อแดงก็จะยิ่งไม่พอใจคนเสื้อเหลืองและฝ่ายรัฐบาลเพราะรู้สึกถึงสองมาตรฐาน และเทียบไปถึึงการปิดสถานที่ของเสื้อเหลือง ไม่พ้นจะใช้เรื่องนี้หยิบยกมาเป็นประเด็นต่อไป กลุ่มเสื้อหลากสีก็จะออกมาชมนุมต่อทั้งที่ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่าก็คือเสื้อเหลืองนั้นแหละออกมาต่อต้านกันอีก
สุดท้ายคนไทยฝ่ายใดก็ตามก็ต้องหลอกตัวเองต่อไปไม่ต่างจากที่คุณ oneton เขียนไว้ถึงการต่อสู้ของชนเผ่าสองชนเผ่า ที่ทุกฝ่ายมีความเชื่อของตัวเอง
การเจรจาของทั้งสองฝ่ายที่ผ่านมาเป็นที่น่าเสียดายนะครับ เหมือนมาเล่นปาหี่ขายของกัน เสียเวลาชาวบ้านดูละครหลังข่าว เนื้อหาทุกท่านก็คงได้รับฟังดีแล้ว
ใช้กำลังทหาร เสื้อแดงก็ไม่พอใจอีก
ไม่จบหรอกครับถ้าไม่แก้ด้วยการเมือง
ตั้งแต่อ่านสารคดีมา ทั้งแบบเป็นเล่ม และบนเว็บ
บทความนี้ชวนให้ผิดหวัง และร้าวใจเป็นที่สุด
ถ้าผลมาจากเหตุ และเหตุทำให้เกิดผล
ตรงๆ ประเด็นเดียวก็คือ
“สิ่งที่รัฐบาลไทยทำเมื่อคืน ๑๐ เมษา ไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง”
(สามารถแทนสมการ ด้วย รบ.ประเทศอื่น และ เวลาอื่น – – ประเด็นนี้ก็ยังเป็นจริงอยู่ ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่
– รัฐบาลเอาอาวุธมาสลายม็อบ (แม้ว่าจะประดิษฐ์คำ “ขอพื้นที่” ก็ตาม)
– สลายในตอนกลางคืน
– สลายอย่างที่ไม่ได้มีการเตือนล่วงหน้าอย่างชัดแจ้ง และให้เวลาพอ
รัฐบาลได้ทำ “อาชญากรรม” และ “ฆาตกรรม”
ประชาชนในประเทศของตนเอง อย่างตั้งใจและทำได้อย่างไม่เสียใจด้วย เศร้า
เป็นครั้งแรกที่เห็นคนชื่อจอบ ใช้สื่อเป็นจอบขุดฝังตัวเอง เศร้ามาก
ป.ล.ภาพมันย้อนกลับไปเลย ถึงเมื่อมี รปห.แล้วมีคนยินดีโห่ร้องกันมาก
และอ้างเหตุผลว่า
“รปห.นี้ชอบธรรมและต้องทำ เพื่อที่จะได้ไม่เกิดความรุนแรงในสังคม”
อย่างนี้ไม่รุนแรง และสะใจดีกันดีใช่ไหมคะ พี่น้อง
ถ้า ปชต.มันยังล้มกระดานเลือกตั้ง และแต่งตั้ง รบ.ได้ตามใจชอบอย่างนี้
ปชต.คงไม่ได้แปลว่า ประชาธิปไตย แล้วล่ะ
ปชต.อาจจะแปลว่า ประชาชนต่ำเตี้ย หรือไม่ก็ ประชาชนใต้ตีน ล่ะมั้ง
ใครมันจะทำอะไรผิด ก็เอาหลักฐาน ข้อมูล มาว่ากันในระบบ
แบบ due process เราต้องปฏิเสธ รปห.ในทุกทาง
“สื่อเป็นมายา การฆ่าประชาชนเป็นของจริง ณ ประเทศนี้”
ชื่นชมบทความนี้ครับ ผมไม่ชอบซักสี และผมก็เห็นว่าบทความนี้เป็นกลาง
ถามจริงๆเถอะ คนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่าเป็นฆาตกร ถ้าคุณเป็นรัฐบาล..คุณจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้
..ตอบให้ได้อย่างเป็นกลางนะ
ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นเรื่องที่เกิดมานาน และทุกยุคทุกสมัย แต่คุณกล้ายืนยันไหมว่าผู้ร่วมชุมนุมทุกคนที่ใส่เสื้อสีแดง มาร่วมชุมนุมด้วยความสมัครใจและมีอุดมการณ์อยู่ในใจแท้จริง เค้าชุมนุมอย่างสันติจริงๆหรือ
..ตอบให้ได้อย่างเป็นกลางนะ
การถกเถียงกันว่าใครผิดใครถูก มันคงไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกแล้ว ประเด็นคือการแตกแยกของคนไทยเกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง
คิดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา
ประเทศไทยเหลือทางเลือกไม่กี่ทางหรอกคุณ…
มันคงจบเห่ถ้าเรายังกัดกันเองแบบนี้…
แหลงลำบาก ถ้ายังทำตัวเป็นคนเลี้ยงวัวที่ชอบตีตราว่าวัวตัวนั้นของกู ตัวนั้นไม่ใช่ของกู
ทำตัวให้บาย อย่าเมาอารมณ์ให้มากแรง ตั้งสติ เชื่อมั่นในหลักมนุษยธรรม แล้วมองฝูงวัวให้ดี ว่าใช่วัวหรือเป็นคน
-เพิ่มเติม-
เห็นหลายๆคนที่มีการศึกษาชอบสอนลูกหลานว่าถ้าไม่เรียนหนังสือพอโตขึ้นจะกลายเป็นคนเลี้ยงวัว แต่พอเอาเข้าจริงแล้วทำไมคนที่มีการศึกษาถึงได้ไปหยบเลี้ยงวัวเสียเอง
แค่ความคิดที่พวกคุณแสดงออกมา พยายามที่จะแสดงภูมิรู้เหมือนพวกนักวิชาการ วิชากวงทั้งหลาย ผมอะนาจใจกับสังคมไทยมานานแล้วตั้งแต่ นายทักษิณ ขึ้นเป็นนายกนฯ สมัยแรกๆ ก็พ่อค้าคิดแบบพ่อค้าใครทำก่อนรวยก่อนใช่ไหมครับ บดความที่ควรเขียนขึ้นมาถูกต้อง ขอประนามคนที่ต่อว่าคุณหาว่าคิดและพูดเหมือนแกนนำพันธมิตร บ้ามากเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. ใครก็รู้ว่ามันยิงกันเอง จตุพรเจรจากับนายก ก็พยายามจะพูดเรื่องศพ พวกมันก็ต้องทำมวลชนให้เป็นศพมากๆ ไงงงงงงงง เพื่อจะดึงข้างบนลงมาแก้ปัญหาเหมือนพฤษภา 35 ขอประนามเสื้อแดงแรงๆ ว่าพวกคุณจาด ว๊อก ง่าว … ควาย..จริงๆ สาบานได้ไหมมวลชนที่ไม่ได้จ้างเลยซักคน … เพื่อไทยจงพืนาศ…
ยุทธศาสตร์ ในการที่กลับมามีอำนาจของนายทักษิณ(ผมปลดยศแล้ว) และพวกพ้องแต่ไม่ใช่น้องพี่ของผม รวมทั้งพวก ส.ส.กะหรี่ของพรรคเพื่อไทย ถือว่าต่ำช้ามากที่ที่นำผู้ด้อยโอกาศทางสังคมมาเป็นเครื่องมือ เป็นเหยื่อ เป็นศพ 500 , 1000 ต่อหัว/วัน คนเหล่านี้ต้องรับอยู่แล้วอยู่บ้านจะหาเงินวันละร้อยยังไม่ได้ ยังไงก็มาร่วมนี่คือความคิดของชาวบ้าน ทักษิณและพรรคเพื่อไทย ดูถูกคนไทยทั้งประเทศอย่างไม่น่าให้อภัย จะยุบหรือไม่แน่จริงทำประชามติซิ ชาวบ้านพูดกันว่าไปอยู่ม๊อบถ้าตายได้ 2-3 แสน ปลดหนี้ให้ลูกให้หลานแม่ยอมตาย เพราะเงินแสนชาตินี้เฮาหมดปัญญญาหาได้แล้ว นปช จึงบ้าดีเดือดอย่างที่เห็นไง ใช่ไหมครับท่าน