19 พฤษภาคม 2553 เป็นวันสำคัญของประเทศไทย อันควรจะถูกบันทึกให้เป็นวันสำคัญของชาติ มากกว่าวันหยุดราชการหลายวันในประเทศนี้
เป็นวันหยุดเพื่อให้คนรุ่นนี้และรุ่นหลังได้รำลึกไว้ว่า เป็นวันที่คนไทยในสังคมเกิดความแตกแยกทางความคิดเห็นอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ มีความรุนแรง มีการใช้อาวุธสงครามใจกลางกรุงเทพมหานคมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้ล้มตายเกือบร้อยคน บาดเจ็บพันกว่าคน อาคารบ้านเรือนในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองต่างจังหวัด ถูกเผาวอดวาย กลายเป็นทะเลเพลิง
การชุมนุมภายใต้คำพูด สันติ สงบ อหิงสา กลายเป็นคำพูดให้ดูสวยหรูแต่เคลือบด้วยความรุนแรงที่มีการตระเตรียมมาอย่างดี
จำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และความย่อยยับของบ้านเมือง ทำลายสถิติเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และเหตุการณ์เดือนพฤษภา 2535
แต่ยังไม่เท่ากับบาดแผลในหัวใจของคนไทยจำนวนมากที่ร้าวรานลงไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ความเกลียดชัง ความแตกแยก ความโกรธ อารมณ์คุกรุ่นกระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าในสังคม
คนไทยทั่วประเทศสะเทือนใจต่อโศกนาฎกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย มองไปทางไหนมีแต่ความเครียด ความเศร้า ความหดหู่
นับแต่นี้เป็นต้นไป สังคมไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
19 พฤษภา ควรเป็นวันหยุดเพื่อให้คนไทยได้เรียนรู้ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น คนไทยทุกฝ่ายแพ้เรียบ แพ้อย่างย่อยยับ ไม่มีผู้ชนะเด็ดขาด มันเป็นบทเรียนอันเจ็บปวด ที่ทุกฝ่ายต้องหาทางเยียวยาป้องกัน หาทางไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกในอนาคต
รัฐบาลเองก็ไม่ใช่ผู้ชนะ คนหลากสี คนกรุงเทพฯก็ไม่ใช่ผู้ชนะ ตราบใดที่คนอีกฝ่ายยังรู้สึกว่า ตอนนี้ต้องหลบซ่อน ตอนนี้ต้องนอนเลียแผลด้วยความคับแค้นใจ ตอนนี้รอวันเอาคืน พักรบชั่วคราวเพื่อรอการล้างแค้น
คนไทยจะมั่นใจได้อย่างไรว่า สถานการณ์ได้กลับคืนสู่ความสงบสุขแล้ว
คนไทยกำลังจับตามองดูอยู่ว่า รัฐบาลที่เป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ กำลังจะสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นจริง ๆ ได้อย่างไรในสถานการณ์แบบนี้
หากรัฐบาลไม่หาทางปรองดองอย่างจริงจังและจริงใจแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากทะเลสงบราบเรียบ เพื่อรอพายุใหญ่
ความปรองดอง หรือความสมานฉันท์ที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่มีเป้าหมายซ่อนเร้นเพื่อทำให้รัฐบาลชุดนี้มีอำนาจต่อไปนานที่สุด
ความปรองดองหรือความสมานฉันท์ที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่การให้ข้อมูลข่าวสารด้านเดียวจากฝ่ายรัฐบาล และปิดหูปิดตา เซ็นเซ่อร์ข่าวสารของอีกฝ่ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา อย่างไม่แยกแยะ
ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ ต้องเกิดจากความโปร่งใสในการแสวงหาข้อเท็จจริง ผ่านหลักฐาน พยาน ตัวบุคคล อย่างปราศจากอคติ ปราศจากการตั้งธงในใจ
สถานการณ์ตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่เรียกว่าฝุ่นกำลังตลบ มองออกไปมีแต่ความพร่ามัว ข้อมูลข่าวสารของรัฐบาลหรือข้อมูลข่าวลือในเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็อาจจะไม่ใช่ความจริง ต้องรอให้ฝุ่นจางหายไปสักพัก ความจริงบางอย่างที่ถูกซ่อนเร้นไว้จะเผยโฉมออกมา ข้อมูลข่าวสารหรือความจริงที่เราเคยเชื่ออาจจะเปลี่ยนไป รอการค้นหา รอการตรวจสอบจากผู้ที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือกรรมการอิสระจริง ๆ เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ
สถานการณ์ตอนนี้ หากสื่อของรัฐบาลยังทำตัวเหมือน คุณพ่อรู้ดี เที่ยวสั่งสอน เที่ยวบอกความจริงด้านเดียวให้คนไทยฟังอยู่เรื่อย ๆ ก็คงไม่ต่างจากสิ่งที่รัฐบาลเคยโจมตี สถานีวิทยุชุมชนของอีกฝ่ายที่ยัดเยียดข้อมูลข่าวสารด้านเดียว ปลุกระดมมวลชนอย่างบ้าคลั่ง
รัฐบาลจะต้องก้าวข้ามการกล่าวหา การโจมตี การซ้ำเติม การเหวี่ยงแหอีกฝ่ายอย่างไม่มีหลักฐาน อย่างไม่เป็นธรรม และรัฐบาลยิ่งต้องหนักแน่น อดทนพอที่จะไม่ตอบโต้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกอันขุ่นมัวของอีกฝ่าย
คำว่าตายสิบเกิดแสน ยังสามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย หากรัฐบาลยังมองอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่ต้องไล่บี้ ต้อนเข้ามุม เอาให้ตายไปข้างหนึ่ง หรือไม่เหลือทางถอยให้อีกฝ่าย
รัฐบาลจะต้องเยียวยาความรู้สึกของทุกฝ่ายอย่างปราศจากอคติ ไม่ใช่เพียงการเยียวยาทางด้านวัตถุแต่รวมถึงการเยียวยาทางด้านจิตใจ ให้รู้สึกว่าทุกฝ่ายได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีสิทธิเท่าเทียมกันทุกประการในสังคม
รัฐบาลจะต้องเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง จากความเสียหาย เช่นเดียวกับที่รัฐบาลจะต้องเยียวยาผู้ที่รู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้กลับไปที่บ้านด้วย
บ้านเมืองทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องของการเอาชนะคะคานกันจากความเชื่อทางการเมือง จากทฤษฎีการเมืองที่ถือคัมภีร์กันคนละเล่ม แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องหันหน้าเข้าหากัน ยอมรับความแตกต่างของแต่ละฝ่าย และสำคัญที่สุดคือการกล้าให้อภัยกับทุกฝ่าย มีเมตตากรุณากับอีกฝ่าย เพื่อช่วยกันสร้างสังคมจากซากปรักหักพังทางจิตใจ
รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์อาจจะเป็นผู้ชนะในยกแรก แต่จะชนะใจคนทั้งประเทศหรือไม่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป
และประโยคที่ว่า รัฐบาลกำลังสร้างความปรองดอง จะมีค่าติดลบเหมือนกับ คำว่า สงบ สันติ อหิงสา ที่อีกฝ่ายได้ใช้มาเมื่อไม่นานหรือไม่ เวลาก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์เช่นกัน
จากมติชน 30 พค. 53
Comments
Pingback: Tweets that mention พฤษภาวิปโยค 53 ภาพที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริง | -- Topsy.com
…
ภาพที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริง
ความจริงที่หลายคนยืนยัน…ทุกขัง
ความสูญเสียที่ไม่อาจประมาณค่า…อนิจจัง
ความปรองดองที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม…อนัตตา
…ถ้าคุณใส่เสื้อโดยติดกระดุมเม็ดแรกผิด แล้วยังติดเม็ดต่อๆไปอีก…คุณคิดว่าจะไม่มีใครรู้เลยหรือแม้แต่ตัวคุณเอง
วันนี้เราหยุดสร้างความร้าวฉานในสังคม ด้วยการไม่สำมะโนประชากรจากสี ไม่ยัดเยียดข้อเท็จจริงจากสื่อ ไม่ขยายเครือข่ายจากสาย และไม่กีดกันกันจากสิทธิ
แล้วหรือยัง
อย่างไรเสียการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ก็ดีกว่าการนับถอยหลัง(จากหลักใดก็ตาม)มิใช่หรือ
สถานการณ์ พิสูจน์วีรบุรุษ แล้วเราก็ได้เห็นว่า คนอย่าง วันชัยตันก็ยังไมได้บบรลุวุฒิภาวะและเรียนรู้อะไรเลยอะไรเลย หลังผ่าน พฤษภา 35 กันยา49 และ พฤษภา 53 ยัง ฝังหัวอยู่แต่ว่า ผู้กุมอำนาจรัฐ เมื่อใช้กำลังย่อมผิดเสมอ ทั้งๆที่บริบทของแต่ละเหตุการณ์แตกต่างกัน อะไรที่เราเคยรู้และเชื่อเกี่ยวกับ เหตุการณ์ up-risingที่ผ่านมา อาจจะเป็นสิ่งที่สื่อทั้งหลายจูงจมูกให้เราเชื่อก็ได้ ดังนั้น ขอให้ วันชัย ประนามเหตุการณ์ ที่รัฐบาลใช้กำลังทหารอำนาจรัฐ เข้าโจมตีทำลายล้าง ศูนย์อำนาจรัฐแดงแห่ง พคท. ที่ภูร่องกล้า ด้วย ทั้งๆที่ พคท.และมวลชนแค่มีความเชื่อต่างจากคนหมู่มากและมีความเดือดร้อนหาอยู่หากิน โดยโดนกดขี่อย่างไม่ดป็นธรรมเท่านั้น ที่จับอาวุธก็เพื่อป้องกันตัวเองจาก อำนาจข่มเหงของรัฐ ไม่ได้มีเจตนาจะล้มล้างประเทศอะไรเลย (ลองจินตนาการดูว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์ อย่างนั้นเกิดขึ้นประเทศไทย พ.ศ.นี้จะเป็นอย่างไร)
ลองกลับไปตั้งสติดูใหม่แล้วจะรู้ว่า ควรจะวางตัวอย่างไร กับสิ่งที่เกิดขึ้นและจะเกิดต่อไป