“พี่ช่วยบอกนักท่องเที่ยวจากเมืองกรุงด้วยนะว่า อย่าไปเลยเชียงคาน ”
คำพูดนี้ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่มีบ้านเกิดในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย บ่นดัง ๆให้ฟังเมื่อหลายวันก่อน
หลายปีก่อน ผู้เขียนเคยไปเที่ยวเชียงคานกับเพื่อนคนนี้ที่มีบ้านอยู่ริมแม่น้ำโขง ตื่นแต่เช้าไปเดินเล่นตลาด รถราไม่พลุกพล่าน แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยว เราเดินไปตามถนนเล็ก ๆเรียบแม่น้ำ เห็นความเงียบสงบ บ้านเรือนเก่าที่คงเอกลักษณ์ แวะชิมอาหาร ตามด้วยกาแฟกับปาท่องโก๋ ไปเที่ยวชมวัด
ผู้เขียนยังแนะนำกับเพื่อนเลยว่า น่าจะหาซื้อที่ดินสักแปลงมาลงทุนสร้างเกสต์เฮ้าท์เล็ก ๆ น่ารัก ๆ เพราะเชื่อว่าอีกไม่นานเมืองเก่าเล็ก ๆ น่าจะเป็นเมืองท่องเที่ยวแบบเมืองปาย
ไม่กี่ปีผ่านไป พอเมืองปายเริ่มเสื่อมมนต์ขลัง เชียงคานก็ดังขึ้นตามคำทำนาย เมืองริมโขงได้รับการโปรโมทจากสื่อท่องเที่ยวจำนวนมาก ให้กลายเป็นดินแดนขวัญใจของนักท่องเที่ยวหนุ่มสาว ตามสูตรของเมืองโรแมนติก บ้านเก่าหรือตึกแถวทรงคลาสสิก ผู้คนมีวิถีชีวิตเรียบง่าย ถนนคนเดินเล่นสองข้างทางเป็นร้านค้าแต่งแบบย้อยยุค บรรยากาศสงบ ทางเดินเลียบแม่น้ำ อากาศเย็นสบาย
โดยปรกติวันเสาร์อาทิตย์ ก็จะมีนักท่องเที่ยวหลายพันคนแห่กันมาเที่ยวเป็นประจำ แต่หากมีเทศกาลวันหยุดติดต่อกันหลายวันเมืองเชียงคานก็แทบจะแตก ล้นทะลักด้วยกองทัพนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา
แรก ๆ คนเชียงคานก็ดีใจที่นักท่องเที่ยวมาก่อให้เกิดรายได้ บ้านที่อยู่อาศัยก็ดัดแปลงเป็นเกสต์เฮ้าท์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก แต่พอนักท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ชักไม่ไหว
“นักท่องเที่ยวหลายคน อยู่ดี ๆ ก็เดินขึ้นบ้านไม่ถอดรองเท้า อย่างไม่เกรงใจ คงนึกว่าบ้านเราเป็นสถานที่ท่องเที่ยว นั่งดูทีวีอยู่ดี ๆ ก็มีคนเดินเข้าเดินออกตลอด มันไม่มีความเป็นส่วนตัว และมักจะได้ยินเสียงตามหลังมาว่า ดูแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย” เพื่อนเชียงคานเล่าให้ฟัง
“บางคนถามว่าทำไมไม่มีเซเว่นฯ ทำไมร้านอาหารมีไม่พอ บางคนหงุดหงิดเพราะรอนาน บางคนมาพักโฮมสเตย์ติดแม่น้ำโขง ก็จะขอห้องแอร์ บางเวลารถของเราก็เอามาจอดหน้าบ้านเหมือนเดิมไม่ได้ เพราะมีการปิดถนนให้คนเดิน และรถของนักท่องเที่ยวก็ทำให้เด็กนักเรียน หรือชาวบ้านได้รับอุบัติเหตุมากขึ้น ถูกชนถูกเฉี่ยวเป็นประจำ ”
“วิถีชีวิตของคนเชียงคานที่รักสงบ ความเป็นอยู่ต่าง ๆ เปลี่ยนไป เช่น การนอนเคยนอนตั้งแต่หัวคำ ต้องการพักผ่อนก็ไม่ได้นอน พอตกดึก บ้านเมืองที่เคยเงียบสงบ ก็กระหึ่มไปด้วยเสียงเพลงจากร้านคาราโอเกะ หรือเปิดเพลงดังสนั่นในรถส่วนตัวให้คนได้ดิ้นกันหรือตั้งวงก๊งเหล้า เสียงคนเดินกัน เสียงคนเล่นไพ่ แม้เวลากลางวันก็มีเสียงวิ๊ดว๊ายกับการโพสต์ท่าถ่ายรูปของเพื่อนๆ ”
พอเป็นเมืองท่องเที่ยวมีเรื่องของเม็ดเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ของคนในบ้านหรือคนข้างบ้านก็เปลี่ยนไป พี่น้องหลายคนทะเลาะกันเรื่องการแบ่งขายที่ดิน เพื่อนบ้านที่เคยรักกันก็หันมาเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ ว่าใครจะแย่งลูกค้าได้มากกว่า ในขณะเดียวกัน สินค้าในท้องตลาดก็พร้อมใจกันขึ้นราคาแพงกว่า 50%
ปัญหาใหญ่ที่ตามมาอีกก็คือเรื่องขยะ จากเดิมแต่ละบ้านแทบไม่มีขยะเลย แต่เมื่อมีร้านขายของเกิดขึ้นถุงพลาสติก แก้วน้ำ ไม้เสียบลูกชิ้น ถูกทิ้งกันเกลื่อนเมืองไปหมด แม้เทศบาลจะมีรถขยะมาขนแต่ไม่เพียงพอกับปริมาณขยะจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ประกอบการจำนวนมากที่เป็นคนแถวนี้ หรือเป็นคนจากจังหวัดอื่นมาลงทุนค้าขาย ก็ยังยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยว จากเม็ดเงินที่สะพัดอำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้วันละหลายล้านบาท ขณะที่กลุ่มชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้ค้าขายหรือมีกิจการใด ๆ อยากเรียกร้องเอาความสงบ ความเรียบง่ายกลับคืนมาสู่เชียงคานเหมือนเมื่ออดีตยังเป็นเสียงของคนกลุ่มน้อย
ฟังเพื่อนเล่าให้ฟังแล้ว อดเปรียบเปรยพฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนไทยว่า ไม่ต่างจากฝูงตั๊กแตน พอเมื่อได้รับการโหมกระพือข่าวว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใดที่ยังใสบริสุทธิ์ ก็จะมีกองทัพนักท่องเที่ยวแห่กันเข้าไปเปิดบริสุทธิ์อย่างไม่ลืมหูลืมตา พอเที่ยวอย่างอิ่มหนำ จนเบื่อแล้ว ก็ถอนตัวกลับ ไม่ต่างจากฝูงตั๊กแตนที่แห่ลงกินไร่ข้าวโพด และทิ้งซากไร่ไว้ดูต่างหน้า
หมดจากเชียงคานแล้ว จะแห่ลงไปที่ไหนต่อ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย วานบอกที
กรุงเทพธุรกิจ 20 มค. 54
Comments
Pingback: Tweets that mention วันชัย ตัน » Blog Archive » อย่าไปเลย เชียงคาน -- Topsy.com
โชคดีที่ไปมาก่อนจะเป็นอย่างที่ว่าไว้
ตอนนั้นไปเที่ยวหน้าร้อน ช่วงเมษาซะด้วยซ้ำ
นอนโฮมสเตย์บ้านไม้ ชื่อศรีพรรณโฮมสเตย์
กลางคืนไม่ต้องเปิดพัดลมเลย
ลมจากชายโขงพัดมาเอื่อยๆทั้งคืน
เจ้าของบ้านน่ารักมาก ทำอาหารเมืองให้กิน เหมือนไปบ้านญาติมากกว่าไปเที่ยว
ยังจำไม่รู้ลืมแล้วตั้งใจว่าจะไปอีกครั้ง
ยิ่งเมื่อได้ฟังอย่างนี้แล้วยิ่งต้องไปซ้ำให้เห็นกับตา ได้ยินกับหู
ขอไปเชียงคานอีกซักครั้ง..
อยากไป แต่ อยาก ไปแบบ เงียบๆ
หากคิดอีกแง่นึงการที่มีนักท่องเที่ยว ก็สามารถ กระจายรายได้ สู่ชุมชน
ประเทศนี้ขาดการจัดการที่ดีเสมอๆ
ไม่อยากให้กินให้ใช้กันแค่ชาตินี้ เมืองไทยมีแค่นี้เอง สงสารทรัพยากรกันบ้าง อยากให้ดูตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น ที่จัดการกับมรดกของเขาทุกอย่างได้ยอดเยี่ยม ทั้งมรดกทางวัฒนธรรม มรดกทางธรรมชาติ ประเทศไทยที่ไหนว่าดี ว่าดัง ก็แห่กันไป แบบไม่เคยคิดถึงส่วนรวม ขาดจิตสำนึกในการเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี คนมีเงินมีกะตังสามารถกว้านซื้อที่ดินอย่างอิสระเสรี สังคมแห่งการไม่รู้จักพออย่างสุดโต่ง เคยคิดว่าผู้ท่านผู้นำทั้งหลาย จะมีใครสักคนกล้าลุกขึ้นมาจัดการระเบียบทรัพยากรบ้าง สงสารประชาชนชาวเชียงคาน ที่วิถีชีวิตต้องเปลี่ยนไป สดุดีให้กับวีชนของการรักษ์ป่า อย่างสืบ นาคะเสถียร จะมีสักกี่คนที่ยังนึกถึงท่านบ้าง ทุกๆครั้งที่เห็นข่าวแบบนี้ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ท่านทำไป มันกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่เห็นคุณค่า แม้ท่านต้องแลกด้วยชีวิต…เราจะเป็นคนหนึ่ีงที่ไม่ไปทำร้ายเชียงคานแน่นอน…จะต้องมีทรัพยากร ป่าไม้ สิ่งที่เป็นวิถีชีวิต ที่ไหนอีก….เสวยความยาก ความต้องการของมนุษย์ผู้ไม่รู้จักพอ…ชีช้ำกะหล่ำปลีกับประเทศไทย
quoteจาก sum…^
“ไม่เคยคิดถึงส่วนรวม ขาดจิตสำนึกในการเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี”
มี๒ประเภท ไม่เปลี่ยนที่เล่นไพ่ทั้งวันทั้งคืน ก็ฉิ่งฉับทัวร์กินเหล้าแหกปากลั่น
ไม่สนใจจะดื่มด่ำความงามของธรรมชาติและวัฒนธรรมพื้นถิ่นที่หลากหลายเลย
ต่างชาติเคยรำคาญถึงขนาดทำเว็บไซต์ตำหนิคนไทยเจ้าของประเทศด้วยครับ
หาวิธีจัดการดีกว่าอย่าบอกว่าให้คนอื่นไม่ไปได้ไหม ฟังแล้วเสียความรู้สึก ฉันคนไทย อยากไปไหนก็ได้ในประเทศไทย แล้วฉันก็ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใคร เวลาไปเที่ยวก็ไปช่วยอุดหนุนให้คนในสถานที่ๆ ไปเที่ยวได้มีรายได้ ไม่ต้องหนีเข้าเมืองอย่างกรุงเทพ มาหาอาชีพทำกิน
คิดน้อยไปหรือเปล่า คิดมุมกว้างๆ หาวิธีการแก้ปัญหาดีกว่า มานั่งจิตตกไร้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาเลย
เมืองที่คุณอยู่เป็นของคนทุกคนในประเทศไทย ลืมไปหรือเปล่าคะ ไม่ใช่เมืองของคุณคนเดียว
โทษทีค่ะ คอมมีปัญหา มาต่อกันค่ะ
จริงๆคนที่แห่กันไป ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยากไปเที่ยวเพื่อชมความงามอะไรกันนักหรอกค่ะ
พวกเค้าเหล่านั้นอยากแค่จะได้มุมถ่ายรูปสวยๆ เพื่อเอามาโพสแปะตามหน้าเวบหน้าบล็อคของตัวเองเท่านั้น
เหมือนที่แห่กันไปปาย ไปเขาใหญ่ ราชบุรี และที่อื่นๆ เพื่อไป”เปลี่ยนวิว”ถ่ายรูป
คนที่อยากไปชมความงดงามจริงๆของเชียงคานมีน้อยมากค่ะ
ดังนั้นคนที่เค้าชอบเที่ยวจริงๆ เค้าจะหนีไปเที่ยวที่อื่นกันค่ะ จุ๊ๆ เราต้องเก็บเป็นความลับค่ะ
คิดว่าหลังจากคนเลิกบูม เชียงคานคงจะสงบขึ้นค่ะ แม้ว่าวิถีชีวิตของชาวบ้านจะเปลี่ยนไปตลอดกาลเพราะคนเมือง
จุดขายของเชียงคานคือความสงบและวิถีชีวิต แต่การที่มีนักท่องเที่ยวตามกระแสเข้ามาที่นี่มากเกินไป ทำให้สเน่ห์เดิมๆหายไปเช่นเดียวกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ช่างน่าเสียดายจิงๆ หวังว่าเมืองเล็กๆอีกเมืองอย่างน่าน จะไม่โดนกระแสคนเมืองไหลกวาดเอาความสวยงามไปด้วยอย่างที่กำลังเกิดกับเชียงคานและปาย
พึ่งไปมาเมื่อวันที่ 14 มค.54 นี่เองค่ะ
–อย่าไปเลยเชียงคาน– หนึ่งเสียงจากนักท่องเที่ยวอย่างดิชั้น
เหตุผลหนึ่ง..มันกลายเป็นสถานที่ ที่ถูกจัดฉากขึ้นเพื่อนรับความต้องการของนักท่องเที่ยวไปแล้วอย่างที่ว่า
เหตุผลสอง..บ้านชาวบ้านแทบทุกหลัง กลายเป็นโฮมสเตย์หมดแล้ว ไม่ว่าจะบ้านเก่าบ้านใหม่
คงต้องโทษที่ตัวดิชั้นเอง ในฐานะนักท่องเที่ยวคนนึง
..ที่มีส่วนในการทำลายเชียงคาน เมืองแห่งลุ่มน้ำโขงนี่ด้วยอีกคน
😉 คนบางกลุ่มตามหาความสงบ กลุ่มเล็กกลายเป็นกลุ่มใหญ่ เมื่อคนรู้จักมากขึ้น ก็มีคนไปมากขึ้น
ผมไปเชียงคานสองครั้ง ครั้งแรกไปก็ยังเงียบๆ อยู่เพราะไม่ได้ไปช่วงเทศกาล ครั้งที่สองไปคนเยอะมากเพราะไปช่วงปีใหม่เลย เรื่องถ่ายรูปในความคิดของผม ถือว่าเป็นผลพลอยได้
นักท่องเที่ยว = หายนะ
นักท่องเที่ยวทุกคน + เจ้าของกิจการ ทุกคนต้องมีจิตสำนึก แล้วทุกอย่างจะดีเอง
หมดจากเชียงคาน คงเป็นน่าน ไม่อยากจะคิดเลย
หาวิธีจัดการดีกว่าอย่าบอกว่าให้คนอื่นไม่ไปได้ไหม ฟังแล้วเสียความรู้สึก ฉันคนไทย อยากไปไหนก็ได้ในประเทศไทย แล้วฉันก็ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้ใคร เวลาไปเที่ยวก็ไปช่วยอุดหนุนให้คนในสถานที่ๆ ไปเที่ยวได้มีรายได้ ไม่ต้องหนีเข้าเมืองอย่างกรุงเทพ มาหาอาชีพทำกิน
คิดน้อยไปหรือเปล่า คิดมุมกว้างๆ หาวิธีการแก้ปัญหาดีกว่า มานั่งจิตตกไร้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาเลย
เมืองที่คุณอยู่เป็นของคนทุกคนในประเทศไทย ลืมไปหรือเปล่าคะ ไม่ใช่เมืองของคุณคนเดียว
******เห็นด้วยกับข้อความนี้ที่สุด********
เพราะเราทุกคนเป็นคนไทย เที่ยวไทย อุดหนุนคนไทยด้วยกันเอง (มุมมองในแง่มุมของนักท่องเที่ยว) ส่วนชุมชน หมู่บ้าน อบต. อบจ. ต้องมีส่วนในการสนับสนุนสิ่งที่ดีที่จะเกิดขึ้นหรือให้คงอยู่ในสภาพเดิมที่สุด และต้องไม่สนับสนุนสิ่งไม่ดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย แต่ในเมื่อมันห้ามไม่ได้ ก็ต้องทำให้มันไม่เกิดขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้….. ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน // ไม่มีเที่ยงแท้หรือความจีรังยั่งยืนในชีวิตมนุษย์ปุถุชน ….
คุณ แมร่งเซง ครับ
“หาวิธีจัดการดีกว่าอย่าบอกว่าให้คนอื่นไม่ไปได้ไหม”
^
กรณีนี้ ผมว่าเขาประชดครับ ในเมื่อคนเรามันเปลี่ยนนิสัยไม่ได้ พัฒนาคุณภาพนักท่องเที่ยวไม่ได้ ไปไหนก็ไปราวีทำลายชุมชน ห้ามยังไงก็เอาไม่อยู่หรอกครับ
“เวลาไปเที่ยวก็ไปช่วยอุดหนุนให้คนในสถานที่ๆ ไปเที่ยวได้มีรายได้”
^
กรณีนี้ คิดตื้นเกินไปหรือเปล่าครับ การอุดหนุนให้คนมีรายได้เป็นเรื่องดี แต่ต้องดูด้วยว่าเป็นรายได้ที่ยั่งยืนไหม คุ้มกับสิ่งที่เขาเสียไปหรือไม่ มีผลดีผลร้ายอย่างไรบ้าง ไม่ไช่อ้างแต่ว่าตนเองเอาเงินไปใช้แล้วชุมชนจะดีขึ้น
“คิดน้อยไปหรือเปล่า คิดมุมกว้างๆ หาวิธีการแก้ปัญหาดีกว่า มานั่งจิตตกไร้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาเลย”
^
เช่นอะไรบ้างล่ะครับ ที่เขาเขียนบทความ ก็เพื่อเรียกความสนใจให้คนเข้ามาหาทางออกไงครับ เหมือนคนเริ่มเปิดประเด็นเท่านั้น ส่วนการแก้ปัญหามันก็ขึ้นอยู่กับทุกๆคนช่วยๆกัน ไม่ไช่พอมีคนเปิดประเด็น แล้วอยู่ๆไปว่าเขาคิดน้อย แต่ตัวเองก็ไม่ได้เสนอทางออกอยู่ดี แบบนี้ตลกครับ 😆
“เมืองที่คุณอยู่เป็นของคนทุกคนในประเทศไทย ลืมไปหรือเปล่าคะ ไม่ใช่เมืองของคุณคนเดียว”
^
ถ้าซอยบ้านคุณเกิดมีคนเข้าไปเดินเล่นทิ้งขยะ ส่งเสียงดังกันตอนเย็นตอนค่ำเต็มไปหมด แล้วอ้างประโยคนี้ มันก็คงตลกอีกเช่นกันน่ะครับ 😆
มันคนละเรื่องเลย ไม่เคยพัฒนาอะไร มีแต่เงิน เที่ยวตามเทรนด์ ทำลายทุกอย่าง เอาเงินไปฟาดหัวคนอื่น แล้วอ้างว่า บ้านเขาเป็นของคนไทยทุกคน ตลกมากครับ 😀
ปัญหามันคือคุณภาพของนักท่องเที่ยว ต่อให้มีมาตรการบ้าบออะไร ถ้านักท่องเที่ยวยังใช้เหตุใช้ผลไม่เป็น เอะอะคิดว่าตัวเองมีเงิน กำลังลงไปโปรดสัตว์ช่วยให้ชาวบ้านได้ลืมตาอ้าปากได้ คิดว่าชุมชนทุกแห่งเป็นที่ท่องเที่ยวของตนตราบใดที่จ่ายเงิน คิดว่าจะต้องเที่ยวตามเทรนด์เพื่อมาอัพเดทโพรไฟล์ในเฟสบุค ยังไงก็แก้ปัญหาไม่ได้หรอกครับ ถ้าจะแก้มันต้องแก้ที่ตัวเองจริงๆ เรื่องแบบนี้ เช่น เห็นคนไร้ปัญญา ก็เข้าไปเตือนเขาหน่อย ว่าอย่าทำร้ายชุมชน หรือ ธรรมชาติมากไปกว่านี้อีกเลย 😉
เข้ามาอ่านแล้วรู่้สึกว่า นี่เป็นบทความที่เขียนมาจากหัวของนักธุรกิจตัวจริง
มองอะไรเป็นระบบทุนไปหมด ทีแรกนึกว่าจะชื่อหัวเรื่องจะเป็นนัยยะ
แล้วมีเขียนเรื่องความสุนทรีย์ของความสุขง่ายๆ แบบไม่ต้องมีปัจจัยอะไรมาก
แต่ไม่เลย….
จริงๆแล้วคนที่ต้องการอะไรน้อยๆ ไม่เอิกเริก มันยังพอมีอยู่นะ
บางอย่างควรไปสงวนไว้บ้าง ไม่ต้องเอาห้างไปตั้ง อะไรหรอกครับ
สำหรับคนที่เป็นคนกรุง แล้วห่วงพะวงกับเรื่องที่คุณวันชัยกล่าว มีวิธีคิดคล้ายๆกัน ผมก็แนะนำว่าอย่าไปครับ แต่ไม่เห็นด้วยกับ การจะมาบอกคนอื่นๆว่าอย่าไปเลย เป็นข่าวพาดหัวแบบนี้ ผมไม่เห็นด้วย ผมคิดว่ายังมีคนที่ชอบอะไรไม่เหมือนคุณอยู่
คนที่ยังอยากกลับไปมีชีวิตบ้านๆ ปกติ
หลีกหนีความวุ่นวาย ค้นหาความสุขในแบบง่ายแต่งาม ยังคงมีอยู่
ให้เป็นดินแดนลับแล สำหรับคนอยากหนีอะไรซักอย่าง แบบที่เข้าไปแล้วไม่ต้องไปเห็นมันอีก แบบนี้น่าไป ถ้าไปทุกที่แล้วมีอะไรเหมือนๆกัน ผมว่านั่นก็อยู่กรุงเทพอ้วนๆไปนั่นแหล่ะครับ ดีแล้ว
❗ คิดอีกแง่มั๊ย ว่าจริงๆแล้วคนเมืองใหญ่ปัจจุบันต่างโหยหาสถานที่ที่เรียบๆเงียบสงบ บ้างก็คงไปกันตามกระแส แต่คงยังมีส่วนนึงล่ะที่ต้องการไปดื่มด่ำชีวิตที่หมุนช้า
เพิ่งไปมาช่วงปีใหม่ อาจเป็นช่วงหยุดยาวที่ทุกคนจะว่างตรงกัน คนก็เยอะเป็นธรรมดา โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าบทความนี้น่าจะไว้กระตุ้นเตือนนักท่องเที่ยวนะ ว่าเวลาไปบ้านใครก็น่าจะทำตัวกลมกลืนกับเจ้าบ้านอย่าไปพยายามทำให้เค้าต้องเปลี่ยนทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
คุณสักวัน อ่านผ่านๆหรือเปล่าครับ เลยเข้าใจบทความเขาไปในทางนั้น ?
ไปเที่ยวเถอะค่ะ เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีก็พอค่ะ 🙂
ผมไม่เคยไปเชียงคาน แต่เป็นคนหนึ่งที่ผิดหวังกับปาย ที่กลายเป็นเมืองเล็กๆไปแล้ว
คิดว่าเชียงคานคงไม่ต่างกัน
ทั้งนี้ จะไปโทษนักท่องเที่ยวอย่างเดียวคงไม่ได้ คนเขาอยากเห็นอยากสัมผัส
จะไปห้ามก้ออาจจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย
แต่เป็นที่ชาวบ้านและผู้ประกอบการเองด้วยที่ต้องระวัง ไม่คิดแต่เรื่องเงินกับความต้องการของนักท่องเที่ยว
ผมเห็นด้วยที่ชาวบ้านควรจะรักษาขนบธรรมเนียมและวิถีทางของตัวเองไว้
แต่การห้ามdiscourageไม่ให้คนไปเที่ยว มันแก้ไม่ถูกจุด
มันต้องมาจากคนพื้นที่นั่นแหละ ที่ต้องควบคุม ต้องconservativeและรักษาจุดยืนวิถีความเป็นอยู่ของตัวเองไว้
ถ้านักท่องเที่ยวอยากได้เซเว่น เราไม่มี อยากเอารถมาจอด เราไม่ให้
นี่บ้านเรา เราจะอยู่แบบนี้ ชอบเราก้อต้อนรับ ไม่พอใจอ่ะก้อไม่ต้องมา
ที่อื่นทั่วโลกเขาทำได้ เราก้อต้องทำได้ (เช่นที่ Zermatt ในสวิสเซอร์แลนด์ เขาไม่ให้เอารถเข้ามาวิ่งเลย เพราะทำลายสิ่งแวดล้อม)
ต้องทำก่อนที่มันจะสายเกินไป และต้องทำทุกที่ด้วยครับ
ผมว่าคุณ ชื่อ (ต้องใส่) มีอคติกับคนเมืองมากเกินไปหรือเปล่า ผมเชื่อว่าถ้าเจ้าบ้านวางระเบียบไว้อย่างรัดกุมชัดเจน พวกผมคนเมืองยินดีปฏิบัติตามอยู่แล้ว มุมมองของคุณอาจจะผิดหรือถูกก็ได้เพราะเป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัว อย่าเที่ยวไปแก้หรือชี้แจงในทุกๆ คคห. เลยจะดีกว่าไหม เหมือนร้อนตัวยังงัยไม่รู้สิครับ
อ่านแล้วก็เกิดอยากไป
อยากเห็นอยากรู้ขึ้นมาเหมือนกันนะครับว่าเชียงคานเป็นอย่างไรหากประสบด้วยสายตาตนเอง
ผมคิิดว่าไม่ว่าทางใดก็ตามเมื่อมีการโปรโมทการพูดถึง มีข้อมูลที่ดึงดูด นักท่องเที่ยวย่อมต้องการจะไปลิ้มลองสถานที่แห่งใหม่เหล้านั้น ไม่ว่าจะเพื่อถ่ายรูป ดื่มสุรา เดินชิล ชมวิีถีชีวิตเรียบง่าย ชื่นชมธรรมชาติ หรือเหตุผลอะไรอื่นก็ตาม
ในกรณีปัญหาของการเกิดขึ้น ดำรงอยู่และเสื่อมไปของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ๆ ที่ทยอยเกิดขึ้น มีกรณีปัญหาที่เป็นปมซึ่งผมได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านอยู่บ่อยๆ ซึ่งผมสรุปคร่าวๆ ด้วยตนเองออกมาได้สี่ประการ
ประการแรกคือ ความเปลี่ยนแปลงของจุดนั้นที่เกิดในทางลบ และการชั่งน้ำหนักข้อดีของเสียของแต่ละบุคคลซึ่งย่อมต่างกันออกไป
ประการที่สอง คุณลักษณะของนักท่องเที่ยวซึ่ง ‘ทำลาย’ บางสิ่งอย่างซึ่งส่งผลในด้านลบทั้งต่อจิตใจและต่อชุมชนเหล่านั้นจริง
ประการที่สาม การสื่อสารหรือการโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยวทีละจุดซึ่งก่อให้เกิดการรุมทึ้งของนักท่องเที่ยวในลักษณะฝูงตั๊กแตนดังที่บทความได้กล่าวไว้
ประการที่สี่ มาตรการหรือการจัดการของเมืองหรือชุมชนเหล่านั้นที่ควรมีต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
จากการสรุปคร่าวๆ ของผม(ซึ่งก็ไม่ได้แม่นยำอะไรมากนักหรอกครับ)
จึงอยากชวนให้ผู้เป็นนักท่องเที่ยวหรือใครก็ตามที่อยู่ในแต่ละชิ้นส่วนของปัญหา
ค่อยๆ ปรับปรุงตัีว ทั้งลักษณะการเที่ยวหรือทัศคติที่มีหลากหลาย
ยอมรับความคิดที่แตกต่างและอยู่กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
การเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี นั้นเป็นอย่างไรผมไม่รู้มากนัก แต่การที่เรามีอคติต่อผู้อื่นที่ชอบเที่ยว ก็ไม่ต่างอะไรกับการติติงตนเองเพียงถ่ายเดียวเพราะเราต่างก็เป็นมนุษย์ที่อยากรู้อยากเห็นสิ่งใหม่ๆ อยากเดินทางท่องเที่ยวไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าใครไปก่อนไปหลังก็เท่านั้น (ซึ่งก็หมายถึงใครเข้าถึงข้อมูลก่อน มีความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลก่อนก็เท่านั้น) ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใครไปเที่ยวเชียงคาน หรือปายมาก่อนก็อาจไม่นับว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวไปทำลายสถานที่เหล่านั้น ทว่าต้องไม่ลืมว่าผู้มาก่อนต่างก็คือผู้บุกเบิก
นักเดินทางสมัยก่อนมากมายต่างออกเดินทางไปค้นหาแผ่นดินใหม่และต่างก็ละลานดินแดนไกลโพ้นเหล่าทั้งไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
คุณจะเป็นผู้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ คุณย่อมอยู่ในการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เพียงแต่จะมากน้อย จะดีจะร้ายเราเองก็มีส่วนร่วมในทิศทางเหล่านี้ได้อยู่บ้าง
ความเปลี่ยนแปลงในระดับใหญ่เป็นเรื่องที่มนุษย์ตัวเล็กอย่างผมได้แต่ออกความเห็นส่งต่อความคิดกันไป ไม่มีบทบทบาทอะไรจะเปลี่ยนโลกหรอกครับ แต่หากเป็นโลกที่ดำรงอยู่รอบตัวละก็ ผมคิดว่าไม่ยาก หากจะลองปรับเปลี่ยนดู ไม่ว่าจะความเข้าใจต่อตนเองผู้อื่นและการกระทำของตนเองต่อตนเองและตนเองต่อผู้อื่นสถานที่อื่นยกตัวอย่างเช่นเชียงคาน เป็นต้น
ก็กุจะเที่ยว เมิงจะทำไม หะ ไม่อยากให้เป็นที่เที่ยว ก็ทิ้งขยะ สร้างมลพิษ ให้ไม่น่าเที่ยวเด่ะ ติดป้ายบอกด้วย ที่นี้สลัมเชียงคาน เลยดิว่ะ สาดดดด โด่ ไอ้เชี่ย ตอนไม่มีรายได้ละร้องแหลกแหกกระเซิงขอเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ไม่กำหนดกฏกันเอง พอเละแล้วเสือกโทษคนนอก เมิงบ้าป่ะ ไอ้ห่าราก 😡 😡 😡 😡
้เพิ่งไปมาเมือสิ้นปี ตอนเช้าอากาศดี มีหมอกหนาแน่น และมีตักบาตรข้าวเหนียว คนเยอะมากๆ ตั้งแถวหลายกิโล จนผุ้เฒ่าผุ้แก่ บอกว่า มีชีวิตอยู่มาได้ 90 ปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นคนมากขนาดนี้เลยที่เชียงคาน ทุกคนต่างปะหน้าทาแป้งหน้าตาแแจ่มใสตั้งหน้าตั้งตารอพระมา พระไม่พอกับจำนวนคน ของใส่บาตรเยอะมากๆ จนต้องมีเด็กวัดเข็นรถเข็นตาม เราไม่ได้ห้องพักหรือบ้าน เพราะเต็มยาวเหยียดไปหลายวัน โชคดีมีเต็นท์ไปกลางที่โรงเรียนใกล้ๆ ไม่แพง มีห้องน้ำสะดวก
ส่วนตัวชอบเที่ยวแบบนี้ หวังจะได้ถ่ายภาพสวยๆ เป็นความทรงจำ และต้องการความสงบพักผ่อนเงียบๆ สถานทีีอ่ะดีอยู่แล้ว ผุ้ึคนก็ใจดี แต่คนทีั่ไปเทียวต่างหากที่มุ่งหวังต่างๆ นาๆๆ
#
bonbons on 25 ม.ค. 2011 at 1:52 pm #
โทษทีค่ะ คอมมีปัญหา มาต่อกันค่ะ
จริงๆคนที่แห่กันไป ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยากไปเที่ยวเพื่อชมความงามอะไรกันนักหรอกค่ะ
พวกเค้าเหล่านั้นอยากแค่จะได้มุมถ่ายรูปสวยๆ เพื่อเอามาโพสแปะตามหน้าเวบหน้าบล็อคของตัวเองเท่านั้น
เหมือนที่แห่กันไปปาย ไปเขาใหญ่ ราชบุรี และที่อื่นๆ เพื่อไป”เปลี่ยนวิว”ถ่ายรูป
คนที่อยากไปชมความงดงามจริงๆของเชียงคานมีน้อยมากค่ะ
ดังนั้นคนที่เค้าชอบเที่ยวจริงๆ เค้าจะหนีไปเที่ยวที่อื่นกันค่ะ จุ๊ๆ เราต้องเก็บเป็นความลับค่ะ
คิดว่าหลังจากคนเลิกบูม เชียงคานคงจะสงบขึ้นค่ะ แม้ว่าวิถีชีวิตของชาวบ้านจะเปลี่ยนไปตลอดกาลเพราะคนเมือง
————————————————————————————
เพราะมีคนคิดได้แค่นี้แหละประเทศไทยถึงไม่เจริญ
แหล่งเพาะพันธุ์ควายแดงป่าวว่ะเนี้ย on 27 ม.ค. 2011 at 3:48 pm #
ก็กุจะเที่ยว เมิงจะทำไม หะ ไม่อยากให้เป็นที่เที่ยว ก็ทิ้งขยะ สร้างมลพิษ ให้ไม่น่าเที่ยวเด่ะ ติดป้ายบอกด้วย ที่นี้สลัมเชียงคาน เลยดิว่ะ สาดดดด โด่ ไอ้เชี่ย ตอนไม่มีรายได้ละร้องแหลกแหกกระเซิงขอเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ไม่กำหนดกฏกันเอง พอเละแล้วเสือกโทษคนนอก เมิงบ้าป่ะ ไอ้ห่าราก
————————————————————————————-
นี่ก็อีกคน เฮ่อ เหนื่อยใจที่ประเทศไทยมีคนหัวคิดแบบนี้
สงสัยเมืองต่อไปอาจเป็นแม่สะเรียง
—–บางคนอาจเลือกไปวันธรรมดา บางคนหยุดไม่ได้ก็ไปวันหยุด
——บางคนปีหนึ่งไม่มีโอกาสได้หยุดเที่ยว พอได้วันหยุดไปเที่ยวซึ่งหายากเต็มทน ก็อยากไปเที่ยวที่ๆคนเขาพูดถึง ว่าสวยแค่ไหน อาจไปครั้งเดียวใชีวิตแล้วไม่กลับไปอีก
….. จะบอกให้ใครไม่ไปก็คงยาก เพราะเขาก็ต้องอยากไป ใจเขาใจเรา….
… เงื่อนไขของแต่ละคน มีเยอะ ต่างกัน แต่ไปอย่างไรให้ไม่กระทบกระเทือนใครน้อยที่สุด
……..จริงๆ ต้องขึ้นอยู่กับพื้นที่ว่ามีความพร้อมจะรับนักท่องเที่ยวไหม ชุมชน ผู้คนในพื้นที่ต้องการไหม ถ้าบ้านจะพัง จะไม่เรียบร้อย จะสกปรก มันอยู่ที่ใคร เจ้าของบ้านจะจัดการอย่างไร
ดูอย่าง วัดพระแก้ว สถานที่นี้เปิดรับผู้คนเป็นพันล้านคนได้ ทำไมยังสะอาดเอี่ยม เรียบร้อย ลองหาคำอธิบายกันดู จะจัดการกันอย่างไร เทศบาล ต้องช่วยกันคิด….
…….ส่วนนักท่องเที่ยวต้องปรับตัวเข้ากับพื้นที่ ไม่ใช่จะเน้นความสะดวกสบายตลอด เที่ยวเพื่อการพักผ่อน เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คน
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พยายามนำเสนอแหล่งท่องเที่ยว ที่หลากหลาย ไม่เจาะจงว่าเป็นที่ใดเฉพาะ พยายามเสนอทั้งประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ วัฒนธรรม แต่นักท่องเที่ยวเป็นผู้เลือกเองว่าจะไปที่ใด ตามสื่อต่างๆที่ได้รับรู้ ปากต่อปาก ซึ่งนิสัยนักท่องเที่ยวไทยเป็นแบบไหน ก็จะเห็นได้เอง
ในช่วงแรก ตลาดน้ำอัมพวา มีข้อมูลเพียงแค่ 7-8 บรรทัด ในเอกสาร ททท. ที่พักโฮมสเตย์มีแค่ 10 กว่าแห่ง แต่การเติบโตของแหล่งเป็นไปโดยธรรมชาติของพื้นที่เอง และความต้องการของนักท่องเที่ยวที่จะไป ในเวลา 2-3 ปี ที่พักเพื่มเป็น 300 กว่าแห่ง ต่อให้วันนี้เขาหลีกเลี่ยงไม่ไป วันหนึ่งเขาก็คงอยากไปเห็นบ้างอยู่ดี
พื้นที่ต้องดูแลบ้านของตัวเองให้ดีที่สุด จะจัดการ ออกกฏเกณฑ์ใดๆๆ ก็ทำไป คนเที่ยวก็ต้องศึกษาข้อมูลไปเที่ยวด้วย และเคารพวัฒนธรรมแต่ละแห่ง
รักจะเที่ยว ก็ต้องรักษ์ที่เที่ยวด้วย
คุณ อย่าร้อนตัว
คำว่า ร้อนตัว เป็นคนละเรื่องกับการพยายามใช้เหตุใช้ผลโต้เถียงกันแบบคนมีการศึกษาครับ ผมเห็นคุณ แมร่งเซง ออกความเห็นในมุมมองและระดับสติปัญญาของเขา ผมก็ใช้เหตุผลของผมหักล้างไป, หรือคุณ suckone ออกความเห็นเหมือนคนอ่านหนังสือผ่านๆ เพราะเขาไปจับประเด็นในเครื่องหมายคำพูด แล้วคิดว่านั่นคือข้อความหลักของบทความ ผมก็แค่อยากเตือนว่าเขาเข้าใจผิดหรือเปล่า ก็ช่วยๆกัน ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลย
ส่วน คุณเอง ถ้าไม่เห็นด้วยตรงไหนก็น่าจะว่ามา ไม่ไช่มาบอกว่าคนอื่นร้อนตัว ไม่ควรมาออกความเห็น ตลกครับ แบบนี้
ปรกติเวลาเจอคนคิดไม่เหมือนกัน คุุณใช้วิธีนี้คุยกันหรือครับ? เช่น ใครใช้เหตุผลหักล้างมา ก็ไปปรักปรำเขาว่า ร้อนตัว, หรือ อย่ามาเที่ยวชี้แจงดีกว่าไหม 🙄
นอกจากที่คุณพยายามจะบอกให้คนอื่นหยุดออกความเห็นแล้ว ผมยังไม่เห็นเหตุและผลอะไรออกมาจากความเห็นคุณเลยน่ะครับ 😆
Pingback: อย่าไปเลยเชียงคาน อยากสบาย อยากอยู่ห้องแอร์ก็นอนอยู่บ้าน | เสื่อมมันช่างสวยงาม วิจิตรพิสด
มันขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ว่า เราไปเพื่อปรับตัวเข้ากับเขา หรือ ให้เขาปรับตัวเข้ากับเรา
ตกลงค่ะ…ไม่ไปก็ได้ค่ะ 🙁
ดิฉันเป็นคนเชียงคานโดยกำเนิด อยู่ระหว่างเจเนอเรชั่นกลางเห็นระหว่างความเก่าและความใหม่ในปัจจุบัน ขอแชร์ความคิด ในมุมมองของคนเชียงคานดิฉันอ่านแล้วเห็นด้วยกับเจ้าของคอมลัมม์เพราะดิฉันทำงานที่อื่นกลับบ้านเสาร์-อาทิตย์ คือ ไปพักผ่อน กินอาหารที่แม่ทำ และนอนนนนนนนน เติมเต็มชีวิตพร้อมจะสู้งานหนักในวันจันทร์ แต่ปัจจุบันก็ไม่อยากไปเช่นเดียวกัน แต่ในมุมมองของนักวิชาการที่จำเป็นต้องลงไปทำวิจัย และนำผลการวิจัยไปเผยแพร่ความเป็นเชียงคานให้คนส่วนหนึ่งรู้จัก ทั้งด้านวิถีชีวิต อัตลักษณ์ และพยายามเหลือเกินที่จะบอกใครๆว่าเชียงคานไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหรอก แต่เป็นเมืองพักผ่อน เป็นบ้านหลังที่สองที่คุณสามารถเดินทางไปเพื่อไปพักกับญาติที่คุณเองไม่เคยรู้จัก แต่พวกเขายินดีจะยิ้มและต้อนรับคุณด้วยไมตรีโดยที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงซึ่งเป็นนิสัยของคนที่นั้น ดังนั้นหากเราคิดเช่นนี้เราจะได้ไม่คาดหวังว่าเชียงคานต้องมีอะไรอันเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับเราตรงตามองค์ประกอบของการท่องเที่ยว มาตรฐานที่พัก อาหาร ของที่ระลึก ฯลฯ สิ่งเหล่านั้นคงไม่ต้อง นั้นแหละเชียงคานจึงจะเป็นเมืองงานในความทรงจำของทุกท่านที่ไปเยี่ยมตลอดไป ส
อ่านแล้วก็เหนื่อยแทนทั้งคนที่อยากไปเที่ยว และคนเป็นเจ้าของบ้าน เอาว่าการเที่ยวแต่ที่ละแต่ละแห่งถ้าเราเคารพสถานที่และเจ้าของบ้าน ปัญหาคงไม่เกิดเนอะ แต่เชียงคานสวยอย่างเชียงคานจริง ๆ confirm คะ
ผู้ที่เปิดประเด็นนี้ ผมว่าเป็นคนไทยที่มีปัญญาน้อย สมองฝ่อ ไม่รู้คิดมาได้ยังไง
พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต ที่ไหนๆ ก็ไปเถอะ เมืองไทยเหมือนกัน เงินทองได้หมุนเวียน
เพียงแต่ปีคนี้คนแห่มาเที่ยวที่เชียงคาน นักท่องเที่ยวประจำก็มาที่นี้เป็นเรื่องธรรมดา ปีหน้าอาจเป็นที่อื่น ก็เป็นเรื่องปรกติ นิสัยของคนไทย ที่ไหนดังก็ไปที่นั้น เดิมนักท่องเที่ยวก็มาที่นี้อยู่แล้ว
คงมีแต่พวกอิจฉาที่คิดแบบนี้ ที่คุณเขียนมาก็มีแต่ (เพื่อนเล่า) ไม่มาดูเองละ มาคุยกับชาวบ้านดิ อย่านั่งเทียน มันเหมือนคนโง่แล้วอวดฉลาด
เท่าที่อ่านผมว่าความคิดกำลังแบ่งเป็น2ฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งว่าการที่เชียงคานมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากเป็นการทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้าน
อีกฝ่ายเชื่อว่าไม่เกี่ยวกัน ทางชาวบ้านและท้องที่น่าจะมีการจัดการที่ดีสำหรับแก้ปัญหาที่เพื่อนของคุณวันชัยกล่าวมาข้างต้น
อย่างไหนถุกฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มีข้อสงสัยที่น่าจะหาคำตอบได้ไม่ยาก
1.วิถีชีวิตของชาวบ้าน สภาพบ้านเมือง จำนวนอุบัติเหตุ ก่อน กับหลังเชียงคานได้รับความนิยมมันต่างกันอย่างไร?
2.จริงหรือที่เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้าไปแล้วจะทำให้คุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่นั้นดีขึ้น?(ไม่เฉพาะเชียงคาน)
3.จริงหรือถ้าไม่ไปเที่ยวเชียงคานแล้วเมืองจะกลับมาสงบเหมือนเดิม?
4.นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ปฏิบัติตัวเป็นแขกที่ดีหรือเปล่า?
ฉันไม่เคยไปเชียงคานหรอก แต่จากการที่ทำงานอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และได้เห็นพฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนไทยซึ่งมีพื้นฐานตั้งอยู่บนความคิดว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า” แล้วก็ให้รู้สึกหดหู่ดีแท้ๆ (วัดจากปริมาณขยะที่ไม่ทิ้งลงถังทั้งที่มีป้ายบอกไว้แล้ว และจัดถังขยะไว้ให้มากมาย)
แต่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครห้ามให้ใครไปไหนได้ ขอแค่อย่าไปสร้างปัญหาก็คงพอ เพราะใช่อย่างที่คุณgigi(ความคิดเห็นด้านบนๆโน่น)ว่าไว้จริงๆ
เมืองที่คุณอยู่เป็นของคนทุกคนในประเทศไทย ลืมไปหรือเปล่าคะ ไม่ใช่เมืองของคุณคนเดียว
ที่ไหนคนเยอะที่นั้นก็เสื่อมโทรมตามไปด้วยครับ เป็นปกติ เข้าใจเลย 🙄
Make Money
ไม่เคยไปเลยครับ น่าสนุกดีนะครับ
ก็อย่าไปดู ครับ
ไปเชียงคานเพื่ออะไร…….. ก่อนจะเดินทางไปเที่ยวไม่ว่าที่ไหนต้องมีการวางแผน
ถามว่า……ท่านที่เดินทาง….ต้องการ…เที่ยวแบบพักผ่อน ดูวิถีชีวิตเดิม ๆ ดูความเป็นชาวบ้านที่ห่างไกลเมืองกรุง ต้องไปที่นี้ เชียงคาน
…แต่เมื่อไหร่ที่ท่านต้องการความสะดวก สบาย อยากได้อย่างที่ท่านต้องการ นอนห้องแอร์ กินอาหารที่ชาวบ้านเขาไม่มีจะให้ท่านกิน ขอแนะนำที่เชียงคานไม่มี อย่าไปเลยเชียงคาน ให้เขาอยู่อย่างที่เขาเป็นและกิ นอย่างที่เขามีจะกิน …ขออนุญาตแนะนำแค่นี้
ตลกดี
😆
ไม่เคยไป…สงสัยคงสนุกดีเนาะ 😀
พูดแบบเป็นวิทยาศาสตร์นะครับ 1 มนุษย์มีเกิด 2 มี แก่ 3 มีเจ็บ 4 มีตาย เฉพาะนั้น
เมื่อมีเกิด มีชีวิตทุกชีวิต ก็เอาความอยู่รอดเป็นธรรมชาติ ของสิ่งที่มีชีวีต ทุกๆชีวิตจะ
ต้องทำ ถ้าอยู่เฉยๆ ก็คือสิ่งที่ผิตธรรมชาติหรือตายตั้งแต่เริ่มมีชีวีต สี่งที่ไม่แปลกเลย
คือ จะมนุษย์หรือสี่งที่มีชีวิตอื่นๆ จำเป็นจะต้องคืออยู่ให้ได้ เมื่ออยู่ได้ก็มีการเจริญ
เติบโต เมื่อโต ก็รู้เห็น พัฒนาไปเรื่อยๆ จนถึงที่เปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมโลก โลกคือสัง
คมที่ไร้พรมแดนไร้ขีดจำกัด เมื่อไร้ขีดจำกัดก็จะเห็น สัจธรรม สี่งที่มีชีวิตต่างจะต้องเจอ
คือการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กไปสู่วัยรุ่นวัยกลางวัยแก่วัยชราแล้วก็ตาย การเปลี่ยน
แปลงจะห้ามได้ยังไงครับ เพราะมัอิงธรรมชาติอยู่ ไม่ว่าความเจริญทางไหนมันก็ต้อง
เจริญ ยิ่งมนุษย์เราแล้วเรียนรู้ได้ทุกเรื่อง อยู่เฉยๆก็ไม่เป็น จึงจำเป็นต้องยอมรับโดย
อัติโนมัติ นอกจากธรรมชาติ จะให้ที่เกิดที่กินที่อยู่แล้ว ยังไม่พอ ยังอยกหล่ออยากรวย อยากสวย อยากมีอำนาจ วาสนาบารมีมากกว่าใครเขาอีกมาย ทนวุ่นวายไป
แบบนี้แหละครับ ที่แน่ๆผมฅนหนึ่งแหละครับจะรับอาสาพัฒนาเชียงคานให้เป็นเลิศ
ในไม่ช้า โปรดจำชื่อ ดร.โฟไว้นะครับ เชียงจะต้องถูกเณรมิตรด้วยมือภาคประชา
ในถิ่นของเขาเอง ไม่ใช่ มีอำนาจใดครอบงำด้วยครับภาคประชาชนมีวิธีครับ โทร091
8012069 0835611179
กาลเวลาเปลี่ยนอะไรๆก็เปลี่ยนไป