เลือดบูชิโดกับสึนามิ

ภาพที่เห็นนี้ เกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวใต้ทะเลด้วยความรุนแรงขนาด 9 ริกเตอร์ ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูงนับสิบเมตรถล่มเกาะญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 ภาพนี้ เป็นภาพของคนญี่ปุ่นจำนวนมากกำลังเข้าคิวรอซื้อของกันอย่างอดทนเป็นระเบียบ ทั้ง ๆที่ไม่แน่ใจว่ายังมีสิ่งของเหลือให้ได้ซื้อหรือไม่

ขอคารวะแด่ดวงวิญญาณของผู้สูญเสียนับหมื่นคน ขอเป็นกำลังใจให้กับชาวญี่ปุ่นหลายล้านคนที่ต้องผ่านความทุกข์แสนสาหัสครั้งนี้ไปให้ได้

แม้จะผ่านความยากลำบาก ความโกลาหลในสภาพที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนอาหาร น้ำ  เครื่องนุ่งหุ่ม  ชาวญี่ปุ่นเหล่านี้ยังมีวินัยและความอดทนดีเลิศ

ภาพถ่ายจากวิดีโอหรือภาพนิ่งจากข่าวทั่วโลกนับพันนับหมื่นรูป แม้จะเห็นความเสียหายมหาศาลจากภัยพิบัติครั้งนี้ที่มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ เราไม่เคยเห็นภาพคนญี่ปุ่นทะเลาะกัน ยื้อแย่งสิ่งของเพื่อการอยู่รอด หรือตีอกชกหัวด่าทอรัฐบาลของตัวเอง

ในเว็บข่าวหนึ่ง ได้มีคนอเมริกันเขียนข้อความแสดงความรู้สึกต่อเหตุการณ์ครั้งนี้เปรียบเทียบกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในสหรัฐเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า  “ตอนที่พายุเฮอริเคนแคทรินาได้พัดถล่มอ่าวเม็กซิโก สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศโดยเฉพาะเมืองนิวออร์ลีนส์ ภาพที่ปรากฎเห็นชัดก็คือ เราเห็นคนอเมริกันออกมาโวยวายด่ารัฐบาล เห็นหัวขโมยออกมาฉกชิงวิ่งราว หยิบฉวยสิ่งของต่าง ๆ  ไปจากร้านค้าจนถึงแย่งชิงสิ่งของจากผู้บริจาค แต่เราไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศญี่ปุ่นเลย แม้ขนาดความเสียหายจากสึนามิครั้งนี้จะมากกว่าอย่างเทียบไม่ได้เลย”

สิ่งที่คนทั่วโลกเห็นคือแววตาของคนที่ยอมรับความสูญเสีย ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นครั้งนี้ แม้ว่าคนญี่ปุ่นจะเป็นชาติที่วางแผนเตรียมตัวมาดีที่สุดในโลกในการรับมือกับแผ่นดินไหว แต่ยอมรับว่าครั้งนี้สู้ไม่ได้  แต่คนญี่ปุ่นเป็นคนไม่ยอมพ่ายแพ้ เราจึงเห็นคนญี่ปุ่นทุกคนร่วมมือร่วมใจกันช่วยเหลืออย่างเป็นระเบียบ อย่างมีวินัย ไม่มีเสียงบ่น เสียงตะโกนด่าทอว่าเป็นความผิดของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

เมืองเซ็นไดเมืองท่องเที่ยวที่คนไทยรู้จักดี เป็นเมืองที่ได้รับความสูญเสียหนักมากที่สุดเพราะอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวนอกชายฝั่งเพียง 81 ไมล์ ตอนนี้มีชาวเมืองเซ็นไดจำนวนมากที่ถูกคลื่นลากออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิกหาศพไม่เจอ  เมืองแห่งนี้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองโดนเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรถล่มราบเสียหายยับเยิน เพิ่งฟื้นตัวมาได้ไม่นานนัก แต่บัดนี้กลับตกอยู่สภาพเดียวกับเมื่อหกสิบปีก่อน

แต่อีกไม่นานชาวเมืองเซ็นไดจะมาพิสูจน์ให้ชาวโลกเห็นว่า เขาก้มหน้าก้มตาสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาได้อย่างไร เฉกเช่นเดียวกับการสร้างชาติของคนญี่ปุ่นหลังถูกสงครามโลกครั้งที่สองถล่มราบเกือบทั้งประเทศ โดยมีหอโตเกียวเป็นสัญญลักษณ์ของการสร้างชาติ

หอโตเกียวหรือโตเกียวทาวเวอร์สูง 33 เมตร สร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างชาติญี่ปุ่นที่ย่อยยับภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หอโตเกียวใช้เวลาสร้างหลายปี แต่ละเดือน แต่ละปีที่คนญี่ปุ่นเห็นมันสูงขึ้นเรื่อย ๆ จะเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเขารู้สึกว่าต้องรีบทำงานหนักเพื่อก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอีกครั้ง จนกระทั่งเมื่อหอโตเกียวเสร็จสมบูรณ์ มันกลายเป็นสัญญลักษณ์อันเด่นให้คนญี่ปุ่นมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศ คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยใช้เวลาแค่ยี่สิบปี เพื่อกลับมาเป็นผู้นำของโลกอีกครั้งหนึ่ง

สึนามิครั้งนี้ กำลังพิสูจน์ว่า คนญี่ปุ่นยังมีเลือดบูชิโดอยู่ในสายเลือดอย่างเต็มเปี่ยม

บูชิโดเป็นจริยธรรมของนักรบญี่ปุ่น  ที่ช่วยให้ญี่ปุ่นมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพราะบูชิโดสอนให้คนมีความกล้าหาญ มีความเป็นสุภาพบุรุษ มีความรักชาติ มีความรักครอบครัวและเคารพต่อบรรพบุรุษ บูชิโดจึงเป็นดวงวิญญาณของนักรบ อยู่เหนือการศึกษาทั้งหลายของญี่ปุ่น

บูชิโดสอนและฝึกให้คนมีความอดทนต่อความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและทางใจ จะต้องสามารถซ่อนความรู้สึกไว้ภายในใบหน้า รู้จักข่มใจตนเอง ไม่ยอมปล่อยร่างกายตกเป็นทาสของความต้องการ ไม่ยอมย่อท้อต่อความยากลำบาก

ขอคารวะอีกครั้งกับนักรบเลือดบูชิโด

กรุงเทพธุรกิจ  17 มีนาคม 2554

Comments

  1. วิรุฬห์

    ขอคารวะกับนักรบเลือดบูชิโดด้วยครับ
    คนไทยน่าจะเอาเยี่ยงอย่างครับ

    บล็อกนี้ถูกใจผมมากครับ ถ้่าเป็นเฟซบุ๊กผมกดไลค์ไปแล้ว
    ขอบคุณครับ

  2. ยุทธเศรษฐ

    “หอโตเกียวหรือโตเกียวทาวเวอร์สูง 33 เมตร” น่าจะพิมพ์ผิดนะครับ
    สารคดีจะทำสกู๊ปสึนามิ รอบ 3 รึเปล่าครับ เฉพาะเหตุการณ์ที่ชาวญี่ปุ่นต้องเผชิญกับมหันตภัย 3 รูปแบบ ในเวลาเดียวกัน

  3. นวลจันทร์

    เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อ พ.ย.53 นั่งอยู่ที่วัดอาซะกุซะเห็นคนแก่ญี่ปุ่นเดินงกๆเงิ่อนๆ ไปมามากมายมองดูก็เหมือนอากง อาม่าทั่วๆไปในเมืองไทย หรือเมืองจีน ก็ยังพูดกับเพื่อนว่าไมน่าเชื่อว่าคนแก่เหล่านี้จะเป็นคนสร้างชาติให้ญี่ปุ่นเจริญรุ่งเรืองและวางพื้นฐานความมีวินัยให้คนหนุ่มคนสาวของญี่ปุ่นได้ขนาดนี้ แล้ววันนี้ก็ยื่งต้องมาทึ่งกับความมีวินัยนั้นอีกอย่างสุดๆ (ระหว่างที่เที่ยวเห็นคนญี่ปุ่นเร่งรีบไปทำธุระของตัวเองภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉย ยังผูดกันว่าเฮ้ยเค้ายิ้มกันไม่เป็นว่ะ แต่เมื่อเข้าไปขอความช่วยเหลือ หรือถามทางทุกคนให้ความช่วยเหลือเต็มที่ ตัวเองไม่รู้ก็รีบไปถามคนอื่นให้ หรือพูดกันไม่รู้เรื่องก็พาเราเดินย้อนกลับไปทางที่เขาเพิ่งเดินย้อนกลับไปทางที่เขาเพิ่งเดินมาเป็นกิโลก็เจอมาแล้ว ขอคารวะๆ)ขอร่วมแสดงความเสียใจกับคนญี่ปุ่นมา ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.