เช้ามืดวันหนึ่งในฤดูหนาว ก่อนงานรัฐธรรมนูญไม่กี่วัน ประยูรตื่นขึ้นมา ได้ยินคนคุยกันข้างล่าง แม่มาปลุกว่าญี่ปุ่นขึ้นบกที่บางปูแล้ว คำสั่งที่ยุวชนทหารทุกคนได้รับมาระหว่างการฝึกจนจำได้ขึ้นใจก็คือ ถ้าหากเกิดมีศัตรูผู้รุกราน ให้ทุกคนไปรวมพลที่โรงเรียนทันที ประยูรรีบแต่งชุดยุวชนทหาร สวมถุงเท้ารองเท้าหุ้มข้อ วิ่งตี๋อออกจากบ้านไปทันที โดยไม่ฟังเสียงห้ามของแม่และพี่ป้าน้าอา อากาศหนาวยะเยือก หมอกลงจัด ประยูรวิ่งตามถนนทางไปโรงเรียน มีต้นมะขามครึ้มสองข้าง เขาวิ่งจนเหนื่อยแล้วจึงหยุดยืนหอบ พักให้หายเหนื่อย ทหารในชุดพรางรุงรังคนหนึ่งหมอบอยู่ริมถนน หน้าแดงๆ เคราครึ้มนั้นยิ้มให้เขา เครื่องแบบของทหารคนนั้นดูไม่คุ้นตาเลย ทุกอย่างเงียบกริบ ประยูรหันขวับไปทางที่ผ่านมา ใจหายวาบ ด้วยใต้ต้นไม้ริมถนนทุกต้นมีแต่ทหารญี่ปุ่น เขาวิ่งฝ่าแนวยิงของข้าศึกมาตลอด! โชคยังดี ที่ยุวชนทหารของสมุทรปราการไม่มีปืนอยู่ในมือ จึงไม่สามารถจะไปจับอาวุธ ต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นได้ คงทำได้เพียงไปสอดแนมสืบข่าวตกน้ำตกท่าเท่านั้น ประยูรจึงยังรอดชีวิตผ่านวันญี่ปุ่นขึ้นมาได้ และมีโอกาสดำเนินชีวิตในเวลาต่อมา ได้อย่างที่ป้าธง พี่สาวของพ่อ และมารดาของศาสตราจารย์นายแพทย์ทองน่าน วิภาตะวนิช เคยดูลักษณะเขาแล้วออกปากว่า "ต่อไปจะได้เป็นใหญ่มีชื่อเสียง แต่ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ไม่ค่อยมีความสุขกับเขาเท่าไหร่นัก"
อีกร้านหนึ่งที่ประยูรกับเพื่อนชอบแวะหยุดดูระหว่างทางที่เดินกันไป ก็คือร้านเขียนรูปสีถ่าน ใกล้กับโรงหนังพัฒนากร ในสายตาของนักเรียนศิลปะมือใหม่ รูปเหมือนฝีมือช่างชาวจีน ที่เขียนขยายจากรูปถ่ายมาติดไว้เต็มหน้าร้านนั้น ดูจะเป็นงานสุดยอดฝีมือ เช่นรูปคนแก่ ผิวหนังเหี่ยวย่น เส้นเอ็นปูดโปน หรือเขียนผ้ามีรอยยับเหมือนของจริงมาก ต่อภายหลัง เขาจึงตระหนักว่างานเช่นนั้น ใครๆ ก็ทำได้ เพราะเป็นแต่ความประณีตที่เกิดจากการฝึกฝนโดยสม่ำเสมอ นับเป็นของพื้นๆ ที่ไม่น่าอัศจรรย์อะไร แต่การเขียนให้เป็น"ศิลปะ" นั้น มันเป็นหนทางแสนไกลที่ยังคงต้องเดินทางกันไปอีกนานนัก เมื่อจบชั้นปีที่สามได้อนุปริญญาจากคณะจิตรกรรม ประติมากรรม ก็พอดีถึงเกณฑ์ที่จะต้องเป็นทหาร ประยูรถูกเกณฑ์เป็นทหารเรือตามภูมิลำเนา แต่เนื่องจากเขาเคยเรียนจบหลักสูตรยุวชนนายสิบมาแล้ว จึงได้ลดหย่อนเหลือเวลารับราชการทหารเพียงสามเดือน แต่ก็เป็นสามเดือนแห่งความทรมานทรกรรมอย่างสาหัส ปลดจากทหารมา ประยูรกลับมาสมัครเรียนศิลปากรต่อในชั้นปริญญาอีกสองปี คราวนี้ ทั้งรุ่นเหลือเพียงเขากับไพบูลย์ สุวรรณกูฎ ทว่า หลังจากสองปีผ่านไป การณ์กลับกลายเป็นว่ามหาวิทยาลัยศิลปากรยังไม่สามารถประสาทปริญญาให้ได้ ทุกคนจึงเรียนไปเสียเวลาเปล่า แต่ก็ได้รับความรู้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตามหลักสูตรที่อาจารย์เฟโรจีได้วางไว้ทุกประการ เมื่อยังเรียนอยู่ปีที่สี่ อังคาร กัลยาณพงศ์เกิดเบื่อโลก คิดจะบวชตลอดชีวิต จึงมีบิดาของเพื่อนบวชให้ที่วัดมหาธาตุ ข้างๆ ศิลปากร ไพบูลย์กับประยูรเลยพลอยไปสิงสู่อยู่กับพระอังคารที่กุฎิหอไตรคณะ ๓ ข้างโบสถ์ อังคารบวชไปได้ไม่กี่มากน้อยก็สึก เพราะเกิดไปขัดใจกับเพื่อนสหธรรมิกด้วยกัน แต่ทั้งสามสหายยังคงสิงสู่อยู่ที่วัดมหาธาตุต่อมาอีกเป็นแรมปี ตอนหลังนี้ จะเป็นลูกศิษย์พระ กินข้าวก้นบาตรแต่ก่อนก็ไม่ได้เสียแล้ว ต้องไปขอข้าวมาจากกุฎิอื่น ส่วนกับข้าวนั้นอดกันบ่อยๆ ประทังชีวิตรอดมาได้ก็ด้วยกะปิใส่ช้อนปิ้งไฟ เอามาคลุกกินกับข้าว แล้วเด็ดพริกขี้หนูที่ขึ้นแถวๆ ข้างโบสถ์มากินแทนผัก อยู่อย่างนี้มาได้อีกปีหนึ่งก็แพแตก อังคารไปทำงานกับอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ คัดลอกลายเส้นจิตรกรรมโบราณที่อยุธยา ไพบูลย์ไปเขียนรูปลายเส้นแบบไทยขายฝรั่ง ส่วนประยูรก็ระหกระเหินไปหางานทำ
ภาพสีน้ำมันในยุคแรกของเขานั้น คงเหลืออยู่แต่ในความทรงจำ ส่วนใหญ่ที่ยังเหลืออยู่เป็นงานยุคหลังจากปี ๒๕๐๐ ลงมา ซึ่งมีทั้งที่เป็นสีชอล์ค สีปาสเตล และที่มากที่สุดก็คือสีน้ำ แม้ว่าเขาจะเคยเขียนรูปสีน้ำมันมามาก แม้แต่ภาพจันทบุรีที่เคยได้รางวัลเหรียญทองก็เป็นภาพสีน้ำมัน แต่ต่อมา ด้วยเหตุที่เขาทำงานหลายด้าน จะมีโอกาสเขียนรูปก็แต่ในยามว่าง จึงเขียนแต่สีน้ำ เพราะอุปกรณ์ต่างๆ ขนไปง่าย การเขียนก็สะดวกดี ไม่ยุ่งยากเหมือนสีน้ำมัน โดยเฉพาะเมื่อสูงอายุเข้า เริ่มมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนก่อน เขาจึงเขียนแต่สีน้ำเป็นหลัก งานสีน้ำของประยูรมีเอกลักษณ์คือลักษณะที่สด ฉับไวรวดเร็ว และสีสันที่สะอาดกระจ่างตา และจะไม่มีสีดำเลย ด้วยเขาเห็นว่าสีดำนั้นเหมาะสำหรับตัดเส้นหรือให้แสงเงาแบบเด็กนักเรียนเท่านั้น จนเมื่ออายุได้ ๖๔ ปี เขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ในระยะหลังมานี้ เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ทำให้เขาแทบไม่ได้เขียนภาพที่เขารักยิ่งกว่าชีวิตจิตใจเลย เพิ่งมาได้เขียนรูปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นภาพสีอะครีลิคขนาดใหญ่เกือบสองเมตร เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง หลักการหนึ่งที่ประยูรยึดถือมาตลอดในการทำงานก็คือ ต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง...เหมือนหมาไล่เนื้อ คือถ้ามันกัดจมเขี้ยวแล้ว จะไม่มีวันยอมปล่อยเป็นอันขาด ไม่ว่าเรื่องไหน ศิลปะ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี โหราศาสตร์ หรือแม้แต่เรื่องหอย! สมัยเมื่อยังเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนศิลปศึกษา ประยูรเคยสนใจศึกษาหอยชนิดต่างๆ อย่างจริงจังมาก ในตู้ที่ห้องทำงานมีแต่ตัวอย่างหอยเต็มไปหมด เขา "บ้า" เรื่องนี้จนถึงขนาดสั่งซื้อตัวอย่างหอย และตำรับตำราชีววิทยาจากต่างประเทศ ความลุ่มหลงนำเขาออกสำรวจชายทะเล กางเต๊นท์ไปตลอดทั้งฝั่งตะวันออก จนไปพบหอยตัวหนึ่งที่ชายหาดจันทบุรี ชาวบ้านเรียกว่าหอยพระจันทร์ เปลือกบอบบาง สวยงามมาก มีสันกลีบเรียงกันเป็นเกล็ดไปตลอดตามอายุปี เขากลับมาค้นตำราดูแล้ว พบว่าเท่าที่เคยมีการบันทึกกันไว้ หอยชนิดนี้จะพบเฉพาะแถบไมอามี่และอ่าวเม็กซิโก ยังแปลกใจว่าทำไมมาผุดอยู่เมืองไทยได้ แต่เรื่องแปลกใจของเขายังไม่หมด ครั้งหนึ่งเขาเคยพาลูกศิษย์โรงเรียนศิลปศึกษาไปกางเต๊นท์เก็บหอยที่แถบหาดเจ้าสำราญ ช่วงนั้นยังหลังสงครามโลกไม่นาน เสื้อผ้าและเครื่องสนามใช้แล้วของทหารอเมริกันมีขายกันเกลื่อนในราคาไม่แพง ประยูรจึงใส่ทั้งชุดผ้าเวสปอยท์ รองเท้าทหารที่เรียกกันว่าไอ้โอ๊บ แถมด้วยเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เช่นแว่นตาประดาน้ำ เรียกว่าตั้งท่าไปเสียใหญ่โต กางเต๊นท์กันอยู่ก็มีชาวบ้านมาแอบด้อมๆ มองๆ พักเดียวกลับมาอีกราวยี่สิบคน อาวุธครบมือ เอาปืนจี้ตัวเขากับลูกศิษย์อีกสองคนไปไปขังไว้ที่โรงแรมร้างคืนหนึ่ง รุ่งเช้าถึงปล่อยออกมา ทีหลังประยูรถึงได้รู้ว่าชายหาดที่เขาไปตั้งเต๊นท์นั้น เป็นสถานที่ที่พวกเรือขนของเถื่อน จะขึ้นฝั่ง เมื่อเห็นคนแปลกหน้าแต่งเนื้อแต่งตัวคล้ายเจ้าหน้าที่ ชาวบ้านจึงนึกว่าเป็นสายตำรวจมาซุ่มจับ ยังดีที่เขาไม่ถูกนักเลงเมืองเพชร "เก็บ" ไปเสียแต่ครั้งนั้น