กลับไปหน้า สารบัญ
การกลับมาของการ "ยึดศาสนาเป็นที่พึ่ง"
ในภูมิภาคเอเชีย 
กุลธิดา สามะพุทธิ แปลและเรียบเรียง
จากนิตยสาร Far Eastern Economic Review, 12 October, 2000

    "พระสงฆ์ในประเทศเกาหลี ทำงานเป็นดีเจจัดรายการเพลงทางอินเทอร์เน็ต และเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในโฆษณานมเปรี้ยวทางโทรทัศน์, นักร้องชื่อดังในฮ่องกง ประกาศกลางคอนเสิร์ตร็อกที่จัดขึ้น เนื่องในวันวิสาขบูชา ว่าเขาจะเป็นพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัด, ร้านอาหารเปิดใหม่แห่งหนึ่งที่สิงคโปร์ ขายเหล้ายี่ห้อ "พระพุทธเจ้าแย้มสรวล", บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปรากฏเว็บไซต์ว่าด้วยเทคโนโลยี เพื่อการรู้แจ้งของชาวเอเชีย..."
(คลิกดูภาพใหญ่)
วง Raihan ซึ่งนำเอาเพลง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ศาสนาอิสลาม มาขับร้อง กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูง ในหมู่วัยรุ่นมาเลเซีย
   สิ่งที่นิตยสาร Far Eastern Economic Review เสนอไว้ในบทความเรื่อง "กลับคืนสู่ที่พักพิง" บอกให้รู้ว่าในยุคนี้ ปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เชื่อมโยงอยู่กับเรื่องของ "ศาสนา" ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น 
   
บทความดังกล่าวรายงานถึงการเกิดขึ้นของกระแส "กลับมายึดเอาศาสนาเป็นที่พึ่ง" ของชาวเอเชียหลังจากที่ผู้คนประสบปัญหาชีวิต อันเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ซึ่งรูปแบบในการกลับมาของศาสนานั้น น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง 
   
กระแสนี้ทำให้เกิดการดึงคน เข้ามานับถือศาสนาต่าง ๆ อย่างคึกคัก เริ่มต้นด้วยการเกทับกัน เรื่องจำนวนศาสนิกชน -- พวกคาทอลิกอ้างว่าปัจจุบันนี้ มีชาวเอเชียที่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก ถึง ๑๒๕ ล้านคน ด้านชาวมุสลิมกล่าวว่า ปริมาณผู้นับถือศาสนาอิสลามเพิ่มขึ้นถึงปีละ ๑๒.๕ เปอร์เซ็นต์ในรอบ ๑๐ ปีที่ผ่านมา ศาสนาพุทธประกาศว่าทุกวันนี้ มีพุทธศาสนิกชนอยู่ ๓๖๐ ล้านคนทั่วโลก โดยมีชาวยุโรป และอเมริกัน นิยมเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 
   
การแย่งชิงผู้ศรัทธาในครั้งนี้เข้มข้นถึงขั้น เกิดการต่อต้านมิชชันนารีหัวรุนแรง ที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในภูมิภาคเอเชีย โดยปัจจุบันนี้จำนวนมิชชันนารีชาวคริสต์ในเอเชีย มีจำนวนมากถึงหนึ่งในสามของทั้งหมด ที่ทำงานอยู่ทั่วโลก
    การต่อต้านเกิดขึ้นเนื่องจากชาวพุทธ ฮินดู และคาทอลิกในหลายประเทศ ไม่ชอบใจวิธีการอันก้าวร้าว ของมิชชันนารีบางกลุ่ม ในประเทศอินเดียเกิดเหตุมิชชันนารีชาวออสเตรเลีย พร้อมด้วยลูกชายอีกสองคน ถูกเผาจนเสียชีวิตเมื่อปี ๑๙๙๘ และเมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐคุชราตของอินเดีย ก็ออกกฎหมายห้ามเปลี่ยนศาสนา เพื่อมุ่งกีดกันผู้ที่จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์เป็นหลัก 
     นอกจากนี้ยังเกิดปรากฏการณ์ที่ศาสนา และลัทธิความเชื่อต่าง ๆ นิยมจัดคอนเสิร์ต หรือการบรรยายพิเศษขึ้นในมหาวิทยาลัย เพราะต่างเล็งเห็นว่ากลุ่มคนหนุ่มสาว เป็นกำลังสำคัญที่จะทำให้ศาสนาของตนเป็นที่นิยม 
   "ถ้าอยากให้พวกเด็ก ๆ สนใจ เราต้องใช้กลวิธีที่แยบยล" นักบวชคนหนึ่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์กล่าว ซึ่งคนหนุ่มสาวในมาเลเซีย ก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดี เห็นได้จากการที่วงดนตรี ซึ่งนำเอาบทเพลงที่เป็นคำสอน ของศาสนาอิสลาม มาใส่จังหวะให้ฟังดูคึกคักร่วมสมัย ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากกลุ่มวัยรุ่น อัลบัมแรกของพวกเขาขายได้ถึง ๗ แสนตลับ (อัลบัมยอดฮิตในมาเลเซีย โดยทั่วไปขายได้ประมาณ ๒๕,๐๐๐ ตลับ) อัลบัมต่อมาขายได้ ๑.๓ ล้านตลับ สมาชิกคนหนึ่งในวงให้สัมภาษณ์ว่า "ตอนแรกเราไม่มั่นใจว่าจะมีคนฟังเพลงประเภทนี้  แต่ปรากฏว่าเป็นที่ถูกใจของวัยรุ่น เพราะทุกวันนี้พวกเขาโหยหาเพลง ที่เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม หรือเพลงที่พูดถึงพระผู้เป็นเจ้า" 
   เจ้าหน้าที่ประจำสมาคมชาวคริสต์แห่งมาเลเซีย ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า การหันกลับมายึดศาสนาเป็นที่พึ่งนั้น เกิดขึ้นในสังคมชนบทก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่เหตุที่ผู้คนเพิ่งมาตื่นเต้นกันก็เพราะ ศาสนาเหล่านี้ดึงเอาชนชั้นกลาง มาเป็นสาวกได้สำเร็จนั่นเอง
     นักวิชาการประจำภาควิชาปรัชญาแห่ง National University of Singapore วิเคราะห์ว่า การที่เอเชียเร่งรัดเปลี่ยนแปลงสู่ความทันสมัย โดยไล่ตามตะวันตกตลอด ๑๕ ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนรู้สึกไร้ราก และละเลยการดูแลจิตวิญญาณของตน เป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งเร้าให้ชาวเอเชีย กระหายที่จะเข้าโบสถ์ สุเหร่า หรือวัดกันมากขึ้น นอกจากนี้ ความล่มสลายของเศรษฐกิจเมื่อปี ๑๙๙๗ , กระแสชาตินิยม, การปฏิวัติเทคโนโลยีและอาจจะรวมถึงความตื่นตูม ในเรื่องของสหัสวรรษใหม่ ก็ล้วนมีส่วนให้เกิดกระแสนี้ด้วยเช่นกัน แต่จาน ชุน ฮิง ผู้เชี่ยวชาญด้านปรัชญาและศาสนาแห่ง Hong Kong's Babtist University กลับมองว่า การที่คนแห่มายึดศาสนากันอีกครั้งเป็นเพราะศาสนาต่าง ๆ ค้นพบสิ่งที่เป็น "จุดขาย" ของตัวเองในเมืองใหญ่ต่างหาก เพราะสภาพของผู้คนในสังคมสมัยใหม่ ที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย และอ้างว้างโดดเดี่ยวนั้น เป็นเสมือนผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ ที่จะทำให้ศาสนาหรือลัทธิความเชื่อต่าง ๆ เจริญเติบโต