|
|
|
เรื่อง: กุลธิดา สามะพุทธิ
/ ภาพ: วิจิตต์ แซ่เฮ้ง,
ประเวช ตันตราภิรมย์
|
๑.
อาการของบังพจน์--
แกนนำชาวบ้านที่ต่อต้านนายทุนบุกรุกป่าชายเลน
ยังอยู่ในขั้นเป็นตายเท่ากัน (เขาถูกรถชนแล้ววนกลับมาทับซ้ำ) ชุมชนบ้านป่าคลอกเสียขวัญกันมาก
นายตำรวจที่โรงพักถลาง
กำลังสอบสวนผู้ต้องหาอย่างเคร่งเครียด |
|
|
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของประเพณีกินผัก
ที่ริมทะเลจะมีพิธีใหญ่
เพื่อส่งเสด็จดวงวิญญาณของยกอ๋องและกิ้วอ๋อง--
องค์เทพผู้เป็นประธานในงานกินผัก เล่ากันว่า ทั้งเมืองจะถูกปกคลุมไปด้วยควันสีขาว ชาวภูเก็ตมาร่วมงานกันเป็นหมื่น เสียงปะทัดดังครึกโครมตลอดคืน...
"ไม่น่ากลับตอนนี้" จามร นักข่าว เสียงใต้รายวันบอก
แต่รถกำลังจะออกแล้ว
ฉันคงต้องพลาดพิธีกรรมสุดท้าย
อันยิ่งใหญ่ของประเพณีกินผักภูเก็ต
ทั้งยังไม่อาจรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
กับบังพจน์และชุมชนบ้านป่าคลอก
ฉันเริ่มไม่แน่ใจนักว่าอยากจะจากมา
|
|
|
๒.
แต่ไม่อยากหลับและตื่นขึ้นมาคนเดียวในห้องแคบ ๆ ของเกสต์เฮาส์เล็ก ๆ กลางเมืองภูเก็ตเหมือนเจ็ดวันที่ผ่านมาอีกแล้ว และแม้ว่าการติดตามความเป็นไปของภูเก็ตจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น, การพูดคุยหรือออกตระเวนไปกับนักข่าวช่อง ๙, ช่อง ๑๑, หนังสือพิมพ์อันดามันโพสต์, เสียงใต้รายวัน, ข่าวสด, มติชน, ผู้จัดการ
และเจ้าถิ่นอีกสองสามคนจะช่วยให้คนนอกอย่างฉัน
มองเห็นความเป็นไป
และสัมผัสกับเรื่องราวแห่งยุคสมัยของ "ไข่มุกอันดามัน" ในวันนี้ได้ดีขึ้น
แต่การพัวพันอยู่กับเรื่องราวของภูเก็ต
มากเสียจนมันกลายเป็นทั้งความคิดสุดท้ายก่อนหลับ
และความคิดแรกเมื่อยามตื่น
ทำให้ฉันเหนื่อยล้าเกินกว่าจะลุยต่อ
|
|
|
ชน-ขยี้ซ้ำ อบต.คนดัง ปางตาย
(เสียงใต้รายวัน, ๖ ตุลาคม ๒๕๔๓)
พวกนักข่าวพากันไปเยี่ยม "อบต.คนดัง" ที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตเมื่อตอนสาย เขายังไม่พ้นขีดอันตราย เลือดออกในสมอง แขนหัก ขาหักและมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ขาซ้าย จามรแวะเอาฟิล์มที่โรงพิมพ์เสียงใต้ฯ ก่อนจะซิ่งรถเครื่องไปทำข่าวต่อที่อ.ถลาง (สถานที่เกิดเหตุ) โดยมีฉันซ้อนท้ายไปด้วย
เราเจอบุญรัตน์ วัชระ โกเอก ยะโกบและนักข่าวคนอื่น ๆ ที่โรงพักถลาง พวกเขารายงานว่าตำรวจจับผู้ต้องหาได้แล้ว จามรรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องขัง
"มาเจอเรื่องนี้พอดี" วัชระ นักข่าวอันดามันโพสต์พูดยิ้ม ๆ ไม่รู้ว่าเขายินดีที่ฉันได้เจอ "เรื่อง" ในภูเก็ตเข้าแล้ว
หรือต้องการบอกเป็นนัยว่า
เขาไม่ว่างพอจะพาไปตระเวนดูแคมป์แรงงานชาวพม่า
อย่างที่สัญญาไว้ในตอนแรกได้อีก
เพราะบังพจน์
หรือศิริพจน์ ชีช้าง
ซึ่งถูกรถกระบะพุ่งชน
แล้ววนกลับมาทับซ้ำ
ขณะขี่มอเตอร์ไซต์ไปทำงาน
ไม่ได้เป็นแค่สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลป่าคลอกเท่านั้น แต่เขายังเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา อันดามันโพสต์
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของภูเก็ต
ที่วัชระทำงานอยู่อีกด้วย
ความจริง
ฉันได้ยินเรื่องการต่อสู้ของชุมชนมุสลิมบ้านป่าคลอก
เพื่อขับไล่นายทุนที่บุกรุกเข้าไปทำนากุ้ง
ในเขตป่าชายเลน
จากคำบอกเล่าของโกเอก นักข่าวช่อง ๙ ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่มาถึง แต่เราไม่คิดว่าเรื่องมันจะรุนแรง |
|
|
ป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนคลองบางโรง
ที่บังพจน์และพวกชาวบ้านเคยช่วยกันปลูกต้นโกงกาง
เพื่อฟื้นฟูสภาพ
และปกป้องดูแลมันมาตลอดนี้
เป็น ๑ ในป่าชายเลน ๗ แห่งที่เหลืออยู่ในภูเก็ต ต่อมามีนายทุนคนหนึ่งบุกรุกเข้าไปขุดบ่อทำนากุ้ง (โกเอกบอกว่า "วิธีการบุกรุกป่าชายเลน จะเริ่มด้วยบ่อกุ้งบ่อเดียวก่อนแล้วค่อย ๆ ขยาย")
บังพจน์จึงพาสื่อมวลชน
และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปตรวจสอบพื้นที่ หลังจากนั้นมีโทรศัพท์ลึกลับมาข่มขู่ แล้วไม่นาน เขาก็ถูกรถชน-ขยี้ซ้ำ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
พวกนักข่าวภูเก็ต
ซึ่งรู้จักกับบังพจน์เป็นอย่างดี
ต่างก็คิดเหมือน ๆ กันว่า "เป็นเพราะเขาไปขวางนายทุน"
โกเอกทำข่าวรุกที่สาธารณะในภูเก็ตมานับร้อยข่าวแล้ว "ข่าวประเภทนี้มีมากกว่าข่าวอื่น ๆ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย แต่พอถามว่าอยากขุดคุ้ย-
ชอบทำข่าวอะไรมากที่สุดในภูเก็ต โกเอกก็ตอบแบบไม่คิด "บุกรุกที่สาธารณะ"
ดูเหมือนมันจะกลายเป็นเรื่องเล่าที่ขาดไม่ได้
ของคนที่คิดจะเล่าเรื่องภูเก็ตไปเสียแล้ว เมื่อสิบปีก่อนหลานเสรีไทย (๑๓๖) ก็เขียนไว้อย่างดุเดือดในข้างหลังโปสการ์ด ถึงการที่คลับเมด (โรงแรมคลับเมดิเตอเรเนียน) ปิดถนน
ปิดหาดไม่ให้ชาวบ้านลงทะเลที่หาดกะตะ
เพราะจะเป็นการรบกวนนักท่องเที่ยว,
ภูเก็ตยอต์ชคลับสร้างโรงแรมคร่อมทางสาธารณะ
ที่หาดในหาน ปิดทางเข้าออกของชาวบ้าน
ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา
มีคำสั่งให้รื้อถอนแล้ว แต่เจ้าของโรงแรมไม่ยอมทำตาม
ก็คงถึงเวลาของมัน เพราะแต่ละยุคในภูเก็ตต่างก็มี "เรื่องเล่าแห่งยุคสมัย" เป็นของตัวเองทั้งนั้น--
เรื่องของคุณหญิงจันคุณหญิงมุก
กับชาวถลางร่วมกันต้านพม่าในศึกถลางครั้งที่ ๑ (๒๓๒๘),การซื้อขายแร่ดีบุกและกิจการทำเหมืองที่เฟื่องฟู (๒๓๖๗),
คนจีนรวมเป็นกลุ่มอั้งยี่
ทะเลาะฆ่าฟันกันเรื่องแย่งสายน้ำล้างแร่
จนเกิดจราจล (๒๔๑๐), ชาวภูเก็ตคัดค้านการทำเหมืองแร่ทางทะเลของบ.
เทมโก้ (๒๕๑๑),
บุกเผาโรงงานสกัดแร่แทนทาลัม
ซึ่งนับว่าเป็นการปิดฉากการทำเหมืองแร่
และเปิดยุคการท่องเที่ยวภูเก็ต (๒๕๒๙),
ส่งเสริมการท่องเที่ยวภูเก็ตครั้งใหญ่
ในช่วงปีการท่องเที่ยวไทย (๒๕๓๐), ภูเก็ตได้รับเลือกให้เป็นเมืองคู่แฝดกับเมืองนีซ เมืองตากอากาศระดับโลกในฝรั่งเศส (๒๕๓๒)... |
|
|
เกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแห่งนี้
มีเนื้อที่โดยรวมประมาณ ๕๔๓.๓
ตารางกิโลเมตร
และมีเกาะบริวาร ๓๒ เกาะมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่ามันจะผ่านการเป็นดินแดน "ครึ่งเกาะครึ่งแหลม" ซึ่งยังเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่เมื่อ ๒๐๐ กว่าปีก่อน, เป็นเกาะ "จังซีลอน" ที่ถูกกล่าวถึงในแผนที่ของปโตเลมี นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก, เป็นเมือง "ฉลาง" ของคนไทยเมื่อร่วมร้อยปีก่อน, เป็นหัวเมืองที่ขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ, เป็น "มณฑลตะวันตก" เมื่อมีการปฏิรูปการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล จนกระทั่งกลายเป็นจังหวัดหนึ่งที่มี ๓ อำเภอ (กะทู้, ถลาง, เมือง) ๑๐๓ หมู่บ้านในปัจจุบัน แต่ผู้คนที่มาอาศัย-
ต้องการใช้ผืนแผ่นดินของเกาะภูเก็ตเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ
นับตั้งแต่ชาวจีนโพ้นทะเล
เริ่มอพยพเข้ามาเป็นแรงงานในเหมืองแร่
ลงทุนทำเหมือง
และกิจการค้าขายต่าง ๆ จนกระทั่งกลายเป็น ๒๔๗,๓๖๙ คนในปี ๒๕๔๓
ผู้ศึกษาพัฒนาการของภูเก็ตอธิบายว่า การยึดที่สาธารณะเกิดขึ้นหลังการสิ้นสุดของยุคการทำเหมือง
เมื่อบรรดานายหัว
ยื่นขอเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน
ที่เคยเป็นเหมืองแร่เก่า
โดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย
และกลุ่มข้าราชการที่เอื้อโอกาสให้
สำนักงานจังหวัดภูเก็ตสรุปปัญหาว่า
การยึดครองที่สาธารณะในภูเก็ต
เกิดขึ้นเพราะการท่องเที่ยวทำให้ที่ดินมีราคาสูง คนจึงบุกรุกที่สาธารณะเพื่อจะได้ยื่นขอเอกสารสิทธิ์
ส่วนโกเอกอธิบายด้วยตรรกะง่าย ๆ ว่า "ภูเก็ตมีที่น้อย คนก็เลยแย่งกันมาก"
ป่า หาด เกาะ ภูเขาและที่ราบของภูเก็ตซึ่งสำนักงานจังหวัดฯ สรุปไว้เป็นทางการว่า "พื้นที่ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ ๗๗ ของภูเก็ตเป็นภูเขา ร้อยละ ๓๐ เป็นที่ราบอยู่ตอนกลางและตะวันออก พื้นที่ชายฝั่งด้านตะวันออกเป็นดินเลนและป่าชายเลน
สำหรับฝั่งทะเลด้านตะวันตก
เป็นภูเขาและหาดทรายที่สวยงาม"
ล้วนเคยตกเป็นข่าวว่าถูกรุกล้ำ
หรือมีเอกสารสิทธิ์ผิดกฎหมายมาแล้วทั้งนั้น :
สนามกอล์ฟบลูแคนยอน
สร้างรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ,
สำนักงานที่ดินจังหวัด
ออกโฉนดทับที่สาธารณะบริเวณหาดแสนสุข
ให้บริษัทงานทวีฯ,
เอกสารสิทธิ์ผิดกฎหมายบนที่ดินพันกว่าไรบนหาดบางเทา
และหาดเลพังของบริษัทไทวาฯ (เจ้าของกลุ่มโรงแรมลากูน่าภูเก็ต), สร้างที่พักตากอากาศ-โรงแรมห้าดาว
บริเวณหาดไม้ขาว, เอกสารสิทธิ์ ๒ แปลงบนเกาะราชาใหญ่ของบริษัทราชาใหญ่ ไอซ์แลนด์ รีสอร์ต และบริษัทราชาใหญ่เอสเตท จำกัด
ซึ่งกรมป่าไม้
ยืนยันว่ากรมที่ดินไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้
เพราะเป็นที่เกาะ
มีความลาดชัน
และเป็นป่าสมบูรณ์ แม้แต่รัฐบาลชวน หลีกภัย
ของพรรคประชาธิปัตย์
ก็ยังถูกโค่นลงในปี ๒๕๓๗
เพราะความฉ้อฉลในการออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ดินบนภูเขา
ที่เกาะภูเก็ตให้กับผู้มีอันจะกิน
ในนามของการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อการเกษตรกรรม
หรือสปก.๔-๐๑ |
|
|
ที่มุมหนึ่งของโรงพักถลาง ชาวมุสลิมบ้านป่าคลอกล้อมวงปรึกษาหารือกันเคร่งเครียด "ตนต้องยืนยัน ถ้าไม่สู้ตอนนี้ ต่อไปมันจะทำกับเรามากกว่านี้" หญิงสาวคนหนึ่งพูดกับลุงแก่ ๆ ที่ยืนฟังด้วยสีหน้ากังวล
ลุงคนนี้เป็นผู้เห็นเหตุการณ
ที่รถกระบะคันนั้นพุ่งเข้าชน
แล้ววนรถกลับมาทับซ้ำ ลุงเห็นว่าคนขับเป็นใคร แต่เขาไม่กล้าเป็นพยาน ไม่กล้าชี้ตัว กลัวโดนเก็บอีกคน
ก่อนมาที่นี่ ฉันก็พอรู้อยู่บ้างว่าผลกระทบจากการท่องเที่ยว
ปัญหาที่ดินและการบุกรุกยึดครองที่สาธารณะ
กำลังเป็นปัญหาใหญ่
แต่ก็เตรียมใจไว้แค่ว่า
จะได้มาฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับมันเท่านั้น ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์จริง ทำให้ต้องกลายเป็นเหมือนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไกล ๘๖๒ กิโลเมตร เพื่อมาดูสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่ามันดำรงอยู่ที่นั่น
ความจริง ก่อนจะเกิดเรื่องบังพจน์ ที่ภูเก็ตก็มีเรื่องวุ่น ๆ เกี่ยวกับที่ดินเกิดขึ้น แม้เป็นกรณีเล็ก ๆ แต่ก็น่าสนใจเพราะสะท้อนให้เห็นปัญหาการแย่งใช้ที่ดินบนเกาะแห่งนี้ได้ดี : กรณี "ศพล้นเกาะ"
เสียงใต้รายวัน (๒๘ กันยายน ๒๕๔๓) รายงานว่ามูลนิธิกุศลธรรมซึ่งเป็นมูลนิธิที่ทำหน้าที่เก็บศพในภูเก็ต
นำศพไปทิ้งไว้ที่หน้าโรงพัก
เพื่อเป็นการประท้วงกรณีที่อบต.วิชิต (อ.เมืองภูเก็ต)
ไม่ยอมให้ใช้ที่สาธารณะ
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยประกาศให้เป็น "ที่สุสาน"
เนื่องจากชาวบ้านต้องการใช้เป็นสวนสาธารณะ
และสนามเด็กเล่น ก่อนหน้านี้มูลนิธิฯ มีที่ดินสำหรับฝังศพอยู่ ๓ แห่งบนเกาะภูเก็ต
แต่ปัจจุบันสุสานทั้งสามแห่ง
เต็มหมดแล้วจึงจำเป็นต้องขอใช้พื้นที่ของอบต.วิชิต แต่พวกชาวบ้านไม่ยอม |
|
|
บ่ายวันที่รถบัสคันใหญ่ของภูเก็ตแฟนตาซี--
สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหญ่แห่งใหม่บนหาดกะรน
ซึ่งพาสื่อมวลชนจากกรุงเทพฯ มาเยี่ยมชมกิจการปล่อยลงตรงอนุสาวรีย์วีรสตรีที่อ.ถลาง ฉันถามภูเก็ตเล่น ๆ ว่าเมื่อได้อยู่กันตามลำพังอย่างนี้ ภูเก็ตจะเผยตัวตนด้านไหนมาให้รู้จัก ภูเก็ตจะเล่าอะไรให้ฟังบ้าง
...เศษเนื้อของบังพจน์ที่ติดอยู่ใต้ท้องรถ เลือดที่หยดปนกับสายฝนลงมานองกับพื้น ใบหน้าอันเรียบเฉยของผู้ต้องหาเจตนาฆ่า "อบต.คนดัง"
ร่องรอยความหวาดหวั่นของชาวบ้านป่าคลอก
ที่ร่วมกันต่อสู้เพื่อรักษาป่าชายเลน ความคับแค้นของวัชระ โกเอกและนักข่าวคนอื่น ๆ ต่อการกระทำของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น
ภูเก็ตกำลังเผยตัวตนด้านไหนของมันออกมา ?
จากถลาง ฉันซ้อนท้ายรถเครื่องคันเดิมของจามรกลับเข้าเมือง เราแวะเยี่ยมบังพจน์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง พบแต่เพียงเตียงที่ว่างเปล่า
พยาบาลบอกว่าเขาไปผ่าตัดสมอง ยังไม่กลับมา
|
|
|
ต่างชาติยึดเมือง กระจายแย่งงานทั่วเกาะ
(ข่าวเศรษฐกิจธุรกิจ ๒๘ กุมภาพันธ์- ๕ มีนาคม ๒๕๔๓)
ต่อไปนี้ คือ อีกหนึ่งฉากบู๊ของภูเก็ต
"ตม.พบแหล่งกบดานต่างชาติในภูเก็ตกว่า ๑๐๐ แห่ง
นับหมื่นคนกระจายอยู่ทั่วเมือง
ขอความร่วมมือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ระดมกำลังผลักดันออก... ขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองกำชับให้อบต. กำนัน
ผู้ใหญ่บ้านคอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของแรงงานต่างด้าว
และชาวตะวันตกที่เข้ามาท่องเที่ยว
ทำงาน หรือแฝงตัวเข้ามา
เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลด้านยุทธศาสตร์ของจ.ภูเก็ต
และจังหวัดใกล้เคียง เพราะกองทัพเรือได้มาตั้งกองบัญชาการกองเรือภาคที่ ๓ กองเรือยุทธการขึ้นที่แหลมพันวา จ.ภูเก็ต
"ปัจจุบันมีสถิติชาวตะวันตกเข้ามาทำงาน
และเป็นเจ้าของกิจการด้านบันเทิง ร้านอาหาร บริษัทดำน้ำหรือแม้แต่หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ
เยอรมัน
และฝรั่งเศสประมาณ ๕,๐๐๐ กว่าราย ทั้งยังมีนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปต่อวีซ่าในพม่า
มาเลเซียและสิงคโปร์
เพื่ออยู่ทำงานในภูเก็ตไม่ต่ำกว่า ๒๐,๐๐๐ คน
โดยทางจังหวัดให้ความสนใจแรงงานต่างด้าวชาวพม่าที่ทำงานในแพปลา
หรืออยู่ในเรือประมงเป็นพิเศษ
เพราะมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
และในช่วงเดือนหงายที่ไม่ได้ออกจับปลา
มักจะขึ้นมาหาข่าวหรือส่งข่าว
โดยใช้รหัสหรือใช้ภาษาของพวกเขา
ผ่านเครื่องมือสื่อสาร"
ฉันอ่านข่าวนี้ด้วยความตื่นเต้นราวกับอ่านนิยายระทึกขวัญ |
|
|
ใกล้กับวันที่ข่าวนี้ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นภูเก็ต คือ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๓
ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมสหประชาชาติ
ว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ข่าวอีกชิ้นหนึ่งรายงานว่า
สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ในภูเก็ต
เพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบกองเรือยอตช์
และเรือสำราญที่เข้ามาในน่านน้ำไทย
เพราะอาจมีมิจฉาชีพข้ามชาติ
ฉวยโอกาสลักลอบเข้าเมืองทางทะเล
"...จังหวัดภูเก็ตเป็นเกาะ
การเข้าออกประเทศไทยทางภูเก็ต
จึงทำได้โดยง่าย
ทั้งกลุ่มลักลอบสินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน
ยาเสพติด
ตลอดจนกลุ่มการเมืองระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
และประเทศแถบเอเชียใต้
ที่จะใช้ภูเก็ตเป็นฐานซ่องสุมกำลังยุทธปัจจัยต่าง ๆ นอกจากนี้
ยังสั่งให้ติดตามความเคลื่อนไหว
ของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติชาวตะวันตก
ที่หลบหนีคดีเข้ามากบดานในภูเก็ต
และเริ่มเข้าไปอยู่ในธุรกิจบันเทิงย่านหาดป่าตอง กะตะและกะรนเพิ่มมากขึ้น"
เท่านั้นยังไม่พอ
"...มีชนกลุ่มน้อยชาวมอญและกะเหรี่ยง
ที่หลบหนีจากการปราบปรามของทางการพม่าบริเวณชายแดนไทย
เข้ามาปักหลักในภูเก็ต
เพื่อสะสมกำลังพล
และเสบียงอาหารรวมทั้งยุทธปัจจัยอื่น ๆ
เพื่อใช้สำหรับส่งให้กับชนกลุ่มน้อย
ที่มีกองกำลังอยู่บริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า"
ข่าว "ผวา "โรคพม่า" แคมป์ทั่วเกาะ ผิดหลักสาธารณสุข" ในอันดามันโพสต์ที่ฉันซื้ออ่าน
เมื่อวันแรกที่พาตัวเองมาติดเกาะ
ทำให้ฉันหลงคิดว่า
ปัญหาเรื่อง "คนต่างด้าว" ในภูเก็ต
คงไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่า
เรื่องที่ภูเก็ตเป็น ๑ ใน ๓๗
จังหวัดที่ได้รับการผ่อนผัน
ให้จ้างแรงงานต่างด้าวต่อไปได้
ในกิจการประมงทะเล, ต่อเนื่องประมงทะเล,
สวนยางพารา
และกิจการก่อสร้าง
ซึ่งนำมาสู่ความกังวลของคนภูเก็ต
ในเรื่องโรคติดต่อร้ายแรง
ที่แพร่ระบาดจากแคมป์พักคนงาน คือ มาเลเรีย เท้าช้าง ไข้เลือดออก ท้องร่วง อันดามันโพสต์รายงานว่า "เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
เกิดโรคติอต่อร้ายแรงอีกชนิดหนึ่ง
ที่ไม่พบในภูเก็ตมากว่า ๕๐ ปีแล้ว คือ ไข้กาฬหลังแอ่น" |
|
|
แต่จากการพูดคุยกับคุณประเสริฐ นักข่าวอาวุโสของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและ ข่าวเศรษฐกิจธุรกิจ--
หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอีกฉบับหนึ่งของภูเก็ต
ทำให้ฉันได้รู้ว่าเรื่องราวของภูเก็ตกับคนต่างชาติในยุคนี้นั้น
ซับซ้อน/หลากหลายกว่าที่คิด
ประเสริฐเล่าว่าทุกวันนี้มีชาวต่างชาติที่หลบเลี่ยงกฎหมาย
ลักลอบเข้ามาทำงาน
ในธุรกิจที่ล่อแหลมต่อกฎหมายเป็นจำนวนมาก
ที่ผ่านมาพบว่ามีชาวต่างประเทศเสียชีวิตผิดปรกติ
หรือถูกฆาตกรรมในภูเก็ตเป็นประจำ
ยังไม่รวมถึงกรณีที่ตรวจสอบพบว่า
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวนั้น
ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติจำนวนมาก เช่น
เป็นเจ้าของโรงแรมใหญ่
และธุรกิจดำน้ำ
ซึ่งขณะนี้เป็นของชาวต่างชาติถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์
ความจริงภูเก็ตน่าจะชินเสียแล้วกับเรื่อง "คนต่างชาติ"--
การที่นักธุรกิจต่างด้าวผนึกกำลังตั้งเป็นชมรม "ธุรกิจนานาชาติภูเก็ต" เมื่อปลายปี ๒๕๔๓ โดยมีเจ้าของธุรกิจจาก ๑๕ ชาติซึ่งทำกิจการโรงแรม ภัตตาคาร ดำน้ำ อสังหาริมทรัพย์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย บริษัทส่งออก-นำเข้า คอมพิวเตอร์ หนังสือพิมพ์ นำเที่ยว เรือแคนู เรือสำราญ
โรงพยาบาลและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เป็นสมาชิกนั้น
ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นจนเกินไปนัก
เมื่อเทียบกับตอนที่โปรตุเกสเข้ามาตั้งห้างค้าแร่ดีบุก
ในถลางเมื่อปี ๒๑๒๖ , ดัตช์เข้ามาในปี ๒๑๖๙ เพื่อผูกขาดการซื้อแร่ดีบุก, ๒๒๑๐
ชาวถลางลุกขึ้นสู้การกดขี่ของพวกดัตช์
และขับไล่ออกไปจากเกาะ, ๒๓๑๕ กัปตันฟรานซิส ไลท์ชาวอังกฤษเข้ามาตั้งสถานีการค้าที่บ้านท่าเรือ, ๒๓๖๘ ชาวจีนอพยพเข้ามาทำเหมือง, ๒๔๑๙ คนจีนที่แบ่งเป็นกลุ่มอั้งยี่ก่อจราจล ฆ่าฟันคนไทย... |
|
|
หนังสือ ภูเก็ต
ของสำนักพิมพ์สารคดีเขียนถึงการที่เกาะแห่งนี้
มีผู้คนเข้ามาหลากหลายว่า
เป็นเพราะ "ดินแดนแถบนี้เป็นทางผ่านของเส้นทางเดินเรือ
ระหว่างสองซีกโลก
ผู้คนต่างชาติต่างภาษา
และวัฒนธรรมจึงหลั่งไหลเข้ามายังดินแดนแถบนี้
อย่างไม่ขาดสาย"
ส่วนเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
สรุปสั้น ๆ "ภูเก็ตเป็นเกาะ การเข้าออกประเทศไทยจึงทำได้ง่าย"
ยังมีอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่คล้ายกับกรณี "ต่างชาติยึดเมือง" คือ
เรื่องที่คนภูเก็ตบางพวก
ไม่พอใจการรวมกลุ่มของ "คนต่างถิ่น" ในภูเก็ต (ชมรมชาวเหนือภูเก็ต-อันดามัน, ชมรมชาวอิสานภูเก็ต, ชมรมชาวนครศรีธรรมราช จ.ภูเก็ต ฯลฯ)
เจ้าถิ่นคนหนึ่งกล่าวกับกรรมการชมรมชาวเหนือฯ ว่า "อยู่ภูเก็ตไม่สุขสบายหรืออย่างไร เที่ยวก่อตั้งชมรมโน่นชมรมนี่ แม้แต่รองผู้ว่าราชการจังหวัดยังก่อตั้งชมรมชาวอิสาน"
คนต่างถิ่นตอบโต้ "คนภูเก็ตที่พูดไม่น่าใจแคบ...
เราพยายามจะสร้างประโยชน์ให้กับสังคมภูเก็ตรูปแบบต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่น
ชมรมชาวอิสานจัดกิจกรรมหาเงิน
สนับสนุนโครงการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด ซึ่งย่อมดีกว่าไม่ทำอะไรเลย"
|
|
|
เตือนชาวภูเก็ตจับตา
ใช้ประเพณีกินผักบังหน้าหาผลประโยชน์
"เหลือบประเพณี" แฝงมาในคราบ "ผู้สนับสนุน"
(อันดามันโพสต์ ๑๑-๒๐ กันยายน ๒๕๔๓)
ไม่คิดมาก่อนว่าการใช้ชีวิตอยู่ที่ภูเก็ตในช่วงประเพณีกินผัก
ซึ่งกินเวลานานเก้าวันเก้าคืน
ในแต่ละปี
จะกลายเป็นความทุกข์ทรมานไปได้
ทั้งที่หนังสือแนะนำจังหวัดภูเก็ต
เขียนไว้อย่างน่ารื่นรมย์ว่า "ราวเดือนตุลาคมของทุกปี
สีสันของภูเก็ตจะย้ายจากท้องทะเลสีคราม
มาสู่ตัวเมืองที่เป็นย่านตลาดและตึกเก่า" ทว่าทุกเช้า
เวลาเดินออกไปหาอะไรกิน
อย่างโรตีจิ้มแกงที่ร้านบังหมีดใกล้ ๆ
แยกแถวน้ำ
หรือขนมจีนกับปลาหมกปิ้งที่ร้านขวัญ บนถนนทุ่งคา (ซึ่งเป็นอาหารเช้ายอดนิยมของคนในตัวเมืองภูเก็ต
ตามที่คู่มือท่องเที่ยวแนะนำ)
ฉันได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินหนีขบวนแห่พระรอบเมือง
ของแต่ละศาลเจ้า เพราะภาพของเหล็กแหลมและวัสดุพิศดารอื่น ๆ ที่เสียบแทงเนื้อหนังของผู้ที่เป็นม้าทรง กลิ่นคาวเลือดที่ปนมากับควันธูปฉุน ๆ
และเสียงอึกทึกครึกโครมของประทัด
ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบาย
และเสียขวัญ
งานแห่พระที่ศาลเจ้ากะทู้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกนี้ ฉันตามพวกนักข่าวช่อง ๑๑ ไปทำข่าวพิธีแห่พระที่นั่น แดดร้อนเปรี้ยง ฉันตกอยู่ท่ามกลางม้าทรงและปะทัดนับพัน ๆ
ดอก
ในขบวนแห่พระไปตามถนนของอ.กะทู้ ภายในอ๊าม (ศาลเจ้า) อากาศแสนอบอ้าว
แต่พิธีกรรมตอนที่ม้าทรงเตรียมปลดเหล็กแหลมออกจากร่างกาย
และขณะทำพิธีให้เจ้าออกจากร่าง
ยังคงดำเนินต่อไป คนแล้วคนเล่า ฉันรู้สึกเหมือนจะเป็นลม
|
|
|
แต่ถ้าไม่มาภูเก็ตช่วงนี้
ฉันอาจไม่ได้เห็นใบหน้า
และตัวตนของคนภูเก็ตได้ชัดเจนอย่างนี้ และมันก็เป็นความเพลิดเพลินไปอีกแบบสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างฉัน ที่ได้ตื่นมาพบกับความคึกคักยามเช้าตรู่ของท้องถนนในเมือง ผู้คนนำโต๊ะบูชามาตั้งไว้หน้าบ้าน ปูด้วยผ้าฉาย (ผ้าคลุมโต๊ะไหว้เจ้า) ที่ปักลวดลายเป็นรูปแปดเซียน ผลไม้มงคล
ถ้วยน้ำชา
และเตาเผาไม้หอมถูกลำเลียงมาวาง
เพื่อรอรับขบวนแห่พระ
ซึ่งจะเดินจากอ๊ามไปตามถนนที่เข้าสู่ตัวเมือง
จนมาถึงสระน้ำที่สะพานหิน
เพื่อรำลึกถึงการอัญเชิญกระถางธูป
และขี้ธูปจากเมืองจีนมาขึ้นท่าที่นี่
ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของประเพณีเจียะฉ่าย (กินผัก) ของภูเก็ตในอดีต
ทั้งเมืองมีแต่คนสวมชุดขาว ตกดึกร้านอาหารเจที่เรียงรายอยู่รอบ ๆ ศาลเจ้าพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่าย
บ้างก็เตร็ดเตร่
รอชมการแสดงอภินิหารของเทพในร่างของม้าทรง
ในพิธีลุยไฟ ปีนบันไดมีด เดินสะพานตะปูหรืออาบน้ำมันร้อน
หลัง ๆ
มานี้หลายคนพูดถึงประเพณีกินผักภูเก็ต
ไปในทางที่ไม่ค่อยดีนัก
โดยเฉพาะเรื่องการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง
ที่พิศดาร น่าหวาดเสียว
และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่น่าเชื่อถือ-ศรัทธา
ทั้งที่เมื่อก่อนนี้ ศาลเจ้าใหญ่ ๆ เช่น กะทู้หรือจุ้ยตุ่ยมีม้าทรงเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น
เมื่อเทพมาลงทรงแล้ว
ก็รักษาคนเจ็บไข้ ไม่มีการแสดงอภินิหาร
คนเก่าคนแก่ในภูเก็ตฟันธงว่า
ความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลมาจากการส่งเสริมการท่องเที่ยว
เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา
|
|
|
ความสนใจของฉันที่มีต่อประเพณีกินผัก
ซึ่งเชื่อกันว่าจัดขึ้นที่ภูเก็ตเป็นครั้งแรกของภาคใต้
ไม่ได้อยู่ที่ขั้นตอนอันละเอียดซับซ้อน
และชวนตีความของ "งานบุญ" ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาเนิ่นนาน สำหรับฉัน
ปรากฏการณ์แปลกปลอมที่เกิดขึ้นกับมันในระยะหลัง
ดูเหมือนจะน่าสนใจกว่า
ปี ๒๕๔๓ สาธารณสุขจังหวัดออกแถลงการณ์แสดง "ความห่วงใยถึงพิธีกรรมบางอย่าง
ที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อผู้ปฏิบัติ"
โดยขอให้ศาลเจ้า
และม้าทรงปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้--
ม้าทรงต้องไม่เป็นโรคติดต่อ เช่น เอดส์ วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ
หากไม่แน่ใจว่าตนติดเชื้อดังกล่าวหรือไม่
ก็ควรงดเว้นการเป็นม้าทรง, ไม่ใช้อาวุธ/วัตถุโลดโผนในพิธีกรรม เช่น เสาโทรทัศน์ ใบพัดเรือ ลวดหนาม และเพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเอดส์ วัณโรค ไวรัสตับอักเสบ ม้าทรงทุกคนไม่ควรใช้ของมีคมร่วมกับคนอื่น ไม่ใช้เหล็กแหลมของมีคมแทงทะลุผ่านร่วมกันหลาย ๆ คน
ไม่ส่งน้ำชา
หรือของกินที่เปื้อนเลือด
ให้ประชาชนที่ชมอยู่ดื่มกิน
ปรากฏการณ์แปลก ๆ ของประเพณีกินผักยุค ๒๐๐๐ ไม่ได้มีเพียงเท่านี้
ระหว่างนั่งคุยกับบุญรัตน์ นักข่าวหนังสือพิมพ์ข่าวสดและช่อง ๕
ที่บ้านของเขาซึ่งดัดแปลงเป็นสตูดิโอขนาดย่อม
สำหรับตัดต่อภาพข่าว โทรทัศน์ช่อง ๕ ก็รายงานข่าวภาคเที่ยงเรื่อง แก๊งวัยรุ่นออกปล้นในช่วงเทศกาลกินเจ
บุญรัตน์หยุดคุยแล้วตั้งใจดู หันมาบอกว่าเขาเป็นคนส่งข่าวนี้ไปเอง
"แก๊งวัยรุ่นสวมรอยแต่งชุดขาว
เป็นผู้ร่วมถือศีลกินผักออกโจรกรรม จี้ชิงทรัพย์ ลักรถจักรยานยนต์ ตำรวจจับได้ทั้งแก๊งเมื่อวานนี้" บุญรัตน์สรุปให้ฟังสั้น ๆ
แล้วบ่นว่าม้าทรงในงานกินผักภูเก็ตยุคนี้
ส่วนมากเป็น "ม้าทรงตัวปลอม มีแต่พวกเด็กวัยรุ่นที่ซ่า อยากโชว์ คิดว่าการมีแผลเป็นที่หน้าก็เหมือนมีรอยสักนั่นเอง"
|
|
|
โจรในชุดขาวกับม้าทรงตัวปลอม
อาจเป็นตัวอย่างหนึ่งของ "เหลือบประเพณี"
ที่อันดามันโพสต์ใช้เรียกผู้ที่หาประโยชน์ในทางมิชอบ
จากประเพณีกินผัก
ซึ่งคนภูเก็ตเลื่อมใสศรัทธา ปฏิบัติสืบต่อกันมา ๑๐๙ ปีแล้ว
แต่เหลือบประเพณีในงานกินผักปีนี้ ไม่ได้มีแต่โจรชุดขาวกับม้าทรงตัวปลอมเท่านั้น
ใกล้ ๆ วงเวียนหอนาฬิกา มีป้ายโฆษณาแผ่นใหญ่เขียนไว้ว่า "จังหวัดภูเก็ต องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต
เทศบาลเมืองภูเก็ต
ขอเชิญร่วมงานผัดหมี่จานใหญ่ที่สุดในโลก...สนับสนุนโดย โค้ก, ภูเขาทอง, ไวตามิลค์, (น้ำมันพืช) องุ่น และ ไวไว" ใกล้กันนั้น ป้ายผ้าอีกผืนหนึ่งขึงอยู่ข้างตึกสูง "งานผัดหมี่ร้อยกะทะ ตะหลิว...พร้อม, กะทะ...พร้อม, คนผัด...พร้อม คนชิมไม่พร้อมไม่ได้แล้ว" งานนี้ หยั่น หว่อ หยุ่น , น้ำมันทิพ, น้ำดื่มตราสิงห์และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า เป็นผู้สนับสนุน
ป้ายโฆษณาที่ติดประชันกันอยู่นี้
บ่งบอกถึงความไม่ปรกติบางอย่าง
ในงานกินผักภูเก็ต
และนอกจากจะทำให้คิดถึงคำถาม
ของกรรมการศาลเจ้าคนหนึ่งที่ว่า "คนกลุ่มนี้เข้ามาสนับสนุนช่วยเหลืองานประเพณีกินผักภูเก็ตด้วยบริสุทธ์ใจ
หรือว่าหวังใช้ประเพณีของจังหวัดภูเก็ต
เป็นแหล่งหากินกันแน่" แล้ว ยังทำให้เห็นภาพตามที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งเขียนไว้ว่า "ปีนี้ชาวภูเก็ตคงได้เห็นโฆษณาประชันกัน
อย่างเอิกเกริก
ชนิดแบรนด์ชนแบรนด์" อีกด้วย
"ปีที่แล้วไม่แข่งกันจัดงาน
หรือหาสปอนเซอร์กันดุเดือดขนาดนี้ เพราะมีบริษัทวิชั่นโซนดำเนินการแต่ผู้เดียว" นักข่าวภูเก็ตอธิบาย "ปีนี้มีบริษัทภูเก็ตครีเอชั่น
มาแย่งผู้สนับสนุนหลักรายเดิมไป วิชั่นโซนก็เลยสู้โดยการดึงสินค้าที่เป็นคู่แข่งมาเป็นผู้สนับสนุนชนกัน...คุณเอาไวไว ผมเอามาม่า คุณเอาน้ำมันพืชทิพ ผมเอาน้ำมันองุ่น คุณจัดผัดหมี่จานใหญ่ที่สุดในโลก ผมจัดผัดหมี่ร้อยกะทะ"
|
|
|
แต่สิ่งที่คนภูเก็ตไม่พอใจมากที่สุดก็คือ
การที่บริษัทภูเก็ตครีเอชั่น
ต้องการจดลิขสิทธิ์
เพื่อเป็นเจ้าของข้อมูล
และเป็นผู้ควบคุมการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในประเพณีกินผัก
คนภูเก็ต
และสื่อมวลชนจึงประท้วงใหญ่
เพราะเห็นว่าประเพณีนี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ชาวภูเก็ตเป็นเจ้าของร่วมกัน ส่วนกิจกรรมต่าง ๆ
ที่จัดขึ้นในงานกินผักแต่ละป
ีเกิดขึ้นจากการตกลงร่วมกันระหว่างกรรมการศาลเจ้าแต่ละแห่ง ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับบริษัทเจ้าของสินค้าที่ให้การสนับสนุน
ที่อ๊ามเต่งก้องต๋อง (ศาลเจ้าแสงธรรม) บนถ.พังงาซึ่งฉันชอบหลบมานั่งพักอยู่เสมอในช่วงท้าย ๆ ของวัน ฉันชวนคุณป้าคนหนึ่งคุยเรื่องนี้ แกตอบยาวเหยียด "พวกเอกชนแย่งกันเข้ามาควบคุม
-จดลิขสิทธิ์เป็นเจ้าของประเพณีกินผัก
เพราะรู้ว่าเรากินผักกันทั้งเมือง
ถ้าใครได้เข้ามาคุม
ก็ย่อมมีช่องทางทำกำไร เหมือนกับผูกสัมปทานเหมืองแร่นั่นละ จ่ายเงินให้เจ้าเมืองแล้วก็ขุดแร่หาผลประโยชน์
...ประเพณีของเราเกิดมาก่อนบริษัทพวกนี้เสียอีก
เราทำกันมาได้โดยไม่ต้องมีใครมาสนับสนุน
หรือโฆษณาให้หรอก ถ้าผู้ว่าฯ ปล่อยให้มีการจดลิขสิทธิ์งานกินผักจริง
คนภูเก็ตจะต่อต้านกันเป็นแทนทาลั่มรอบสอง
หรืออาจจะรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ "
ฉันแลกเปลี่ยนกับคุณป้าด้วยเรื่องราวที่เจ้าถิ่นคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
บริษัทจัดหาสปอนเซอร์รายหนึ่ง
เคยติดต่อรายการสารคดีทางโทรทัศน์
มาถ่ายทำประเพณีกินผัก โดยทีมงานเสนอว่า ในพิธีปีนบันไดมีดนั้น เมื่อองค์พระในร่างของม้าทรงขึ้นไปถึงขั้นบนสุดแล้ว ให้ม้าทรงเหาะลงมาตามลวดสลิงค์แทนที่จะปีนบันไดลงมาเฉย ๆ เพราะดูน่าตื่นเต้น/มีอภินิหารกว่า
"นี่เป็นการจาบจ้วงเทพเจ้า" คุณป้าพูดเสียงดัง "ประเพณีของเราไม่ใช่การเล่นกล เราปฏิบัติตามที่องค์เทพเห็นว่าสมควรเท่านั้น"
คุณป้าลุกไปไม่นานหลังจากนั้น แต่ฉันยังนั่งอยู่ต่อ
|
|
|
แม้ว่าเสียงอึกทึกครึกโครม
และความน่ากลัวของม้าทรงจะทำให้ฉันอยู่ร่วมกับประเพณีกินผักภูเก็ตอย่างไม่เป็นสุขนัก
และไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ศาลเจ้าสักเท่าไหร่ แต่ฉันกลับพาตัวเองมาที่อ๊ามแห่งนี้เกือบทุกเย็น
อาจเพราะเป็นศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่นี่จึงสงบ อบอุ่น ผู้คนก็ไม่พลุกพล่าน
มีเพียงเสียงระฆังที่ผู้มาเยือนเคาะสามครั้ง
หลังหย่อนเงินลงกล่องบริจาคดังลอยมาเบา ๆ เท่านั้น
ฉันรู้จักการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบชาวจีนที่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต โดยมีผู้ดูแลศาลเจ้าเป็นพี่เลี้ยง เขาจัดแจงหาธูปกำใหญ่มาให้ จุดแรกไหว้เทวดา ตามด้วยเทพองค์ต่าง ๆ ภายในอ๊าม เช่น อ๋องซุนต่ายส่าย ตันเสงอ๋อง
กวนอู และเจ้าแม่กวนอิม รวมทั้งมึ่งสิน (ทวารบาล) ขั้นตอนสุดท้าย คือ หย่อนกระดาษเงินกระดาษทองลงบนกองไฟ
ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นเหมือนที่พักใจของฉันระหว่างอยู่ลำพังในภูเก็ต พักจากการเป็นคนแปลกหน้าในต่างถิ่น พักจากเรื่องลอบฆ่าแกนนำชาวบ้าน พักจากเรื่อง "เหลือบประเพณี"
...โทรศัพท์มือถือแผดเสียงขึ้น
ขณะที่ฉันกำลังเอ่ยขอบคุณผู้ดูแลศาลเจ้า
ซึ่งส่งถุงพลาสติกที่มีสับประรดภูเก็ต แอ๊ปเปิ้ลและส้มอย่างละหนึ่งมาให้
หลังจบบทสนทนาทางโทรศัพท์ ชายหนุ่มหันมาบอกแหม่มสาวที่มาไหว้เจ้าด้วยกัน "มีแขกเข้ามาพักที่โรงแรมของผมเพิ่มอีกวันนี้"
"โชคดีจริง" แหม่มตอบกลับ
"เทพเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของผม บอกแล้วใช่ไหมว่ามาไหว้เจ้าที่นี่แล้วคุณจะโชคดี"
|
|
|
รถเศรษฐีโต ๕๐ เปอร์เซนต์ เบนซ์บุกภูเก็ตเป็นทางการ
(อันดามันโพสต์ ๑๑-๒๐ กรกฎาคม ๒๕๔๓)
หลังจากเปิดกิจการได้ ๙ เดือน บริษัท เบนซ์ ภูเก็ต จำกัด
ขายรถเบนซ์ในภูเก็ต
และจังหวัดใกล้เคียงได้ ๕๐-๖๐ คัน ยังไม่รวมรถตู้เอนกประสงค์ ๑๕ ที่นั่งรุ่น V-Class ราคาคันละ ๕ ล้านเศษ
ซึ่งเหมาะกับงานรับแขกวีไอพีของธุรกิจโรงแรม
และการท่องเที่ยวอีก ๓๒ คัน
ลูกค้า ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของเบนซ์มีภูมิลำเนาอยู่ในภูเก็ต
ล่าสุด เดมเลอร์ไครสเลอร์ (ประเทศไทย) ส่ง The New C-Class
พวงมาลัยขวาคันแรกของโลก
มาเปิดตัวที่โชว์รูมเบนซ์ภูเก็ตเป็นครั้งแรก
เพราะว่าที่นี่ "มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
และเจ้าของกิจการที่มีศักยภาพในการซื้อ"
ในเวลาใกล้ ๆ กัน ตัวแทนจำหน่ายฮอนด้าก็ประกาศว่า บริษัทฯ ทำยอดจำหน่ายเฉพาะในภูเก็ตได้ทะลุเป้า คือ ขายได้ ๔๐ คันภายในครึ่งปีแรกของปี ๒๕๔๓
เบนซ์และฮอนด้าคงไม่ได้โม้ เพราะข้อมูลจากสำนักงานขนส่งภูเก็ตบอกว่า ปี ๒๕๔๓ มีการจดทะเบียนรถใหม่ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคลจำนวน ๙๙๔ คัน
เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ ๔๔.๗
ไม่ใช่แค่เพียงรถเบนซ์
และฮอนด้าเท่านั้นที่ขายดีบนเกาะภูเก็ต
บริษัทซิงเกอร์สาขาภูเก็ต
ก็ครองยอดขายสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ (สินค้าที่ขายดีที่สุดคือ ตู้เย็นและเครื่องซักผ้า)
|
|
|
ห้าง Watson เปิดตัวสาขาที่ ๕๕ ในภูเก็ต เพราะเล็งเห็นว่าภูเก็ต "เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการลงทุน" Watson มั่นใจว่าร้านค้าที่นี่จะติด ๑ ใน ๑๐ สาขาที่ทำยอดจำหน่ายได้สูงสุดในประเทศ
ถึงตรงนี้
ฉันน่าจะสรุปได้เสียทีว่า
คนภูเก็ตรวย/มีกำลังซื้อสูง แต่ต่อให้มีข้อมูลของทางราชการมาสนับสนุนว่า "ปี ๒๕๔๐ ประชากรภูเก็ตมีรายได้เฉลี่ยคนละ ๑๗๓,๐๒๖ บาทต่อปี สูงเป็นอันดับ ๑
ในภาคใต้ และเป็นอันดับ ๗ ของประเทศ" และ "ยอดเงินฝากจังหวัดภูเก็ตเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ปี ๒๕๔๒ มียอดเงินฝากสูงสุด ๓ หมื่นกว่าล้าน ซึ่งเป็นยอดเงินฝากที่สูงเป็นอันดับที่ ๑๕ ของประเทศ" ฉันก็ไม่คิดว่าควรสรุปง่าย ๆ เช่นนั้น
ถ้าจะมีประโยชน์อะไรอยู่บ้าง
ข้อมูลพวกนี้น่าจะเป็นเพียงตัวช่วย
ให้เราเห็นสภาพเศรษฐกิจของจังหวัดภูเก็ตได้ดีขึ้นเท่านั้น
ผู้รู้เรื่องพัฒนาการของภูเก็ต
แบ่งการพลิกผันของเมืองนี้เป็น ๓ ครั้ง--ครั้งแรก สมัยรัชกาลที่ ๓ และ ๔
เมื่อมีการทำสนธิสัญญากับต่างชาติ
ทำให้เศรษฐกิจการค้าแร่ดีบุกขยายตัว
คนจีนหลั่งไหลมาทำเหมือง
จนกลายเป็นชนกลุ่มใหญ่ของภูเก็ตในปัจจุบัน ครั้งที่ ๒ เมื่อมีการปฏิรูปการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล
ทำให้มีการพัฒนาด้านสาธารณูปโภค
และครั้งที่ ๓ คือ
เมื่อธุรกิจเหมืองแร่เริ่มถดถอย
นับตั้งแต่ปี ๒๕๑๐ และเริ่มเข้าสู่ยุคแห่งการท่องเที่ยว
สภาพเศรษฐกิจของภูเก็ตในวันนี้เกี่ยวข้องกับการพลิกผันครั้งที่ ๓ อย่างไม่ต้องสงสัย
สำนักงานจังหวัดชี้แจงว่า จากจำนวนนักท่องเที่ยวปี ๒๕๔๒ ทำให้เกิดรายได้หมุนเวียนในพื้นที่ประมาณ ๕๕,๐๐๐ ล้านบาท นักท่องเที่ยวเข้าพักโดยเฉลี่ย ๕.๐๗ วัน ใช้จ่ายวันละประมาณ ๓,๗๐๐ บาทต่อคน การลงทุนภาคก่อสร้างก็ขยายตัวในอัตราสูง มีการก่อสร้างในเขตเทศบาลเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๔๑ ถึง ๙ เท่าตัว เนื่องจากมีการก่อสร้างโรงแรมที่ป่าตองมาก และปัจจุบันนี้รายได้หลัก ๘๐
เปอร์เซนต์ของภูเก็ต
มาจากธุรกิจการท่องเที่ยว
|
|
|
นักข่าวภูเก็ตเล่าให้ฟังว่า แม้ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำสุดขีด การท่องเที่ยวของภูเก็ตก็ยังคึกคัก
ฝรั่งแห่กันมาเที่ยวมาก
เพราะค่าเงินบาทอ่อนตัว เขาสรุปว่า ภูเก็ตอยู่ได้เพราะการท่องเที่ยว
แต่ความจริงภูเก็ต "อยู่ได้" เพราะอย่างอื่นอีก โดยเฉพาะสินค้าส่งออกสำคัญของภูเก็ตในปัจจุบัน คือ
สัตว์น้ำมูลค่าสูงจำนวนมากที่มาขึ้นฝั่งที่ท่าเทียบเรือภูเก็ต
และดีบุกซึ่งผลิตมาต่อเนื่องตลอด ๔๐๐
ปี และยังคงผลิตได้ราว ๆ ๑ พันเมตริกตันในปี ๒๕๔๒ ทำรายได้ให้ภูเก็ตประมาณ ๑๕๓ ล้านบาท
แต่ความมั่งคั่งร่ำรวยของภูเก็ต
ก็ทำให้ต้องนึกถึง "ความไม่ร่ำรวย" ของภูเก็ตด้วยเช่นกัน
บนรถสองแถวที่วิ่งระหว่าง "วงเวียนน้ำพุ
-แหลมพันวา"
ผู้หญิงสองคนบ่นให้กันฟังเรื่องค่าโดยสาร
รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่แพงเกินเหตุ มีคนเคยร้องเรียนถึงอบจ.ว่า ระยะทางแค่ ๑-๒ กม.
เรียกค่าโดยสารตั้ง ๒๐-๓๐ บาท
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า
ภูเก็ตกลายเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงไปเสียแล้ว
มีคนบอกว่าค่าครองชีพในภูเก็ตสูงยุ่งกว่าจังหวัดใด ๆ ในประเทศไทย แม้กระทั่งกรุงเทพฯ
"คนภูเก็ตที่รวยจากการท่องเที่ยวมีไม่ถึง ๕ เปอร์เซ็นต์ คนรวยในภูเก็ตส่วนมากเป็นคนต่างถิ่น เป็นชาวต่างชาติ คนภูเก็ตแท้ ๆ กลับเดือดร้อน
...เราต้องอยู่แบบนักท่องเที่ยว กินแบบนักท่องเที่ยว จ่ายแพงเหมือนนักท่องเที่ยว" โกเอก ซึ่งเกิดและโตในภูเก็ตบ่นให้ฟัง
|
|
|
หนังสือชุดเพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน ภูเก็ต
อธิบายว่าคนภูเก็ตที่เป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจ
และสังคมของภูเก็ตในปัจจุบัน คือ
ลูกหลานของชาวจีนผู้มั่งคั่งที่อพยพมา
ในยุคทองของเหมืองแร่แล้วก่อร่างสร้างตัว
จนร่ำรวยเป็นนายเหมือง ได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์เป็นคุณพระ คุณหลวงหรือท่านขุน คนกลุ่มนี้น่าจะเป็น "คนภูเก็ตที่รวย" ที่โกเอกพูดถึง
ส่วน "คนภูเก็ตแท้ ๆ ที่ต้องเดือดร้อน" นั้นเห็นจะเป็นคนพื้นเมือง เช่น
ลูกหลานของกุลีจีน
ที่มาทำงานในเหมืองเมื่อประมาณร้อยปีก่อน,
ชาวไทยมุสลิมที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง
และทำสวนสมรม
ตั้งถิ่นฐานอยู่รอบนอกตัวเมือง
หรือบริเวณชายฝั่งรอบเกาะ รวมทั้งชาวเลที่ตั้งหมู่บ้านอยู่ริมทะเล เชี่ยวชาญด้านการดำน้ำ แทงปลา งมหอย จับกุ้งหรือปูด้วยมือเปล่า ทำประมงชายฝั่งเป็นอาชีพหลัก ยามว่างหรือหน้ามรสุมพวกเขาก็จะรับจ้างคนในหมู่บ้านใกล้ ๆ ดายหญ้า เก็บมะพร้าวเป็นครั้งคราว ชาวเลรุ่นหลัง ๆ ผันตัวไปเป็นลูกจ้างกันก็มาก
พวกเขาอาจจะไม่ใช่เจ้าของเบนซ์รุ่น C-Class, V-Class หรือรถเก๋งฮอนด้า
ไม่ได้เป็นกลุ่มเป้าหมายของห้างขายเครื่องสำอางค์อย่าง Watson และอาจมีรายได้ต่ำกว่า "รายได้เฉลี่ยของประชากรต่อหัวต่อปี" ที่ทางจังหวัดคำนวณออกมามากนัก
ฉันได้แต่หวังว่าคนเหล่านี้จะมีความสุข
ตามวิถีทางของเขา
และไม่ถูกผลพวงของความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจของภูเก็ต
ทำร้ายมากจนเกินไป
|
|
|
นายก
อบจ.ฝันหวาน วางแผนใช้เงินภาษีโรงแรม
(ข่าวเศรษฐกิจธุรกิจ ๑๕-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓)
เรื่องของเรื่องเล่าแห่งยุคสมัยในภูเก็ตคงไม่สมบูรณ์แน่
หากว่าไม่มีเรื่องของการท่องเที่ยว
มีหลักฐานตั้งมากมายที่บ่งชี้ว่าภูเก็ตวุ่นวายอยู่กับการท่องเที่ยวมากแค่ไหน ตั้งแต่ในข่าวเล็ก ๆ อย่างเช่น
โรงแรมภูเก็ตอาเคเดีย
เอาเค้กไปเซอร์ไพรส์วันเกิดมิสซิสฮาร์ดิ้ง นักท่องเที่ยวออสซี่วัย ๖๘ ที่เดินทางมาเยือนภูเก็ตเป็นประจำทุกปี,
โรงแรมใหญ่ถูกนักท่องเที่ยวร้องเรียนเรื่อง
ขายน้ำดื่มขวดละ ๒๕๐ บาท,
นายแพทย์สาธารณสุขภูเก็ต
เป็นประธานเปิดประชุม "โครงการพัฒนาระบบทันตกรรมเพื่อการท่องเที่ยว" ไปจนกระทั่งถึงข้อมูลน่ารู้อย่าง ภูเก็ตมีโรงแรม ๓๕๓ แห่ง มีห้องพัก ๒ หมื่นห้อง โดยเป็นห้องพักที่หาดป่าตองถึงร้อยละ ๓๐ ในตัวเมืองร้อยละ ๑๙ และที่หาดกะรนร้อยละ ๑๓, นักท่องเที่ยวมาภูเก็ตปีละไม่ต่ำกว่า ๓ ล้านคนและจะเพิ่มเป็น ๕
ล้านคนในอนาคต
หรือในช่วง ๒ ปีอะเมซิ่งไทยแลนด์ ภูเก็ตดูดเงินนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ถึงแสนล้านบาท,
ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากที่สุดเป็นอันดับสอง
รองจากกรุงเทพฯ
และมีเที่ยวบินทั้งแบบประจำ
และเช่าเหมาลำจากใน
และต่างประเทศเข้ามาสัปดาห์ละกว่า ๑๐๐ เที่ยวบิน
จึงไม่แปลกเลยถ้านโยบายของจังหวัดนี้
จะมุ่งไปที่การท่องเที่ยวเป็นหลัก ("การพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัด
จะต้องควบคู่ไปกับการอนุรักษ์
เพื่อสร้างสรรค์ให้จังหวัดภูเก็ต
เป็นเมืองท่องเที่ยวตลอดกาล" )
แต่ก็แปลกดีที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดของภูเก็ต
ซึ่งต้องการเป็น "เมืองท่องเที่ยวตลอดกาล"
แห่งนี้
กลับไม่ประสบความสำเร็จในการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม
เพื่อนำมาพัฒนาท้องถิ่นจากนักท่องเที่ยวผู้เข้าพักในโรงแรม
|
|
|
กรณีนี้เป็นข่าวพาดหัวของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเกือบทุกฉบับ
ช่วงที่ฉันไปเป็นนักท่องเที่ยวอยู่ที่ภูเก็ต (ตุลาคม ๒๕๔๓)
เจ้าของโรงแรมคนหนึ่ง
ให้สัมภาษณ์ข่าวเศรษฐกิจธุรกิจว่า
ที่พวกเขาเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก
ก็เพราะว่า "ภูเก็ตเป็นจังหวัดใหญ่ในเรื่องของการท่องเที่ยว โรงแรมทั่วประเทศจับตามองอยู่ว่าเราจะทำอย่างไร"
"กระทรวงมหาดไทยให้อำนาจองค์การบริหารส่วนจังหวัด
จัดหารายได้เพื่อพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง" บุญรัตน์อธิบาย "อบจ.ภูเก็ตจึงมีแนวคิดที่จะจัดเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยว
ที่เข้ามาพักที่โรงแรมในภูเก็ตเป็นเงิน ๐.๕ เปอร์เซนต์ของค่าห้องพัก แต่ทางโรงแรมมีปฏิกิริยาต่อต้าน บอกว่าเป็นการเก็บภาษีซ้ำซ้อน
ทำให้เสียบรรยากาศการท่องเที่ยว
เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวรู้ว่าต้องจ่ายเพิ่มก็ไม่อยากมา
และกลุ่มเจ้าของโรงแรมไม่ไว้ใจว่า
อบจ.จะนำเงินไปใช้ในทางที่เกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่นจริงหรือไม่"
เมื่อถามความเห็นส่วนตัว นักข่าวข่าวสดบอกว่า "เจ้าของโรงแรมไม่ควรคัดค้าน เพราะมันเป็นเงินจำนวนไม่มาก ที่สำคัญคือนักท่องเที่ยวเป็นคนจ่าย ไม่ใช่เจ้าของโรงแรม
...ผู้ประกอบการโรงแรมมาหาประโยชน์จากภูเก็ต
ก็น่าจะตอบแทนให้ท้องถิ่นบ้าง ถ้าไม่ไว้ใจอบจ.
ก็เป็นหน้าที่ของคนภูเก็ต
ที่จะต้องคอยตรวจสอบต่อไป"
เรื่องนี้ลงเอยด้วยการที่
อบจ.ยอมเลื่อนกำหนดการเก็บค่าธรรมเนียมออกไปก่อน
|
|
|
แต่ถึงแม้ว่า อบจ.จะไม่ได้เงินมาพัฒนาท้องถิ่น
จากบรรดาเจ้าของโรงแรม ทุกวันนี้ ภูเก็ตก็ได้รับการพัฒนาอยู่แล้ว หากว่า "การพัฒนา" นั้นหมายถึงถนนสี่เลน, การขยายสนามบิน, ท่าเรือน้ำลึกสำหรับจอดเรือสำราญ, ตึกสวย-โรงแรมหรู
หรือโครงการขุดเจาะอุโมงค์ทะลุภูเขาเข้าป่าตอง
ส่วน ททท.ก็ทุ่มเทกับภูเก็ตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตั้งแต่ปีท่องเที่ยวไทย ๒๕๓๐ จนมาถึงอะเมซิ่งไทยแลนด์
สำนักงาน ททท.ภูเก็ต
ซึ่งที่จริงแล้ว คือ "สำนักงานภาคใต้เขต ๔" นั้นมีหน้าที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งในภูเก็ต พังงาและกระบี่
แต่กลับถูกคนพังงาร้องเรียนว่าสนใจแต่ภูเก็ตมากเกินไป
จนลืมจังหวัดอื่น
ไม่นานมานี้สุมณฑา นาครทรรพ
ผู้อำนวยการฝ่ายบริการตลาด
ททท.เดินทางมาเปิดสำนักงานสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ต
ก็เลยถือโอกาส เตือนภูเก็ตว่า
ความโดดเด่นของวัฒนธรรม
และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนใน ภูเก็ตยังโดดเด่น "เป็นรอง" วิถีชีวิต/วัฒนธรรมของคนบนเกาะบาหลี
ของอินโดนีเซีย
และเกาะลังกาวีของมาเลเซียอยู่
ถ้าพัฒนาตรงจุดนี้ได้
ภูเก็ตจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น
ซึ่งมีกำลังซื้อ
และเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยถึงปีละ ๑.๑ ล้านคนได้มากขึ้น (ปัจจุบันนี้มีชาวญี่ปุ่นมาเที่ยวภูเก็ตเพียงปีละ ๑ แสนคนเท่านั้น)
ทั้งนี้เนื่องจากอุปนิสัยของชาวญี่ปุ่น
สนใจในเรื่องของวัฒนธรรม
ประเพณีของต่างชาติ
จึงนิยมไปเที่ยวจังหวัดที่มีโบราณสถานอยู่ เช่น สุโขทัย อยุธยา ลพบุรี มากกว่า
การบ้านข้อสุดท้ายที่ผอ.ฝ่ายตลาดของ
ททท.ฝากให้ภูเก็ตทำก็คือ ต้องคิดค้น/ผลิตสินค้าของที่ระลึก
ที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของตนเองที่ชัดเจน
และเป็นของที่ไม่อาจจะหาซื้อจากที่อื่นขึ้นมาให้ได้ เพราะปัจจุบันนี้ภูเก็ตยังไม่มีของที่ระลึกเฉพาะตัว...
|
|
|
ถึงจะไม่มีสินค้าที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์
หรือวัฒนธรรมยังไม่โดดเด่นพออย่างที่
ททท.ต้องการ แต่ก็เป็น
ททท.เองนั่นละที่แถลงผลการสำรวจอย่างภาคภูมิใจว่า "โอกาสตัดสินใจของนักท่องเที่ยวที่จะมาภูเก็ตมีมากขึ้น
และมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจกลับมาอีก"
ไม่รู้ว่าคนภูเก็ตส่วนใหญ่จะดีใจหรือเสียใจกับข้อมูลนี้ แต่อย่างน้อย ในแง่ของการเสนอข่าว
พวกนักข่าวที่ภูเก็ต
ก็โกรธแค้นการท่องเที่ยวกันมาก
เพราะ "การท่องเที่ยว"
เป็นเงื่อนไขที่ทำให้แหล่งข่าวในภูเก็ต
ไม่ค่อยจะยอมปริปากให้ข้อมูล
และหลายครั้งที่พวกเขาถูกขอร้องจากข้าราชการระดับสูงในจังหวัด
ให้ยุติการเสนอข่าวบางข่าว
ด้วยเหตุผลที่ว่า "...มันกระทบการท่องเที่ยว" เช่น ข่าวคลื่นยักษ์ซูนามิ,
ข่าวโรคติดต่อที่แพร่ระบาด
จากที่พักแรงงานต่างด้าว, ข่าวโรงแรมที่สร้างไม่ถูกแบบแผน (ไม่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์, ไม่มีบันไดหนีไฟ), ข่าวจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์,
ข่าวเรื่องน้ำดื่ม
และอาหารสกปรกฯลฯ
|
|
|
ชัยวุฒิ
นักข่าวของมติชนเล่าว่า
เขาเคยแอบซุ่มเก็บข้อมูล
และถ่ายภาพ
เด็กชายที่รับจ้างสำเร็จความใคร่
ให้ฝรั่งที่หาดป่าตองอยู่หลายคืน เมื่อมติชนเสนอเป็นข่าวหน้าหนึ่ง
เขาก็ถูกตำรวจท่องเที่ยวคุกคาม
เพราะทำให้เจ้าหน้าที่เสียหน้า
นายกเทศมนตรีเมืองป่าตองตอบโต้ว่า
เป็นการซ้อนภาพ
ส่วนตำรวจภูธรตอบสนองต่อข่าวชิ้นนี้
ด้วยการไล่กวาดเด็ก ๆ ออกไปจากหาดทุก ๆ คืน
ยังไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่การท่องเที่ยวกระทำกับภูเก็ตโดยตรง...
ถ้อยคำของคนในท้องถิ่นที่หนังสือ ภูเก็ต บันทึกไว้เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๔๓ มีอยู่ว่า "หาปลาก็ห้าม เขาไล่เรือเรานะ เขาอยากให้ฝรั่งสบาย
...ฝรั่งต้องเที่ยวสบาย ๆ แต่คนหากินไม่ได้ ต้องไล่เพราะยุ่ง คนมาเที่ยวสำคัญ แต่คนจะหากินยังไง เขาไม่สนใจ"
"ปีหนึ่งเราจัดงานวัดแค่หนเดียว เขายังมาต่อว่าว่าเสียงดังรบกวนแขกเขา พวกมุสลิมนี่โดนเหมือนกัน
...วันศุกร์ไง ที่มีสวด เขาว่าเสียงมันดัง แขกจะพักผ่อน"
"ไม่เหลือหาดสวย ๆ ให้เที่ยวแล้ว โรงแรม ฝรั่งมันยึดเอาไปหมด เหลือแต่อุทยานฯ และหาดสุรินทร์ที่เขากันไว้ กับหาดเล็ก ๆ อีกไม่กี่หาด พอให้คนบ้านเราได้เที่ยว"
ฉันว่า
ไม่มีใครพูดถึงความเจ็บปวดจากการท่องเที่ยว
ได้เจ็บปวดเท่าคนภูเก็ตอีกแล้ว
|
|
|
แผนภูเก็ตเมืองนานาชาติ ผ่านโลด ๖ พันกว่าล้าน
(ข่าวเศรษฐกิจธุรกิจ ๒๕ กันยายน-๑ ตุลาคม ๒๕๔๓)
เมืองนานาชาติ = "แผนปฏิบัติการภูเก็ตเมืองนานาชาติ"
ซึ่งเป็นแนวคิดเดิมของ
ททท.ที่เคยเสนอให้รัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา พัฒนาภูเก็ตเป็นเมืองท่าปลอดภาษี ปรับปรุงถนนรอบเกาะ สร้างศูนย์ประชุมนานาชาติ ฯลฯ มีผู้วิเคราะห์ว่า เบื้องลึกของการทำแผนปฏิบัติการเมืองนานาชาติ คือ
แผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองท้องถิ่นแบบเดิม
ไปเป็นการจัดระเบียบการปกครองแบบใหม่
ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย
โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นเป็นศูนย์รวมอำนาจใหม่
เป็นกลไกระดับจังหวัด
ที่สามารถรวบอำนาจในการตัดสินใจ
เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
และสังคมภูเก็ตได้อย่างเด็ดขาด
ไซเบอร์พอร์ต/เมืองไอที = เป็นส่วนหนึ่งของแผนฯ
เมืองนานาชาติ
ที่ต้องการพัฒนาเมืองภูเก็ต
ให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสาร
และคอมพิวเตอร์
ให้ทัดเทียมสิงคโปร์
มาเลเซีย
และเมืองบังกาลอร์ของอินเดีย
เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการผลิตสินค้า
และทรัพยากรมนุษย์ด้านไอที
ี
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแผนปฏิบัติการเมืองนานาชาติ
ไปเมื่อกุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ แผนนี้กินระยะเวลายาวนาน ๑๒ ปี (๑๙๙๙-๒๐๑๑) และคณะกรรมการพัฒนาจังหวัดอนุมัติเงินไปแล้ว ๖
พันกว่าล้านบาท สำหรับ ๖๑ โครงการแรก ส่วนไซเบอร์พอร์ตนั้น กระทรวงวิทย์ฯ คาดว่ารัฐบาลไทยจะสนับสนุนงบประมาณเบื้องต้นให้ ๑,๐๐๐ ล้านบาทเร็ว ๆ นี้
|
|
|
บางที
ภูเก็ตอาจจะชินกับความเป็นเมืองนานาชาติ
ที่กำลังคืบคลานมาถึง
เหมือนอย่างที่ฉันสันนิษฐานว่า
พวกเขาจะชินกับการอยู่ร่วมกับคนต่างชาติต่างถิ่นก็ได้ ฉันเห็นด้วยกับคำพูดของสาวิตต์ โพธิวิหค
ที่พูดไว้เมื่อตอนที่พรรคประชาธิปัตย์ยกทัพมาพบกับสื่อมวลชนภาคใต้
เมื่อปลายปี ๒๕๔๓ ว่า "ขณะนี้ภูเก็ตก็เป็นเมืองนานาชาติในระดับหนึ่งแล้ว"
สิ่งที่สนับสนุนคำพูดของสาวิตต์
นอกจากจะเป็นการเดินทางมาเยือนของผู้นำระดับชาติ
ของประเทศต่าง ๆ ไม่ขาดสายแล้ว อีกกิจกรรมยอดนิยมที่น่าจะนำมาเสริมความเป็น "อินเตอร์/นานาชาติ" ของภูเก็ตได้ก็คืองานประเภท "สถาปนาบ้านพี่เมืองน้อง"
ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในช่วงที่ผ่านมา (๒๕๓๒ : ผูกไมตรีบ้านพี่เมืองน้องกับเมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส, ๒๕๔๑ : คณะผู้แทนเมืองเอียนไถ สาธารณรัฐประชาชนจีน
เดินทางมาเยือนภูเก็ต
และร่วมลงนามในข้อตกลงการสถาปนาบ้านพี่เมืองน้อง
โดยความเห็นชอบของกระทรวงมหาดไทย
เนื่องจากเมืองนี้เป็นแหล่งซื้อยางพารารายใหญ่ที่สุดของไทย, ๒๕๔๓ : ที่ปรึกษาพิเศษทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมผู้ว่าฯ
ภูเก็ต
เพื่อหารือความเป็นไปได้ในการสถาปนาเมืองพี่เมืองน้อง
ระหว่างภูเก็ตกับเมืองโอกินาว่าของญี่ปุ่น)
และล่าสุดภูเก็ตถูกเสนอให้เป็นที่ประชุมสุดยอดกลุ่มเอเปค
ในปี ๒๐๐๓ เพราะมีความพร้อมหลายด้าน ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรมที่พักซึ่งต้องใช้ห้องพักระดับ ๔-๕ ดาวประมาณ ๔,๐๐๐ ห้องโดยภูเก็ตมีห้องพักที่อยู่ในข่ายนี้ถึง ๗,๐๐๐ ห้อง ที่สำคัญ ภูเก็ตไม่มีปัญหาจราจรติดขัดและ "ไม่มีปัญหามวลชนมากเหมือนที่อื่น"
สำหรับเรื่องแผนปฏิบัติการเมืองนานาชาตินั้น คนภูเก็ตมีทั้งที่หนักใจ และเห็นดีด้วย
|
|
|
ที่เห็นดีด้วยบอกว่า
จะทำให้มีคนเข้ามาลงทุนที่เกาะภูเก็ตเป็นจำนวนมหาศาล
โดยเฉพาะด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เศรษฐกิจของเกาะเฟื่องฟู
ทั้งยังได้รับการพัฒนาด้านสาธารณูปโภค
ที่ได้มาตรฐานในระดับสากลอีกด้วย พวกเขาเชื่อมั่นว่าแผนฯ
นี้จะดูแลทรัพยากรธรรมชาติ
และมรดกทางประวัติศาสตร์/วัฒนธรรมเป็นอย่างดี
พวกที่หนักใจให้เหตุผลว่าแผนฯ
นี้จะมีผลทำให้การปกครองท้องถิ่นของภูเก็ต
มีความเป็นประชาธิปไตยน้อยลง
เพราะมีแนวทางที่จะให้อำนาจตัดสินใจแก่ฝ่ายบริหาร
ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อกำหนดนโยบายพัฒนาจังหวัดมากเกินไป เท่ากับลดอำนาจของประชาชนซึ่งย่อมส่งผลกระทบรุนแรงมากในอนาคต
น่าแปลกตรงที่ภราเดช พยัฆวิเชียร
ผู้ว่าการการ ททท.ออกมาตั้งคำถามต่อโครงการไซเบอร์พอร์ตด้วยเช่นกัน (เพราะททท.เองก็กำลังมีแผนการจะสร้างศูนย์ประชุม
และแสดงสินค้านานาชาติในภูเก็ต) เขาให้สัมภาษณ์นักข่าวภูเก็ตว่า "ไม่มีใครรับรองได้ว่า
จะไม่มีกิจกรรมแอบแฝงเข้ามาทำให้เมืองเสียหาย
จากการที่ภูเก็ตเป็นศูนย์กลางไอที
...เจ้าหน้าที่จะสามารถควบคุมดูแลการก่อสร้างอาคาร
เพื่อไม่ให้ทำลายสิ่งแวดล้อมได้ทั่วถึงหรือไม่"
ส่วนพวกที่คิดเห็นเป็นกลาง ๆ ก็ตั้งคำถามง่าย ๆ แต่น่าคิด เช่น
ภูเก็ตจะเป็นเมืองนานาชาติ
หรือศูนย์กลางไอทีของโลกได้อย่างไร
ในเมื่อ "ระบบขนส่งมวลชนยังย่ำแย่
มีแต่รถตุ๊กตุ๊กกับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
ที่ขูดรีดค่าโดยสาร" หรือยังมีข่าวประเภท "กรรมการคมนาคม
สำรวจพบถนนภูเก็ตยอดแย่ อบจ.ภูเก็ตออกสำรวจถนนทุกสาย พบมีแต่ชำรุด
อันตราย
และมีสิทธิ์ตายได้ทุกเส้นทาง"
|
|
|
หนังสือประกอบการเขียน
สำนักพิมพ์สารคดี. ภูเก็ต. ๒๕๔๓
สำนักงานจังหวัดภูเก็ต. ข้อมูลสถิติจังหวัดภูเก็ต ประจำปี ๒๕๔๓.
ขอขอบคุณ
คุณนันทพงษ์ แก้วกล้า, คุณวัชระ มะลิแก้ว, คุณบุญรัตน์ อภิวันทนากร, คุณประเสริฐ เฟื่องฟู, คุณวิเชียร อุตส่าห์, คุณจามร สมพงษ์ และเจ้าหน้าที่สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ตทุกท่าน
|
|
|
|