รศ.ดร. ไชยรัตน์
เจริญสินโอฬาร
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
-
ไม่ปฏิเสธว่า
มนุษย์ต้องมีมาตรฐาน
คำถามเชิงรัฐศาสตร์คือว่า
ทำไมจึงเป็นมาตรฐาน
ชุดนี้ชุดเดียว
-
ISO คือมายาคติในโลก
ที่ถูกจัดระเบียบ
โดยภาคธุรกิจอุตสาหกรรม
เป็นระบบของอำนาจ
ซึ่งปิดบังซ่อนเร้น
สิ่งที่ต่างจากมาตรฐานเอาไว้
-
ขบวนการจัดมาตรฐาน
จะทอนทุกอย่างลงมา
เป็นเชิงปริมาณ
ทำให้สูญเสียความละเอียดอ่อน
และความสลับซับซ้อนไป
เนื่องจากมีช่องว่าง
ระหว่างตัวที่ต้องการวัด
กับสิ่งที่ใช้วัด
-
เครื่องหมายมาตรฐานสากล
ที่กำกับตัวสินค้า
ไม่ได้ช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดเงิน
เพราะไม่ได้ลดการบริโภค
แต่กลับสร้างอุปสงค์เทียม
ให้เกิดการบริโภค
|
|
"ผมไม่มีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับ
ISO
เข้าใจว่าเป็นระบบเกี่ยวกับอะไรสักอย่าง
ที่ช่วยสร้างมาตรฐานสากล
วิธีคิดแบบนี้
เป็นวิธีคิดแบบสมัยใหม่
ที่มีมาตรฐานชุดเดียว
มาตรฐานแบบเดียวกันที่สามารถพบได้ทุกแห่ง
โดยมีวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
เป็นวิธีคิดหลัก
สามารถนำไปใช้ที่ไหนก็ได้
กระบวนการทำให้เป็นสากลถ้าพูดแบบภาษาหลังสมัยใหม่
(postmodernism)
คือกระบวนการทำให้เป็นชายขอบ
หรือทำให้เป็นอื่น
ขณะเดียวกันกระบวนการมาตรฐานทุกชนิด
จะเก็บกด ปิดกั้น
สิ่งที่ไม่เหมือนกับมาตรฐาน
เนื่องจากการกำหนดมาตรฐาน
เป็นการแบ่งประเภท
ระบบการจัดประเภททุกชนิด
เป็นระบบของอำนาจ
เราจะบอกว่าอะไรควรจะอยู่อะไรไม่ควร
ยกตัวอย่างใกล้ ๆ ตัว เช่น
ความเป็นไทย/อะไรที่ไม่ใช่ไทย...
เป็นอะไรที่กำกวมมาก
คำถามปัจจุบัน
ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะต้องมีมาตรฐานไหม
เราไม่ปฏิเสธว่ามนุษย์ต้องมีมาตรฐาน
คำถามเชิงรัฐศาสตร์คือว่าทำไมเป็นมาตรฐานชุดนี้
ไม่ใช่ชุดนั้น
เป็นชุดนี้แล้วใครได้ประโยชน์
เราจำเป็นต้องมองมาตรฐานสากล
ให้เป็นเรื่องของการเมือง
เรื่องของอำนาจ
เช่นอำนาจของวิทยาศาสตร์-
การสร้างระเบียบ
กฏเกณฑ์ว่าอะไรคือวิทยาศาสตร์
อะไรไม่ใช่
ดังที่เราแบ่งแยกผู้ชาย/ผู้หญิง
ผู้ชายทำอะไรได้บ้าง
ผู้หญิงทำอะไรได้บ้างและทำอะไรไม่ได้
อำนาจในที่นี้
จึงไม่ได้หมายถึงอำนาจของใครโดยเฉพาะ
แต่เป็นอำนาจของระบบ
ระเบียบ
ขอยกตัวอย่างจากแนวคิดของนักวิชาการชื่อ
โรล็องด์ บาร์ตส์ ISO
ก็คือมายาคติ หรือ myth
อย่างหนึ่ง
พูดให้ซับซ้อนน้อยที่สุด
มายาคติคือภาษาชนิดหนึ่ง
แต่เป็นภาษาที่วางอยู่เหนือภาษา
เรียกว่า metalanguage
อย่างเวลาเราได้ยินคำว่า ISO
เลขอะไรผมก็ไม่รู้นะ
ความหมายของภาษาคือ
การประกันคุณภาพ
ควบคุมคุณภาพ คือดีตลอด
เหมือนเวลาได้ยินคำว่า
การพัฒนา วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี โลกาภิวัฒน์
ส่วนภาษาชุดที่สอง
หรือในระดับของมายาคติ
คือสิ่งที่ ISO
ปิดบังซ่อนเร้น
เบี่ยงเบนความสนใจไปจากเรื่องของความแตกต่าง
มาตรฐานชุดเดียวทำให้
ความแตกต่างกลายเป็นศัตรู
ที่ชั่วร้ายต้องกำจัดออกไป
เนื่องจากเป็นภัยคุกคามต่อ
"มาตรฐานสากล"
มาตรฐานชุดนี้ไม่ได้ผ่านการพิสูจน์
หรือแข่งขันจนชนะคนอื่น
หากเป็นการใช้อำนาจเข้ามาครอบงำ
ผ่านกระบวนการศึกษา
ผ่านสื่อต่าง ๆ
เราทำได้สองอย่าง
คือสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
เขาให้ QC คุณก็ QC เขา good governent
คุณก็ good governent
แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่มีภูมิปัญญา
ผมคิดว่าสังคมไทยเป็นสังคมมีภูมิปัญญา
แต่เราไม่มีอำนาจต่อรอง
อีกอย่างหนึ่งคือเราไม่เคยถามว่า
มายาคติชุดนี้มีปัญหาอย่างไร
วิธีคิดแบบนี้เป็นวิธีคิดแบบแยกขั้ว
เป็นขั้วตรงข้าม ชาย/หญิง,
ซ้าย/ขวา, ดี/เลว
มันอันตรายตรงที่ว่า
แยกข้างหนึ่ง ชูข้างหนึ่ง
ระบบมาตรฐาน ISO ก็เหมือนกัน
ถ้ามองแบบหลังสมัยใหม่ก็คือ
ระบบของการปิดกั้นกีดกันนั่นเอง
มองแบบการเมือง
เราถูกทำให้มองว่ามาตรฐานสากลนั้น
เป็นธรรมชาติ
วิถีชีวิตแบบนี้เป็นธรรมชาติ
โลกกาภิวัฒน์ก็เหมือนกัน
เมื่อเป็นธรรมชาติแล้ว
เราจะไม่ตั้งคำถาม
ไม่สงสัย
เช่นทำไมธรรมชาติผู้หญิงจะต้องยอมผู้ชาย
เราไม่เคยถามเลยว่า
นี่เป็นกรอบความคิดที่ผู้ชายสร้างขึ้นมา
เพื่อกดผู้หญิง
สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ
ไม่ใช่สัจธรรม
แต่เป็นประดิษฐกรรมทางสังคม
ตรงนี้สำคัญมาก
เราจำเป็นต้องชี้ให้เห็นว่า
ISO มีบทบาทหน้าที่ทำอะไร ?
คือการจัดระเบียบโลกแบบหนึ่ง
เพียงแต่ว่าโลกหลังยุคสงครามเย็น
กับยุคสงครามเย็นไม่เหมือนกัน
ยุคสงครามเย็น
การจัดระเบียบโลกคือ
การเมืองที่แยกซ้าย/ขวา
โลกหลังยุคสงครามเย็นที่เราใช้ว่ายุคโลกาภิวัฒน์
เงื่อนไขของการจัดระเบียบ
ตกอยู่กับภาคธุรกิจอุตสากรรม
จึงมี WTO, NAFTA อะไรมากมาย
ซึ่งมาตรฐานสากลนี้
ท้าทายสิ่งที่เรียกกันว่า
อำนาจอธิปไตยของรัฐ
เพราะมันเข้ามาเปลี่ยน
เข้ามาจัดการกิจการภายในของรัฐ
ซึ่งจริง ๆ
แล้วโลกก็ไม่ใช่อยู่นิ่งๆ
ให้เกิดการจัดระเบียบ
แต่มีขบวนการต่อต้าน
มีชื่อแปลเป็นไทยว่า "ขบวนการต่อต้านโลกาภิวัฒน์"
ซึ่งผมไม่ชอบชื่อนี้
เพราะทำให้ถูกประณามว่า
เป็นพวกขวางโลก
แล้วพวกนั้นก็ชาญฉลาด
ที่จะปิดฉลากพวกที่เคลื่อนไหวต่อต้านว่าขวางโลก
เป็นพวกผู้ไม่หวังดี
และไม่เห็นด้วยกับกระแสการเปลี่ยนแปลงโลก
ที่ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมใหญ่
ๆ เป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์ผ่าน WTO
ในความคิดของผม ISO
ก็เป็นภาษาแบบหนึ่ง
เวลาเข้าสู่โลกค้าขาย
จะคุยกับใครให้รู้เรื่อง
ก็ต้องคุยด้วยภาษานั้น
แต่ภาษาไม่ได้เป็นเครื่องมือของการสื่อสาร
แต่มาพร้อมกับวัฒนธรรม
มองแบบหลังสมัยใหม่
คือภาษาของ ISO
สร้างโลกเฉพาะแบบขึ้นมาเป็นระบบหนึ่ง
รวมทั้งสร้างอาชีพใหม่
คือองค์กรรับปรึกษาเพื่อให้ได้
ISO ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง
เราอยู่ในโลกซึ่งเน้นวิทยาศาสตร์เชิงกายภาพ
ที่ให้ความสำคัญกับตัวเลข
ปริมาณที่วัดได้จับได้
เวลาเราจัดมาตรฐาน
จะวัดเชิงปริมาณเป็นหลัก
เราเอาคุณภาพของสินค้า
ของสังคมมาทอนโดยใช้ดัชนีชั่งตวงวัด
หรือทอนทุกอย่างให้เป็นเชิงปริมาณ
ขบวนการเหล่านี้ทำให้สูญเสียความละเอียดอ่อน
และความสลับซับซ้อนไปหมด
ตัวอย่างเช่น
การวัดประชาธิปไตยในเมืองไทย
โดยดูจากตัวเลขประชาชน
ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกัน
หรืออย่างล่าสุด
เอกสารระเบียบคณะกรรมการป้องกันทุจริตแห่งชาติ
ว่าด้วยการตอบแทนผู้ทำคุณงามความดี
ในการป้องกันและปราบปรามทุจริต
พ.ศ.๒๕๔๓
แยกการทำคุณงามความดีเป็นชั้นดีเยี่ยม
คือสามารถเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐได้
ระดับ ๑-๔ หรือเทียบเท่า ๑๐
คนขึ้นไป ระดับ ๕-๗
หรือเทียบเท่า ๓ คนขึ้นไป
ถ้าเอาระบบนี้มาใช้กับมหาวิทยาลัย
โดยกำหนดให้อาจารย์ต้องเขียนตำราปีละ
๒ เล่ม
ตำราแต่ละเล่มก็ไม่เหมือนกัน
นี่เป็นข้ออ่อนของวิธีคิดแบบนี้
การทอนทำให้เราสูญเสียรายละเอียดหลายอย่าง
เนื่องจากมีช่องว่างระหว่างตัวที่เราต้องการวัดกับสิ่งที่ใช้วัด
โดยส่วนตัวผมก็อยากให้องค์กรมีระเบียบ
แต่ต้องถามต่อว่า
มีระบบระเบียบแล้วจะทำอะไรต่อไป
ในกรณี ISO 9002
คือมีระเบียบแล้วผลิตได้มากขึ้น
ผลิตมากขึ้นแล้วใครได้ประโยชน์
ผลประโยชน์ที่ได้กระจายอย่างไร
อันนี้เป็นสิ่งที่เราไม่ถามกัน
กรณีบอกว่าถ้ามีมาตรฐาน
ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์
ได้บริโภคสินค้าตามที่มาตรฐานกำหนด
คำถามก็คือ
เป็นสินค้าประเภทไหน
เราจำเป็นต้องบริโภคไหม
ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกที่สร้างอุปสงค์เทียมด้วยการโฆษณา
เราจำเป็นต้องมีโทรศัพท์มือถือ
เพราะเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องแสดงฐานะ
หรือนาฬิกาข้อมือทุกเรือน
ที่จะบอกความทันสมัย
และสื่อความหมายถึงสำนึกเรื่องเวลา
วัตถุเหล่านี้ไม่ใช่แค่เครื่องประดับ..
.แต่มากกว่า
ครั้งหนึ่งบริษัทซิงเกอร์
คิดว่าจะทำอย่างไรจึงเปลี่ยนคอนเส็ปต์จักรเย็บผ้า
จากเครื่องจักร
เป็นเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน
สินค้าพอมี ISO
เราก็ไม่คิดอย่างอื่น
จะซื้อเครื่องไฟฟ้า
มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ ๕
ก็รีบซื้อเลย
เพราะเราเชื่อว่า
เป็นการบริโภคเพื่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อประหยัดไฟ
ผลคือไม่ได้ลดการบริโภค
การบริโภคก็ยังเพิ่มอยู่ดี
ฉลากพวกนี้กลับทำให้บริโภคง่ายขึ้น
ตัดสินใจง่ายขึ้น
ระหว่างของสองสิ่ง
มีฉลากกับไม่มีฉลาก
แต่สรุปคือเราก็ยังเสพ
นี่เป็นเสน่ห์ของทุนนิยม
คือต้องการให้เราเสพ
ยิ่งเสพเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
ที่จริงพวกโฆษณาเขาก็ใส่ ISO
ไปในสินค้าเรียบร้อยแล้ว
ด้วยฉลาก เช่น ปลอดสารพิษ
ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
เราชนชั้นกลางที่ถูกครอบงำ
โดยมายาคติแบบหนึ่งก็จะรีบเสพ
เรื่องการศึกษายิ่งไม่ควรต้องมี
ISO
เพราะไม่มีอะไรรับประกันว่าครูจำนวนเท่านี้
ต่อนักเรียนจำนวนเท่านี้
จะทำให้การศึกษามีคุณภาพ
หรือคนไทยจะได้รับรางวัลโนเบล
เรื่องระเบียบชั่วโมงสอนของครู
ก็สามารถทำเองให้มีคุณภาพได้ไม่ต้องพึ่ง
ISO
ทุกวันนี้โรงเรียนต้องการ
ISO
เพื่อสร้างความชอบธรรมให้โรงเรียน
อีกหน่อยวัดก็ต้องมี ISO
ขณะนี้วงการมหาวิทยาลัยก็กำลังพูดถึง
QA (การประกันคุณภาพ) กันใหญ่
สรุปคือผมคิดว่าเรื่องมาตรฐานสากล
เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน
ควรมีมาตรฐานแต่ไม่ควรเป็นมาตรฐานชุดเดียว
ถ้าคุณบอกว่าระบบมาตรฐานมีการแข่งขันกันแล้ว
ตัวนี้ชนะได้เป็นมาตรฐานสากล
อย่างนี้ดี ถือว่า politicize
แล้วก็อยู่เพียงชั่วคราว
ไม่ใช่เรื่องของสัจธรรม
หรือเรื่องของธรรมชาติ
ความคิดในเรื่องมาตรฐาน
และต้องเป็นมาตรฐานแบบเดียวกัน
สามารถพบเห็นได้ทุกสถานที่ทุกเวลา
และทุกวัฒนธรรม
คือความฝันสูงสุดของมนุษย์
เป็นความฝันที่ต้องการจัดระบบ
ระเบียบ ควบคุม
ขณะเดียวกันทุกยุคทุกสมัยของมนุษย์เช่นกัน
ก็จะมีการต่อต้าน
ขัดขืนระบบระเบียบนี้
และนี่คือ "ความเป็นจริง"
ของโลกและสังคม
|