แมลงเป็นสัตว์ที่มีปริมาณและจำนวนชนิดมากที่สุดในโลก ตัวเลขต่ำสุดที่มีคนประเมินไว้คือ ๑.๕ ล้านชนิด สูงสุดคือ ๕๐ ล้านชนิด บางชนิดมีคุณ บางชนิดมีโทษ ทั้งต่อพืช สัตว์ และตัวมนุษย์เอง การแสวงหาความรู้เกี่ยวกับแมลงให้มากที่สุดจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อรู้จักใช้แมลงให้เป็นประโยชน์ หรือในทางกลับกัน เพื่อรับมือได้อย่างทันท่วงทีกับปัญหาที่แมลงก่อขึ้น และจุดเริ่มต้นของความรู้เหล่านี้ก็คือ การจำแนกชื่อวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง "การสำรวจหาชื่อแมลงมีความสำคัญมาก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้ด้านต่าง ๆ และการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช หากเราไม่รู้ว่าแมลงตัวนั้นเป็นแมลงชนิดไหน แล้วฉีดยาฆ่าแมลงแบบสุ่มสี่สุ่มห้า การกำจัดก็ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะแมลงแต่ละชนิด มีรูปร่างหน้าตา และพฤติกรรมการดำรงชีวิตต่างกัน บางชนิดมีปากแบบเจาะดูด ต้องใช้ยาซึมเข้าไปในต้นพืช บางชนิดมีปากแบบกัดกิน ต้องใช้ยาพ่นตามใบตามกิ่งใบ หรือบางชนิดในเวลากลางวันจะหลบอยู่ที่อื่น จะบินมาที่แปลงพืช ก็ต่อเมื่อถึงเวลาหากินในตอนกลางคืนเท่านั้น หากเราฉีดยาไม่ถูกที่ถูกเวลาก็เสียเงินเปล่า แต่ถ้าเรารู้ว่าแมลงตัวนั้นเป็นแมลงชนิดไหน มีพฤติกรรมการดำรงชีวิตอย่างไร ศัตรูธรรมชาติของมันคืออะไร เราอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงให้สิ้นเปลือง ให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม หรือกรณีแมลงระบาดมาก ๆ จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง ถ้าเราเลือกใช้ยาที่เหมาะสม การกำจัดแมลงก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือถ้าเราต้องการอนุรักษ์แมลงที่กำลังจะสูญพันธุ์ อันดับแรกเราต้องรู้ว่าแมลงชนิดนั้น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าอะไร มีพฤติกรรมการดำรงชีวิตเป็นอย่างไร เราจึงอนุรักษ์อนุรักษ์แมลงชนิดนั้นได้" ดร. องุ่น ลิ่ววานิช กล่าวถึงความสำคัญของงานอนุกรมวิธานแมลง ที่เธอทุ่มเทเวลาเกือบทั้งชีวิตให้ งานของเธอเริ่มต้นด้วยการออกไปเก็บตัวอย่างแมลง จากพื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่ป่าทั่วประเทศ นำกลับมาจำแนกชื่อทางวิทยาศาสตร์ และเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แมลงของกองกีฏ และสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร ยามเมื่อแมลงสร้างปัญหาให้แก่ชาวบ้านและเกษตรกร เธอและเพื่อนนักอนุกรมวิธาน ก็จะช่วยกันหาชื่อที่ถูกต้องของแมลงตัวนั้น แล้วส่งให้กลุ่มงานอื่น ๆ ดำเนินการแก้ปัญหาต่อไป งานอนุกรมวิธาน จึงเป็นงานพื้นฐานให้กลุ่มงานอื่นนำไปต่อยอดความรู้ หากนักอนุกรมวิธาน สำรวจชื่อแมลงผิดพลาดกลุ่มงานอื่น ๆ จะได้รับผลกระทบต่อกันไปเป็นลูกโซ่ หลายต่อหลายครั้ง เงินจำนวนมหาศาลต้องสูญไปในชั่วพริบตา เพียงเพราะการจำแนกชื่อแมลงผิด ดังเช่นเหตุการณ์ที่ ดร. องุ่นประสบมาด้วยตนเองเมื่อหลายสิบปีก่อน
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ เรามีโอกาสติดตาม ดร. องุ่นและเจ้าหน้าที่จากกองกีฏและสัตววิทยา ไปเก็บตัวอย่างแมลงในป่า ใกล้อุทยานแห่งชาติป่าละอู จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พอรถผ่านลำธารเล็ก ๆ มองเห็นผีเสื้อหลายสิบตัวบินลงกินดินโป่งอยู่ริมน้ำ ทีมนักวิจัยก็รีบลงจากรถ มีสวิงติดมือไปคนละอัน บางคนจับผีเสื้อที่เกาะอยู่บนพื้นริมลำธาร บางคนจับด้วงหรือแมลงตามกิ่งไม้ พอจับได้แล้วก็ "จัดการ" ให้ทุกชีวิตไปสู่สุคติด้วยวิธีที่คาดว่ามันทรมานน้อยที่สุด หากเป็นแมลงตัวเล็กจะถูกจับใส่ขวดที่มีตัวยาสลบเอทิลอะซิเทต วิธีนี้จะทำให้ผีเสื้อตายในเวลาไม่ถึงนาที ถ้าเป็นผีเสื้อขนาดกลางก็บีบอกให้ตาย ส่วนผีเสื้อตัวใหญ่ ต้องใช้เข็มฉีดยาที่บรรจุเอทิลอะซิเทต ฉีดลงบนส่วนอก ซึ่งจะทำให้มันตายอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจึงบรรจุผีเสื้อในซองกระดาษลอกลาย ที่พับเป็นสามเหลี่ยม โดยจับปีกผีเสื้อทั้งสองข้างแนบกันหันลำตัวออกด้านนอก บันทึกวัน เวลา และสถานที่ที่พบไว้บนกระดาษ เมื่อกลับถึงพิพิธภัณฑ์ ข้อมูลเหล่านี้ จะถูกนำไปบันทึกไว้ในสมุด Lot ซึ่งเป็นสมุดบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับแมลงที่จับมาได้ ในกรณีที่เจอตัวหนอนของแมลง ทีมนักวิจัยก็จะเก็บมาเลี้ยงในห้องวิจัย โดยนำพืชอาหารของมันกลับมาด้วย ระหว่างการเลี้ยงตัวหนอน นักวิจัยจะคอยจดบันทึกพฤติกรรมต่าง ๆ ของมันอย่างละเอียดไว้ในสมุด BL หรือ Breeding Lot ข้อมูลเหล่านี้จะกลายเป็นกุญแจสำคัญ ที่ช่วยไขปริศนาต่าง ๆ เกี่ยวกับแมลงได้เป็นอย่างดี เป็นต้นว่าเมื่อ เกิดเหตุการณ์แมลงศัตรูพืชระบาด หากเรารู้พฤติกรรมของแมลงชนิดนั้นโดยละเอียด การแก้ปัญหาจะกระทำได้ทันที โดยการตัดวงจรพืชอาหารของแมลงชนิดนั้น หรือควบคุมด้วยศัตรูธรรมชาติ โดยใช้ตัวห้ำ ตัวเบียน เป็นต้น
เมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีก่อน กลุ่มชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวยุโรป ที่เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย ให้ความสนใจกับการศึกษาแมลงในเมืองไทยเป็นอย่างมาก ในยามว่าง พวกเขาจะเดินทางออกไปเก็บตัวอย่างแมลงจากที่ต่าง ๆ และนำมาศึกษาตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ งานศึกษาแมลงของไทยในอดีต ผู้ค้นพบแมลง จึงเป็นชาวต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ ในปี ๒๔๕๙ เรื่องราวเกี่ยวกับแมลงเมืองไทย ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการของไทยเป็นครั้งแรก เป็นผลงานของ Mr. E.J. Godfrey ชาวอังกฤษผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ที่โรงเรียนสวนกุหลาบราชวิทยาลัย ชายผู้นี้เก็บสะสมผีเสื้อเป็นงานอดิเรก จนมีคอลเล็กชันผีเสื้อเมืองไทยนับร้อยชนิด ก่อนกลับบ้านเกิดในอีกหลายปีต่อมา เขาได้ขายคอลเล็กชันดังกล่าวให้แก่พิพิธภัณฑ์แมลง กรมวิชาการเกษตร คอลเล็กชันของ Godfrey ถือเป็นคอลเล็กชันผีเสื้อที่เก่าที่สุดในเมืองไทย งานกีฏวิทยาของเมืองไทย เริ่มต้นอย่างจริงจังในยุคของ Mr. W.R.S. Ladell ชาวอังกฤษที่เข้ามารับราชการ ในกระทรวงเกษตราธิการ เมื่อปี ๒๔๖๙ ชายผู้นี้ให้ความสนใจ กับการเก็บรวบรวมตัวอย่างแมลงในเมืองไทยอย่างจริงจัง เขาเป็นคนขอซื้อคอลเล็กชันผีเสื้อจาก Godfrey และนำมารวมกับแมลงที่เขาสะสมไว้ทั้งหมด จัดตั้งพิพิธภัณฑ์แมลงแห่งแรกของประเทศไทยขึ้น จนกระทั่งปี ๒๔๗๘ งานศึกษาแมลงโดยคนไทยจึงเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ม.ร.ว. จักรทอง ทองใหญ่ หนึ่งในสองคนไทยรุ่นแรก (อีกท่านหนึ่งคือ ดร. คลุ้ม วัชโรบล) ที่เดินทางไปเรียนกีฏวิทยา ในต่างประเทศเดินทางกลับมาถึงเมืองไทย และสานต่องานด้านกีฏวิทยาต่อจาก Ladell จนงานกีฏวิทยาพัฒนาไปไกลทัดเทียมนานาประเทศ
แม้ตลอดเวลากว่า ๗๐ ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แมลง งานวิจัยด้านกีฏวิทยาจะขยายงานออกไปหลายสาขา และให้บริการประชาชนได้มากขึ้น ทว่าจำนวนบุคลากรทางด้านอนุกรมวิธานแมลง กลับยังไม่เพียงพอต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหาเรื่อง การส่งสินค้าออกสู่ตลาดโลก ซึ่งใช้ความรู้ทางอนุกรมวิธานแมลง มาเป็นเครื่องมือในการกีดกันสินค้าจากต่างประเทศ ดร. องุ่นอธิบายรูปแบบการกีดกันสินค้าเกษตร ในตลาดโลกเสรีให้ฟังว่า "ปัจจุบันประเทศที่เป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก หรือ WTO จะมีข้อตกลงร่วมกันว่า ประเทศในกลุ่มสมาชิก จะต้องเปิดเสรีการค้า โดยไม่นำภาษี มาเป็นกำแพงกีดกันสินค้า นโยบายนี้ช่วยให้ประเทศในกลุ่มสมาชิก ส่งสินค้าไปขายได้สะดวกขึ้น แต่เนื่องจากทุกประเทศ ต่างต้องการแต่ส่งออก ไม่ต้องการนำเข้า แต่ละประเทศจึงพยายามหามาตรการ กีดกันสินค้ารูปแบบต่าง ๆ มาใช้ และมาตรการที่หลายประเทศนำมาใช้ คือ มาตรการสุขอนามัย และสุขอนามัยพืช หรือเรียกย่อ ๆ ว่า SPS (Sanitary and Phytosanitary Measures) ซึ่งเป็นมาตรการกีดกันการค้า ที่อาศัยความรู้ทางด้านอนุกรมวิธานแมลง มาเป็นเครื่องมือ ในการสร้างกำแพงกีดกันทางการค้า" มาตรการดังกล่าวเรียกร้องให้ประเทศที่ต้องการส่งออกสินค้าเกษตร ส่งบัญชีรายชื่อแมลงศัตรูพืช (pest list) ของพืชชนิดนั้นแนบไปด้วย เพื่อที่ประเทศปลายทาง จะได้นำรายชื่อแมลงเหล่านั้น ไปวิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืช (pest risk analysis) ว่าเป็นแมลงที่เป็นอันตรายต่อพืช ในประเทศตนหรือไม่ เพราะสินค้าเกษตรมักมีแมลงศัตรูพืชติดไปด้วย ถ้าประเทศนั้นมีแมลงชนิดนั้นอยู่แล้ว ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มี และเห็นว่าแมลงศัตรูพืชชนิดนั้น อาจเป็นอันตรายต่อพืชในประเทศตน ประเทศปลายทางก็สามารถปฏิเสธสินค้าจากประเทศต้นทางได้
รายชื่อแมลงอนุรักษ์
รายชื่อแมลงอนุรักษ์ ๑๓ รายการ ที่ประกาศอยู่ในบัญชีท้ายกฎกระทรวงฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม ๑๑๑ ตอนที่ ๓๑ ก ลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ (ในอนาคตอาจมีจำนวนมากขึ้น หากตรวจพบว่ามีแมลง อยู่ในเกณฑ์การกำหนดชนิดแมลงอนุรักษ์) ๑. ด้วงกว่างดาว เป็นด้วงขนาดใหญ่ ตัวผู้มีขาหน้ายาวสวยงาม ตัวเมียขาหน้าสั้น ด้วงชนิดนี้พบทางภาคเหนือและภาคตะวันออก ๒. ด้วงคีมยีราฟ พบทางภาคเหนือและภาคตะวันออก ด้วงคีมหรือด้วงเขี้ยวกางในประเทศไทยมีหลายชนิด และมีรูปร่างแปลกสวยงาม จึงมีการล่าจับกันมาก ๓. ด้วงดินขอบทองแดง ด้วงดินที่มีขนาดใหญ่ ตัวสีดำ แต่ขอบบริเวณส่วนอกมีเหลือบเป็นสีทองแดง พบในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๔. ด้วงดินปีกแผ่น ด้วงดินที่มีปีกหน้าแบนบางเป็นแผ่นทำให้ดูสวยและแปลก เป็นแมลงที่หายาก พบเฉพาะทางภาคใต้ ๕. ผีเสื้อกลางคืนค้างคาว ผีเสื้อกลางคืนขนาดใหญ่ บินเร็วคล้ายค้างคาว พบทุกภาค
๑. เป็นแมลงในกลุ่มที่มีการจับเพื่อการค้ามาก ซึ่งได้แก่พวกด้วงและผีเสื้อ ๒. เป็นแมลงหายาก โดยพิจารณาดูว่า แมลงพวกด้วงและผีเสื้อที่มีตัวอย่างเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์แมลงของกรมวิชาการเกษตรนั้น ชนิดใดเป็นชนิดที่หายาก โดยเป็นชนิดที่จับได้เมื่อ ๓๐-๔๐ ปีมาแล้ว แต่ต่อมาสำรวจไม่พบแมลงชนิดนั้นอีก หรือพบแต่มีปริมาณน้อยมาก จัดว่าเป็นแมลงที่หายาก ๓. เป็นแมลงที่มีอยู่ในบัญชีรายชื่อในอนุสัญญา CITES ในบัญชีหมายเลข ๒ ของอนุสัญญานี้มีรายชื่อแมลงที่พบในประเทศไทยด้วยสามรายการ คือ ผีเสื้อภูฏาน (Bhutanitis spp.) ผีเสื้อไกเซอร์ (Teinopalpus spp.) และผีเสื้อถุงทอง (Troides spp.) ดังนั้นจึงได้กำหนดแมลงทั้งสามชนิดนี้เข้าไว้ในรายชื่อแมลงอนุรักษ์ด้วย
๑. กำหนดชนิดของแมลงให้เป็นสัตว์ป่าสงวนหรือคุ้มครองเพิ่มเติม ๒. ป้องกันการลักลอบจับแมลงในเขตป่าอนุรักษ์ ๓. ควบคุมการส่งแมลงออกไปต่างประเทศ ๔. ส่งเสริมการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์แมลงที่อนุรักษ์ ๕. สร้างจิตสำนึกในด้านการอนุรักษ์