สารคดี ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๑๙๙ เดือน กันยายน ๒๕๔๔ "ทุ่นระเบิด นักฆ่าผู้ซื่อสัตย์"
นิตยสารสารคดี Feature Magazine
นิตยสารสำหรับครอบครัว
www.sarakadee.com
ISSN 0857-1538
  ฉบับที่ ๑๙๙ เดือน กันยายน ๒๕๔๔
กลับไปหน้า สารบัญ

เ ฮ โ ล ส า ร ะ พ า

หมูอมตะ

สงครามน้ำหอม ๑ (ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ)
คุณที่รัก


    หลังจากหายตัวไปจากคอลัมน์นี้นานหลายปีแสง จนแฟน สารคดี ทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ลืมนามปากกา "หมูอมตะ" ไปแล้ว บัดนี้ "หมูฯ" กลับมาจ๊ะจ๋ากับคุณ ๆ เป็นประจำอีกครั้งหนึ่งจ้ะ หลังจากใช้เวลาสามปีกว่าแสวงหาประสบการณ์ชีวิตในประเทศฝรั่งเศส
    ณ ปัจจุบัน "หมูฯ" ยังพำนักอยู่ที่ปารีสจ้ะ กำหนดกลับเมืองไทยอย่างเป็นทางการคือปลายปีนี้ แต่เนื่องจากชีวิตยังมีอะไรสนุก ๆ รอให้เรียนรู้อีกเยอะ ตัวเองจึงปรารถนาจะกลับราวพฤษภาคมปีหน้า เพราะวีซ่าอยู่ได้ถึงช่วงนั้น อย่างไรก็ตาม "หมูฯ" เป็นประชาธิปไตยเต็มตัว หากคุณ ๆ ต้องการให้ "หมูฯ" กลับปลายปีนี้ กรุณาเข้าชื่อกันให้ครบ ๕ หมื่นรายเพื่อร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้อนุญาต "หมูฯ" ได้กลับไปแต่งงานกับน้องแบม มิเช่นนั้น "หมูฯ" จะกลับปีหน้าเพื่อเป็นทหารเกณฑ์ (ที่ฝรั่งเศสเลิกระบบเกณฑ์ทหารได้ ๑-๒ ปีแล้ว ปัจจุบันมีแต่ทหารอาชีพเงินเดือนแพงมาก)
      ที่หายเงียบไปนาน สาเหตุหลักไม่ใช่ไม่มีเวลาจ้ะ แต่เพราะ "หมูฯ" ไม่พอใจชีวิตตัวเองที่ยังเรียนไม่มากพอ รู้ไม่มากพอจะเขียนเรื่องราวถ่ายทอดสู่กันอ่าน ก็เลยไม่เขียนเอาดื้อ ๆ แต่หลังจากได้ทำ ได้เป็น ได้คลุกคลี "อะไร" หลายอย่าง อาทิ พี่เลี้ยงเด็ก พนักงานขายน้ำหอม ไกด์ผี ล่าม เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเรื่องท่องเที่ยวในเมืองไทย แก่นักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศส ฯลฯ จนเชื่อว่าตัวเองพอมีประสบการณ์ตรงหลากหลายมากพอ "หมูฯ" จึงกลับมาเขียนต้นฉบับคอลัมน์นี้อีกครั้ง
    ขอเล่าประสบการณ์ร้อน ๆ ที่เพิ่งผ่านได้ไม่นานนี้ เมื่อต้นเดือนสิงหาคม คนไทยในปารีสที่อยู่นอกวงการ และบังเอิญผ่านไปตามร้านขายน้ำหอมเครื่องสำอางปลอดภาษี ห้างสรรพสินค้าแกลเลอรี่ ลาฟาแยต ร้านอาหารไทย จีน หรือตามแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของปารีส ต่างแปลกใจกันยกใหญ่ ที่เห็นกองทัพนักท่องเที่ยวชาวไทย บุกเพ่นพ่านทั่วกรุงปารีส อันเป็นภาพที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว นับแต่ประเทศไทยโดนโรค "ต้มยำกุ้ง" เล่นงาน
    ข้อเท็จจริงคือบริษัทประกันชีวิต เอ.ไอ.เอ. ให้รางวัลพนักงานขายประกันชีวิตดีเด่น ที่หาลูกค้าได้มากตามเป้าหมายที่ทางบริษัทฯ กำหนดไว้ จำนวนกว่า ๔,๐๐๐ คน (จากทั้งหมดทั่วประเทศ ๓ หมื่นกว่าคน) โดยพาไปเที่ยวฝรั่งเศส และหลายประเทศในยุโรป ซึ่งข่าวนี้คนในวงการที่เกี่ยวข้องที่โน่น ต่างรู้ล่วงหน้ากันหลายเดือน
    ทัวร์ยุโรปคราวนี้ ฐานใหญ่คือกรุงปารีส อันเป็นสถานที่จัดการประชุมพนักงานเอ.ไอ.เอ ทั้ง ๔,๐๐๐ คนซึ่งแยกย้ายกันพักในโรงแรมใหญ่ของปารีสสี่แห่ง คือ โรงแรมคองคอร์ด ลาฟาแยต โรมแรมเมอริเดียน เอตวล โรมแรมเมอริเดียน มงปานาส และโรงแรมโซพิเทล แซงค์ฌาค
    เป็นที่เล่าลือในวงการทัวร์ต่างประเทศหรือทัวร์ outbound ว่า ในยุโรป หากเป็นฝรั่งเศสกับสวิตเซอร์แลนด์แล้วละก็ ไกด์จะอาสาแย่งกันนำทัวร์ด้วยความเต็มใจ เพราะสองประเทศนี้ไกด์จะได้ค่า "น้ำ" หรือค่าคอมมิชชั่นจากการจับจ่ายซื้อของของลูกทัวร์ อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยฝรั่งเศสเป็นเมืองของน้ำหอม เครื่องสำอาง ไวน์ และสินค้าฟุ่มเฟือยหลากชนิด ส่วนสวิตเซอร์แลนด์เป็นเมืองของนาฬิกา (แต่ซื้อนาฬิกาที่สวิตฯ กลับแพงกว่าซื้อที่ฝรั่งเศส เพราะของยี่ห้อเดียวกัน ฝรั่งเศสลดภาษีให้ ๑๓ เปอร์เซ็นต์ ขณะที่สวิตฯ ลด ๗.๕ เปอร์เซ็นต์)
    ในฝรั่งเศส แหล่งให้ผลประโยชน์คือร้านปลอดภาษีซึ่งมีมากร้าน แต่ร้านที่จัดพนักงานขายไทย ไว้ต้อนรับลูกค้าชาวไทยโดยเฉพาะ และบริษัททัวร์นิยมนำลูกค้าไปลง ที่ใหญ่ ๆ มีสามร้าน ร้านเก่าแก่สุดคือ เบนลักซ์ (หรือเบนลุคหากอ่านสำเนียงฝรั่งเศส-Benlux) ร้านพื้นที่ใหญ่ที่สุด คือปารีสลุก (Paris Look) และร้านเฮเลนเดล (หรือเอเลนดาลในสำเนียงฝรั่งเศส-Helenedale) ส่วนร้านระดับโลกอย่างหลุยส์ วิตตอง ซึ่งเป็นเป้าหมายของชาวไทยกระเป๋าหนักนั้น ไกด์ไม่ค่อยสนใจพาลูกทัวร์ไปชอปเท่าไร เพราะทางร้านไม่มีค่า "น้ำ" ให้
    ขอนอกเรื่องถึงหลุยส์ วิตตองหน่อยจ้ะ ที่เขาเล่าลือว่าร้านนี้ต้องเข้าคิวรอซื้อของนั้น จริงเป็นที่สุด ร้านที่ถนนชองเซลิเซ่นั้น ทุกเช้าก่อนเวลาเปิดร้าน ลูกค้าเอเชีย โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและจีน จะยืนต่อคิวยาวที่หน้าร้านเป็นประจำทุกวัน นอกจากนี้ยังมีการจ้างวานซื้อของด้วย ซึ่งทำเป็นขบวนการ ครั้งหนึ่ง "หมูฯ" ประสบด้วยตัวเอง ขณะยืนเก้ ๆ กัง ๆ สังเกตการณ์คิวนักซื้ออยู่หน้าร้าน มีชายชาวจีนสองคนเข้ามาทาบทามจ้างให้ "หมูฯ" เข้าไปซื้อสินค้าในร้านแทนพวกเขา โดยอ้างว่าทางร้านจำกัดโควต้า ให้ซื้อได้คนละสองชิ้น แต่เขาต้องการสินค้าจำนวนมาก เลยขอให้ "หมูฯ" เข้าไปซื้อของแทน โดยจะให้ค่าตอบแทน ที่ยอมเสียเวลาซื้อของให้ แต่ "หมูฯ" ตอบปฏิเสธเพราะไม่ต้องการตกเป็นเครื่องมือของใคร เพราะพอรู้อยู่บ้างว่าทางร้านค่อนข้างเข้มงวด กับการขายสินค้าให้ลูกค้าจากประเทศจีน เพราะกลัวซื้อแล้วเอาไปเป็นแม่แบบ ในการผลิตสินค้าปลอมต่อไป ขณะที่ลูกค้าเอเชียชาติอื่น ที่คลั่งไคล้สินค้ายี่ห้อนี้ ได้รับการต้อนรับด้วยดี โดยเฉพาะลูกค้าสัญชาติญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อเรื่องซื้อง่าย จ่ายแหลก ส่วนลูกค้าไทยที่ช่างเลือกพิถีพิถัน ขอดูสินค้าแบบโน้นแบบนี้มากมาย แล้วลงเอยด้วยการเดินมือเปล่าออกจากร้าน หรือซื้อของเพียงชิ้นเดียวนั้น มักไม่เป็นที่สบอารมณ์ของพนักงานขายเท่าไร เมื่อเจอบ่อย ๆ เข้าเหล่าคุณเธอจะแก้ลำด้วยการบอกว่าสินค้าหมด และผละไปบริการลูกค้ารายอื่นเอาดื้อ ๆ เรียกว่าไม่ง้อลูกค้าสักนิดเดียว
    ไม่เพียงแต่จีนที่ขึ้นชื่อเรื่องทำสินค้าปลอม ประเทศไทยก็มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องนี้เช่นกัน คุณรู้ไหมว่าคนเดินทางจากเมืองไทยเข้าฝรั่งเศส มักถูกสอดส่องเป็นพิเศษ ว่านำสินค้าปลอมเข้าประเทศเขาหรือไม่ เพื่อนคนหนึ่งของ "หมูฯ" ผู้มีอันจะกินและนิยมใช้ของยี่ห้อดี ๆ เคยหิ้วกระเป๋าเดินทางหลุยส์ เดินอย่างสง่าผ่าเผยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองฝรั่งเศส แล้วถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรกักตัวไว้ ด้วยสงสัยว่าใช้กระเป๋าปลอม เธอต้องเสียเวลาเป็นพักใหญ่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ (ซึ่งเชี่ยวชาญการตรวจสอบสินค้าปลอม) ตรวจสอบกระเป๋า โชคดีที่เธอไม่ใช้ของปลอม เจ้าหน้าที่จึงคืนกระเป๋าให้พร้อมขอโทษในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น มิเช่นนั้นเธอมีสิทธิ์ถูกปรับสองเท่าของราคากระเป๋าจริง
    ส่วนเพื่อนทนายความชาวฝรั่งเศสของ "หมูฯ" ผู้รักเมืองไทย และมาเที่ยวเมืองไทยห้าหนแล้ว เขาไปเห็นแผงลอย ขายของปลอมที่ย่านพัฒน์พงศ์ แทนที่จะรู้สึกเดือดร้อน แทนผู้ผลิตชาติเดียวกับตน เขากลับชอบใจฝีมือการปลอมของคนไทยมาก โดยเฉพาะผ้าพันคอยี่ห้อแอร์เมส (Hermes คนไทยนิยมเรียกว่าเฮอร์เมส) จึงซื้อไปหลายผืน แต่เนื่องเพราะรู้กิตติศัพท์ ของด่านศุลกากรประเทศของตนดี เขาจึงไม่พกผ้าพันคอนั้นติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วย แต่หันไปพึ่งการไปรษณีย์ของไทย โดยจัดของลงกล่องพัสดุ แล้วจ่าหน้าชื่อตัวเองเป็นผู้รับ เผื่อว่าถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นภายหลัง เขาสามารถปฏิเสธความรับผิดชอบ และอ้างว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ แต่เป็นเพื่อนจากเมืองไทยต่างหาก ที่ส่งของปลอมมาให้
    อ้อ แต่สำหรับคุณที่ไปเที่ยว หรือเยี่ยมญาติมิตรที่ฝรั่งเศส ไม่ต้องกลัวสารพันของกินที่หอบหิ้วเข้าไป ว่าจะถูกด่านฯ ตรวจเข้มเหมือนประเทศอเมริกานะจ๊ะ เพราะด่านฯ ฝรั่งเศสเข้าไม่เอาธุระ กับของกินอย่างน้ำพริก กุนเชียง หมูหยอง บะหมี่สำเร็จรูป เนื้อสวรรค์ ขนม ผลไม้สด ฯลฯ หรอกจ้ะ คุณสามารถขนเสบียงอร่อย ๆ จากเมืองไทยไปอร่อยต่อที่โน่นได้โดยเสรี
    ถึงเนื้อที่ต้องเฉลยปัญหาแล้ว ขออนุญาตเล่าต่อฉบับหน้าจ้ะ

  คำตอบที่ได้รับรางวัลจากปัญหาฉบับที่ ๑๙๗ เดือนกรกฎาคม ๒๕๔๔

    คำถามเรื่องตุ๊กตาตัวสุดท้ายในฉบับเดือนกรกฏาคม ถูกผู้อ่านค่อนมาว่า เด็กสองขวบก็ตอบได้ว่าคือตุ๊กตาตัวที่ ๓ ใครที่ยังไม่ทราบเหตุผล ขอให้ไปถามเด็กสองขวบที่บ้านดู ผู้โชคดีได้รับหนังสือ ผจญภัยแดนสัตว์ป่า ของ วีระ นุตยกุล เป็นของรางวัล ได้แก่ 
๑. คุณวสันต์ เล้าวัชระ จ. นครราชสีมา
๒. คุณมาลัย กิจสนาโยธิน กรุงเทพฯ
๓. คุณสืบศักดิ์ โชติพานิช กรุงเทพฯ
๔. คุณไพโรจน์ ภูชาญ จ. ปทุมธานี
๕. คุณสมศรี สร้างถาวร จ. สมุทรปราการ
๖. คุณเชษฐา เพชรจอม กรุงเทพฯ
๗. คุณปิยะวัฒน์ สุขบางนพ จ. ตรัง
๘. คุณสุภร ติรสุวรรณวาสี  จ. สมุทรปราการ
๙. คุณภักดี นันทจินดา จ. ระยอง
๑๐. คุณดุษฎี ยิ้มน้อย กรุงเทพฯ
 

ปัญหาฉบับที่ ๑๙๙ เดือนกันยายน ๒๕๔๔

 
 

    เรื่องกล้วย ๆ

    คุณว่าในเมืองไทยมีกล้วยกี่พันธุ์ ? ...นี่ไม่ใช่คำถาม เพราะออกจะโหดไป (คำตอบคือ ๕๙ พันธุ์เป็นอย่างน้อย)
    แต่ที่ "หมูอมตะ" อยากรู้คือ คนไทยเรียกกล้วยลูกเล็ก ๆ ที่อยู่ปลายเครือว่าอย่างไร
    ตอบไม่ได้...โปรดใช้คุณย่าคุณยายเป็นตัวช่วย
    รีบส่งคำตอบไปยัง "หมูอมตะ" ภายในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ศกนี้


 
"หมูอมตะ"
MortalPig@ Sarakadee .com