สารคดี ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๒๐๐ เดือน ตุลาคม ๒๕๔๔ "๑๑ กันยายน ๒๐๐๑ วันถล่มอเมริกา"
นิตยสารสารคดี Feature Magazine
นิตยสารสำหรับครอบครัว
www.sarakadee.com
ISSN 0857-1538
  ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๒๐๐ เดือน ตุลาคม ๒๕๔๔
 กลับไปหน้า สารบัญ

สามปี กับชีวิตริมสายน้ำลำขาแข้ง

เรื่องและภาพ : ปริญญากร วรวรรณ
       สิบโมงเช้า
     จู่ ๆ เสือดาวขนาดโตเต็มวัยตัวนั้นก็มายืนอยู่บนหาดทราย ทางด้านขวามือโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทั้ง ๆ ที่เมื่อสักนาทีที่แล้ว ผมเพิ่งกวาดสายตาดูตรงบริเวณนั้นด้วยความคาดหวัง แต่หาดทรายยังคงว่างเปล่า
     ถัดจากหาดทรายมาราว ๆ ๑๕ เมตร เป็นโป่งพื้นที่แคบ ๆ โป่งหนึ่ง เราเรียกชื่อโป่งนี้ว่า โป่งส้าน เพราะรอบ ๆ มีต้นส้านอยู่หลายต้น
     ผมรู้จักโป่งเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ติดลำห้วยนี้มานาน แต่ก็เคยแวะเข้ามาดูครั้งเดียว ในครั้งนั้นโป่งอยู่ในสภาพค่อนข้างรก ไม่มีบริเวณทำซุ้มบังไพรเหมาะ ๆ ผมเฝ้ารออยู่สามวัน ในวันที่ ๓ วัวแดงตัวผู้ซึ่งสีลำตัวออกคล้ำ ๆ ตัวหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ใกล้ขนาดหากเอื้อมมือออกไป ก็สัมผัสลำตัววัวแดงตัวนั้นได้ แต่ผมไม่ได้กดชัตเตอร์เลยสักครั้ง เพราะวัวแดงอยู่ใกล้เกินไป และอยู่ในตำแหน่งที่มีดงไม้กั้นไว้หนาทึบ หากจะถ่ายให้ได้ ผมต้องออกจากบังไพรอ้อมมาอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่า ผมจะไปอยู่ในทิศทางเหนือลม ผมอาจเร็วพอที่จะกดชัตเตอร์ได้สักสองสามครั้ง แต่วัวแดงโทนตัวนั้นคงตื่นหนี และเสียโอกาสกินแร่ธาตุในโป่งไปอีกนาน
คลิกดูภาพใหญ่      พูดตามตรง ผมเกรงใจวัวแดงตัวนั้นเกินกว่าจะทำได้ การเฝ้ารอในคราวนั้น ผมได้รูปนกยูง และลิงแสมตัวหนึ่ง เป็นรูปที่ใกล้มาก ใกล้จนกระทั่งผมเห็นแววตาสงสัยของลิงแสมอย่างชัดเจน ขณะจ้องมาทางซุ้มบังไพร เมื่อเสียงชัตเตอร์ดังขึ้น
     "โป่งมันรกเกินไป แคบด้วย ทำงานยาก" ผมตอบคำถามที่เพื่อน ๆ ในหน่วยป่าไม้ถามเหตุผล ที่ไม่แวะเข้ามาดูโป่งแห่งนี้บ้าง
     "พวกลาดตระเวนบอกว่า เดี๋ยวนี้โป่งโล่งแล้ว ตั้งแต่ปีที่น้ำแรง ๆ นั่นแหละ มีรอยวัว รอยกระทิงเยอะเหมือนกัน" ลุงทอน คนงานหน่วยพิทักษ์ป่าเขาบันได ผู้ร่วมเดินป่ากับผมเสมอ ถ่ายทอดข้อมูลจากชุดลาดตระเวนให้ฟัง
     ปีนี้ฝนมาเร็วตั้งแต่ต้นปี ทำให้สภาพการทำงานของผมต้องเปลี่ยนไป แหล่งเดิม ๆ ที่เคยพบสัตว์ป่าบ้างมีสภาพเปลี่ยนไปมาก ทางตอนใต้ของลำห้วย ซึ่งผมใช้เป็นที่เฝ้ารอฝูงควายป่า ที่มักหากินวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ริมลำห้วยไม่มีหาดทราย น้ำเอ่อล้นตลิ่ง สัตว์ป่าส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องอาศัยลำห้วยสายหลัก ในป่ามีแอ่งน้ำ หรือปลักเล็ก ๆ อยู่ทั่วไป
     ข้อสำคัญ ฝนซึ่งตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้หนทางในป่าถูกตัดขาด เส้นทางถูกน้ำเซาะเป็นร่องลึก บางช่วงก็รกเกินกว่ารถจะลุยฝ่า  โดยเฉพาะบริเวณดงไผ่จะยิ่งรกมาก ไผ่ถูกช้างดึงลงมากองไว้ที่พื้นมากมาย
     เส้นทางรถไปได้ลำบาก การเดินทางในป่าก็เหลืออยู่หนทางเดียว คือลัดเลาะไปตามด่านช้าง การเดินบนเส้นทางด่านที่ช้างล่วงหน้าไปก่อน เป็นสิ่งที่ทำให้การเดินไม่ยากลำบากนัก
     ตามด่านช้างส่วนใหญ่ จะมีรอยตีนของกระทิงและวัวแดงปะปนอยู่ ยอดไม้หรือกิ่งไผ่อ่อนที่ช้างดึงลงมากองไว้ที่พื้นนั้น เป็นอาหารโปรดของกระทิงและวัวแดงเช่นกัน
     รอยตีนกระทิงจะกว้างและกลมกว่ารอยตีนวัวแดง ที่ด้านปลายเท้าด้านหน้าจะมีลักษณะเรียวแหลม
     พื้นดินอ่อน ๆ ทำให้เห็นรอยสัตว์ป่าชัดเจน แต่ก็ดูเหมือนว่าในการถ่ายภาพสัตว์ป่า วิธีปักหลักอยู่กับที่ในซุ้มบังไพร จะได้ผลดีกว่าการเดินติดตามร่องรอย
     "แวะไปดูโป่งส้านหน่อยไหมล่ะ" ลุงทอนชวน
     "ไปดูก็ได้" ผมตกลงขณะในใจไม่คิดว่าจะได้เรื่อง จากหน่วยฯ เราใช้เวลาเดินประมาณ ๒ ชั่วโมง ผ่านดงต้นกระเจียว ที่ออกดอกบานสะพรั่งหลายต้น หักเพราะถูกกระทิงเหยียบ ลุงทอนเก็บใส่เป้ ดอกกระเจียวต้มจิ้มน้ำพริก รสชาติดี
 คลิกดูภาพใหญ่      ตลอดเส้นทางเราพบเห็ดขอนไม้ เห็ดละโงก และเห็ดที่ขึ้นอยู่บนกองขี้ช้าง 
     เห็ดนำไปประกอบอาหารได้อร่อย ลุงทอนอยู่กับป่ามานาน เห็ดพวกนี้แกเก็บมาทำกับข้าวกินเสมอ
     "วิธีดูง่าย ๆ เวลาเก็บเห็ดกินก็คือ พวกเห็ดแปลก ๆ สีสวย ๆ น่ะอย่าไปยุ่งกับมัน ส่วนใหญ่เป็นพิษ" ลุงทอนพูดขณะนั่งลงเก็บเห็ดละโงก
     ผมเดินไปล่วงหน้า เส้นทางรก ๆ พาไต่ลง สักพักก็ถึงลำห้วย บริเวณทางลงมีร่องรอยกระทิง และวัวแดงย่ำไว้อย่างสับสน 
     ตะกวดตัวโตวิ่งพรวดพราดอย่างตกใจ ทำให้ฝูงนกเขาเปล้าที่อยู่อีกฝั่งของลำห้วย บินพรูขึ้น 
     "โป่งอยู่ฝั่งโน้นไง" ลุงทอนพูดเบา ๆ 
     จริงอย่างที่ชุดลาดตระเวนบอกเล่า สภาพลำห้วยในบริเวณนี้เปลี่ยนไปแล้ว โดยเฉพาะฝั่งเดียวกับโป่งที่เคยเป็นป่ารก ๆ บัดนี้มันคือที่โล่ง ๆ ด้านขวามือเป็นหาดทรายยาวราว ๆ ๕๐ เมตร ขนานไปกับโค้งน้ำ ด้านซ้ายเป็นด่านขนาดใหญ่ มีรอยตีนช้างย่ำไว้เป็นเทือก
     "ทำซุ้มฝั่งนี้น่าจะดี" ลุงทอนให้ความเห็น หากผมทำซุ้มบังไพรไว้ฝั่งนี้ ตลิ่งสูงค่อนมาทางทิศตะวันออกจะเป็นทำเลที่ดี
     "แต่ถ้าวัวหรือกระทิงลงโป่ง หินนั่นจะบังหรือเปล่า" 
     โป่งถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงหิน ตัวโป่งอยู่ต่ำลงไป เมื่อมีสัตว์ป่าเข้ามา แนวหินจะบังทัศนวิสัยของผมไว้มาก
     ผมมองไปที่หาดทราย สายน้ำไหลเอื่อย ๆ ถ้ามีเสือสักตัวมาอยู่บนหาดทรายนี้คงเป็นภาพที่ดี
     ผมเชื่อว่าหากโป่งมีร่องรอยของสัตว์กินพืชมากเช่นนี้ มันคือหน้าที่ของเสือ และนักล่าตัวอื่น ๆ ต้องมาแถบนี้เช่นกัน
     "เอาตรงนี้แหละ" ผมตัดสินใจ ขณะตั้งความหวังไว้บนหาดทราย
     แนวหาดทรายโค้งขนานไปกับลำห้วย ยามเช้าแสงอาทิตย์จะส่องเข้าข้าง ๆ ยามบ่ายก็เช่นกัน
     ถ้ามีเสือสักตัวหนึ่งเดินเข้ามาในสภาพแสงอ่อน ๆ เช่นนี้ ในช่องมองภาพจะเห็นภาพอันสวยงามแน่ ๆ 
     ว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ครึ่งหนึ่งคือความจริงว่า เสือย่อมวนเวียนมาตามแหล่งที่มีสัตว์กินพืชชุมนุมอยู่
     แน่นอน ครึ่งหนึ่งของการถ่ายภาพสัตว์ป่า อาจต้องพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่า "โชค"
     เมื่อตั้งความหวังไว้กับสิ่งใดแล้ว คงไม่พลาดเสียทุกครั้ง ความรู้สึกเช่นนี้ จะทำให้ช่วงเวลาในซุ้มบังไพรของผม ไม่อุดอู้และคับแคบเท่าใดนัก
     จู่ ๆ เสือดาวตัวนั้นก็มายืนอยู่บนหาดทราย ลำตัวเปียกโชก เสืออยู่ในทิศทางเหนือลม ไม่มีอาการหวาดระแวง หลังจากหันมองรอบ ๆ สักพัก เสือดาวตัวนั้นก็เริ่มเดินมุ่งหน้ามาทางโป่ง
     ร่างเสือดาวกระจ่างชัดเต็มเฟรม ผมแทบจะไม่ต้องปรับหาระยะชัด เพราะปรับไว้ตรงบริเวณนี้ตั้งแต่เช้า
     "จะสวยสักแค่ไหนนะถ้าตรงนี้มีเสือยืนอยู่สักตัว" เมื่อเช้าขณะปรับหาระยะชัดไว้บริเวณหาดทราย ผมคิดเช่นนี้
 คลิกดูภาพใหญ่      เสือเดินเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น ผมเริ่มต้นกดชัตเตอร์ เสียงชัตเตอร์ที่ผมปรับให้อยู่ในตำแหน่ง เงียบที่สุดดังแผ่ว ๆ แต่กระนั้นก็ไม่พ้นประสาทรับรู้อันยอดเยี่ยมของเสือ
     เสือหยุดเดิน เขม้นมองมาทางต้นเสียง ยืนนิ่งสักครู่ก็นั่งลง เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ผมพบปะเสือ เมื่อเกิดความไม่แน่ใจ เสือจะนั่งลงตรวจสอบอย่างให้รู้แน่
     จากช่องมองภาพ เห็นใบหน้าเสือดาวชัดเจน ผมสัมผัสได้ถึงความผิดปรกติ
     ผมพบเสือดาวมาหลายครั้ง ในครั้งล่าสุด ระยะห่างระหว่างผมกับเสือดาวตัวนั้นสั้นมาก เราอยู่ใกล้กันไม่เกิน ๕ เมตร ในช่วงเวลากว่าครึ่งชั่วโมง มันเป็นเวลาที่ทำให้ผมพบกับความจริงของเสือตัวหนึ่ง  เสือที่นอนไล่งับผีเสื้อ ด้วยท่าทางน่าเอ็นดูในระยะใกล้ ๆ มองสบตาด้วยสายตาเปล่า ๆ ไม่มีเลนส์หรือสิ่งใดมาขวางกั้น
     สายตาของเสือตัวนั้นทำให้ผมรู้ว่า ในขณะไม่ได้ทำหน้าที่ เสือดาวตัวหนึ่งเป็นเช่นไร
     ได้สบตากันอย่างใกล้ชิด มันไม่เพียงทำให้สิ่งที่เรียกว่า ความแปลกหน้าระหว่างเราหายไป
     แต่มันก็ได้ทำให้ผมรู้สึกว่า ความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์ ทำตัวกลมกลืนให้สัตว์ป่ายอมรับ เมื่ออยู่ในสังคมของพวกเขา เริ่มได้ผล ผมรู้สึกเช่นนั้นมาเนิ่นนาน
     จนกระทั่งถึงวันนี้ เสือดาวตัวนี้มีท่าทีต่างออกไป แววตาของเขาช่างแข็งกร้าว เขม้นมองอย่างไม่วางใจ
     ผมค่อย ๆ กดชัตเตอร์อย่างระมัดระวัง ไม่ต่อเนื่อง กระนั้นก็เถอะ เสือรู้แล้วว่าบริเวณนั้นมีสิ่งผิดปรกติ สังเกตจากอาการนั่งนิ่ง ๆ มาเป็นหมอบอย่างเตรียมพร้อม
     ไม่มีบรรยากาศแห่งความวางใจ ขณะเสือหมอบอยู่ ผมใช้ฟิล์มไปครบม้วน กระแสลมคงเปลี่ยนทิศ เสือรับรู้ว่าใกล้ ๆ นี้มีคนอยู่จึงลุกขึ้นยืน ส่งเสียงคำรามก่อนเดินช้า ๆ หายเข้าไปตามทางด่าน ขณะเดินสายตาเขาชำเลืองมาทางผมตลอดเวลา
     นาทีนั้นผมเข้าใจกับความหมายของคำว่า "ตาเสือ"
     ฟ้ายังไม่มืด ผมออกจากซุ้มบังไพร ทางรก ๆ ขนาบด้วยป่าเต็ง-รังที่มีใบเขียวทึบ นี่คือป่า นี่คือบ้านของสัตว์ป่า ผมเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ที่เข้ามาอยู่ในถิ่นของพวกเขา บรรยากาศยามเย็นดูวังเวง ผมเดินไปตามทางรก ๆ อย่างเหงา ๆ 
     สายตาของเสือดาวตัวหนึ่ง ทำให้ผมต้องยอมรับกับความจริงที่ว่า แท้จริงแล้ว สำหรับสัตว์ป่า ผมเป็นเพียงชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ซึ่งเมื่ออยู่ในป่าผมไม่มีสิ่งใดเลยอันทำให้รู้สึก "เหนือ" กว่า เป็นได้แค่คนแปลกหน้า ที่พยายามทำความรู้จักกับสัตว์ป่าเท่านั้น
     จู่ ๆ เสือดาว ตัวหนึ่งก็เข้ามายืนบนหาดทราย ดังจะบอกให้รู้หลังจากใช้ชีวิตอยู่ริมสายน้ำลำขาแข้งมาสามปี
     ผมก็พบกับความเป็นจริง
 คลิกดูภาพใหญ่

     ผมทำงานอยู่ในป่าทางตอนใต้ของลำน้ำขาแข้งกว่าสามปี โดยเริ่มงานในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๐ จากความตั้งใจครั้งแรก ผมจะบันทึกความเปลี่ยนแปลงของป่า ทุกฤดูกาลในเวลาหนึ่งปี ออกมาเป็นหนังสือภาพเล่มหนึ่ง
     เมื่อเริ่มทำงาน ผมพบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด สภาพอากาศไม่เป็นไปตามฤดูกาล กลางเดือนเมษายน ซึ่งควรจะเป็นช่วงเวลาอันร้อนอบอ้าวที่สุด ใบไม้ควรจะเหลือเพียงกิ่งก้าน แต่ต้นไม้กลับมีใบเขียวทึบ
     ครั้นพอถึงฤดูฝน ดูเหมือนว่าฝนจะตกอย่างหนัก ริม ๆ ลำห้วย ซึ่งโดยปรกติจะมีหาดทรายทอดยาว เป็นพื้นที่สำหรับนกยูงตัวผู้มาจับจอง เพื่อเป็นอาณาเขต รำแพนเรียกร้องความสนใจจากนกยูงตัวเมีย สายน้ำกลับเอ่อล้นฝั่ง นกยูงต้องอพยพไปใช้ที่โล่ง ๆ ในโป่งซึ่งก็รกไปด้วยหญ้าสูง
     ถึงปีที่ ๓ ผมใช้ฟิล์มไปแล้วกว่า ๓๐๐ ม้วน ไม่มากนักหากเทียบกับสิ่งที่ควรจะเป็น แต่หากคิดว่าฟิล์มม้วนละ ๒๘๐ บาท ผมก็ใช้เงินไปแล้วไม่น้อย
     ในการออกแบบหนังสือของสำนักพิมพ์ที่ผมร่วมงานด้วย เราคงใช้ภาพเพียง ๑๗๐-๒๐๐ ภาพเท่านั้น
     ผมไม่ได้หวังว่า มันจะเป็นหนังสือภาพสัตว์ป่าที่สวยงามที่สุด แต่ผมหวังว่า มันจะเป็นหนังสือภาพสัตว์ป่า อันบอกเรื่องราวชีวิตในป่า ซึ่งต้องปรับตัวไปตามฤดูกาลได้บ้าง
     ปรับกายให้สอดคล้องไปกับความเปลี่ยนแปลงในป่าไม่ใช่เรื่องยาก
     แต่สำหรับใจ มันไม่ง่ายดาย
     ผมใช้เวลาเดินเรื่องขออนุญาตเข้าพื้นที่ อันเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอยู่แรมเดือน
     ในช่วงเวลา ๑๐ ปี ผมเดินทางเข้า-ออกพื้นที่ป่าบริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยแม่ดี เขาบันได และกรึงไกร อยู่หลายครั้ง จึงทำให้พอรู้จักพื้นที่ เช่น โป่ง แหล่งน้ำ หรือบริเวณที่สัตว์ป่าแวะเวียนมาประจำ 
     คนงานในหน่วยและพิทักษ์ป่า คือบุคคลผู้บอกได้ดีที่สุดว่า ช่วงนี้พบเห็นสัตว์ป่าได้บริเวณไหน พวกเขาเห็นร่องรอยสัตว์ป่า ขณะออกตระเวนเดือนละไม่ต่ำกว่าสี่ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่าห้าวัน หลายครั้งที่ผมลาดตระเวนร่วมกับพวกเขา จึงคล้ายเป็นเรื่องปรกติ ที่นับวันผมก็รู้สึกได้ถึงความเป็นพวกเดียวกัน ระหว่างผมกับคนงานในหน่วยป่าไม้

 คลิกดูภาพใหญ่      ตลอดเวลาสามปี คนงานหลายคนย้ายไป คนใหม่ ๆ มาอยู่แทน ไม่นานความแปลกหน้าระหว่างเราก็หายไป ยิ่งหากได้ใช้ชีวิตอยู่ในป่าลึกสักสัปดาห์หนึ่ง ความสัมพันธ์ของเรา ก็ดูราวกับว่าคบหากันมาแล้วเป็นปี ๆ
     คนงานในหน่วยพิทักษ์ป่าส่วนใหญ่เป็นเด็กหนุ่ม ๆ หลายคนยังไม่เกณฑ์ทหาร หากพวกเขาทำงานครบห้าปี จะมีโอกาสสอบเพื่อบรรจุเป็นพนักงานพิทักษ์ป่า เช่น ฟื้น ฤทธินาลา พิทักษ์ป่าวัยกลางคน เป็นพิทักษ์ป่ามา ๑๙ ปี เริ่มจากคนงานรายวัน ได้เงินวันละ ๗๐ บาท ทุกวันนี้ฟื้นมีเงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท ลูกสามคนกำลังเรียนหนังสือ เขาจึงต้องกู้เงินสหกรณ์ ซึ่งหักเงินจากเงินเดือน เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท เหลือ ๔,๐๐๐ บาท ใช้จ่ายโดยไม่สุรุ่ยสุร่าย ฟื้นก็ไม่ลำบากอะไรนัก
     พิทักษ์ป่าที่ทำงานมายาวนานอย่างเขาต้อง "ปะทะ" กับผู้ต้องหา หรือพวกพรานที่ลักลอบเข้ามาล่าสัตว์ป่าหลายครั้ง ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์ "ปะทะ" ที่เขาไม่เคยลืม
     ครั้งนั้น ฟื้นเดินอยู่ข้างหลัง ขณะลูกน้องหนุ่ม ๆ สองคนเดินไปล่วงหน้า ทั้งสองพบรอยเท้าคนเดินไปใหม่ ๆ ด้วยความที่อยากทำผลงาน จึงรีบตามไปโดยไม่รอพรรคพวก ร่องรอยใหม่ ๆ และการตามอย่างกระชั้นชิด ทำให้ผู้ต้องหาจวนตัว จึงหยุดซุ่มและยิงทันที กระสุนเอชเค ซึ่งเป็นปืนสงครามทะลุหน้าอกลูกน้องทั้งคู่
     "เจ้าสองคนนั่นเพิ่งเข้าทำงานได้ไม่ถึงสองเดือน" ฟื้นเล่า เขาจำอาการเจ็บปวดทุรนทุราย ของลูกน้องที่สิ้นใจในอ้อมแขน อาการทุบดินด้วยความเจ็บปวดของเด็กหนุ่มก่อนสิ้นลม ทำเอาเขาน้ำตาไหลพราก
     เด็กหนุ่มสองคนตายไป โดยแลกกับงานที่ได้รับค่าแรงวันละ ๑๗๘ บาท
     ๑๗๘ บาทกับงานปกป้องคุ้มครอง และดูแลชีวิต
คลิกดูภาพใหญ่

     สภาพป่าที่มีเนื้อที่กว่า ๑ ล้าน ๖ แสนไร่อย่างป่าห้วยขาแข้ง ดูคล้ายจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็ใช่ว่าทุกหนแห่งในป่า จะเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าได้ หรือบางบริเวณ สัตว์ป่าก็จะอาศัยอยู่เพียงชั่วคราว ตามฤดูกาลเท่านั้น แหล่งน้ำเป็นปัจจัยสำคัญ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่ในฤดูแล้ว ตลอดแนวลำห้วยสายหลัก อย่างลำขาแข้งจะเป็นที่ชุมนุมของสัตว์ป่า รอยตีนสัตว์กินพืช ก็เคลื่อนทั่วบริเวณผืนทรายแห้ง ๆ และที่ปะปนอยู่กับรอยตีนสัตว์กินพืช ก็คือรอยตีนของสัตว์ผู้ล่าอย่างเสือ
     ในฤดูฝนหรือในปีที่ฝนตกชุก พอถึงฤดูแล้งต้นไม้ทยอยผลัดใบ ความชื้นในอากาศเหลืออยู่มาก ต้นไม้ไม่พร้อมใจกันลดการใช้น้ำด้วยการเปลี่ยนสีใบ และทิ้งใบร่วงหล่นลงพื้น ดังเช่นในปีที่อากาศแล้งจัด แอ่งน้ำเล็ก ๆ หรือปลักมีทั่วไปเป็นเช่นนี้ สัตว์ป่าก็กระจายออกไปบ้าง ตามลำห้วย หรือแม้แต่โป่งอันเป็นที่ซึ่งสัตว์กินพืช ต้องแวะเวียนมาเพื่อกินแร่ธาตุเสริมสร้างกระดูก การเฝ้ารออยู่บริเวณนี้ ยังมักต้องพบกับความว่างเปล่า
     ในปีแรกผมพบกับฤดูแล้งที่มีอากาศร้อนจัด การเฝ้ารออยู่ริม ๆ ลำห้วยค่อนข้างได้ผล ไม่เพียงแต่ทำให้มีโอกาสเฝ้าดูฝูงควายป่าหากิน รวมทั้งนอนพักผ่อนตลอดทั้งสัปดาห์เท่านั้น แต่ในวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันที่ฤดูแล้งสิ้นสุด ฝนตกพรำ ๆ ตั้งแต่บ่าย หลังจากควายป่าทั้งฝูง ซึ่งนอนพักผ่อนอยู่อันเป็นนิสัยปรกติ คือจะเดินหากินในช่วงเช้า ๆ ถึงก่อนเที่ยง จากนั้นก็มักนอนพักไปตลอดจนกระทั่งเย็น ๆ จึงจะลุกขึ้นกินหญ้าไปเรื่อย ๆ อีกครั้ง ทั้งฝูงลุกขึ้น เงยหน้าสูดกลิ่นไปรอบ ๆ ลูกเล็ก ๆ ถูกตัวแม่และควายป่าตัวโต ๆ อีกตัวเข้ามายืนประกบ
     เมื่อเสือโคร่งตัวโตเต็มวัยตัวหนึ่ง เดินออกมาจากด่าน ควายป่าตัวโต ๆ อีกหลายตัวก็เข้าแถวยืนอยู่ด้านหน้าป้องกันไว้อีกชั้นหนึ่ง
     การป้องกันตัวของควายป่า เข้มแข็งเกินกว่าจะเข้าโจมตีได้ นักล่าซึ่งอยู่ในตำแหน่งบนสุด อย่างเสือจึงต้องเดินเลี่ยงไป
     ผมดูเหตุการณ์นั้นอยู่จนกระทั่งฟ้ามืด เดินกลับแคมป์ไปตามลำห้วยแห้ง ๆ ดวงจันทร์ขึ้น ๑๓ ค่ำ โผล่พ้นขอบฟ้า 

คลิกดูภาพใหญ่      ภาพที่เห็นยังเจิดจ้าติดตา
     เป็นภาพที่ทำให้ตำนานและเรื่องเล่ากลายเป็นภาพจริง นอกจากนั้น มันย่อมเป็นข้อเท็จจริงอีกประการ อันเรียกได้ว่า เป็นความสำเร็จประการหนึ่งของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ในการพยายามรักษาพื้นที่ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าบ้านของสัตว์ป่าไว้
     ไม่เฉพาะควายป่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล บันทึกไว้ใน สารนิยมไพร เมื่อปี ๒๕๐๑ ว่าควายป่าตัวที่ถูกยิงตาย ในป่าแถบอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อปี ๒๔๕๑ อาจเป็นควายป่าตัวสุดท้าย ทุกวันนี้ทางตอนใต้ของลำขาแข้ง มีผู้พบเห็นควายป่าบ่อยครั้ง ฝูงที่ผมเห็นนั่นมีจำนวนถึง ๑๘ ตัว และมีลูกเล็ก ๆ ในฝูงด้วย
     การเพิ่มจำนวนของนกยูงสายพันธุ์ไทยก็เป็นภาพที่เห็นได้ชัดเจน
     สิบปีที่แล้วเราเชื่อว่านกยูงไทยกำลังหายไป จากที่เคยมีอยู่ในทุกพื้นที่ของประเทศ มีผู้พบเห็นตามริม ๆ ลำขาแข้งบ้าง 
     ทุกวันนี้เวลาเดินป่า หรือย่ำไปตามลำห้วย สิ่งที่พบเห็นได้บ่อย ๆ คือนกยูงไทยนี่เอง ตลอดทั้งปี ผมได้เฝ้าดูนกยูงตั้งแต่ช่วงฤดูกาลแห่งความรัก ในฤดูหนาว จนกระทั่งแม่พาลูกเล็ก ๆ ออกมาหากินและลูกโตเต็มวัยในฤดูฝน
     ฝูงวัวแดง กระทิง รวมทั้งช้าง ซึ่งมีลูกเล็ก ๆ นั่นแสดงให้เห็นว่า พวกเขามีความสุขพอสมควร มีโอกาสเผยแพร่เผ่าพันธุ์
     สิบปีที่แล้ว ป่าซึ่งเป็นที่รู้จักดีของบรรดา "พราน" เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนไปเพราะกระสุนปืนที่ดังขึ้นนัดหนึ่ง 
     เช้ามืดของวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๓ ฟื้น ฤทธินาลา ทำหน้าที่เป็นยามเวรกลางคืน เขาได้ยินเสียงปืนดัง ช่วงสาย ๆ ถึงรู้ว่าเสียงปืนนัดนั้นได้พาชีวิต "หัวหน้าสืบ" ของแกไปด้วย
     สืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง กระทำอัตวินิบาตกรรม
     เสียงปืนเมื่อดังขึ้นในป่าอันเงียบสงัด มันดังกึกก้องไปทั่ว
     เสียงดังของมันทำให้ผู้คนได้รับรู้ ป่า ๑ ล้าน ๖ แสนกว่าไร่ ได้รับงบประมาณ เพื่อดูแลเพียงไร่ละ ๘๐ สตางค์ต่อปี ข้าราชการ ๑๒ คน พิทักษ์ป่า ๓๐ คน ลูกจ้างชั่วคราว ๑๒๐ คน ต้องทำงานอย่างหนัก
     ป่าที่ต้องดูแลกว้างใหญ่ ปัญหาก็ยิ่งใหญ่และซับซ้อนตาม ซับซ้อนเสียจนกระทั่งข้าราชการเล็ก ๆ ยืนหยัดสู้กับมันไม่ได้
 คลิกดูภาพใหญ่      หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคนหนึ่งยอมพ่ายแพ้ ด้วยหวังชัยชนะในสงคราม ซึ่งรบเพื่อปกป้องชีวิตสัตว์ป่าในผืนป่าแห่งนี้
     ผ่านไป ๑๐ กว่าปี สัตว์ป่าในห้วยขาแข้งถูกฆ่าน้อยลง แต่ดูเหมือนว่า วิธีการจะเปลี่ยนไป
     วันหนึ่งในช่วงกลางฤดูฝน ผมชวนคนงานจากหน่วยเขาบันได เข้าไปสำรวจร่องรอยสมเสร็จในโป่ง ซึ่งต้องเดินจากหน่วยราว ๆ ๔ ชั่วโมง
     ริมหาดทรายลำห้วยเล็ก ๆ ผมพบรอยตีนเป็นรูปดาวสามแฉก อันเป็นรอยตีนของสมเสร็จ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกชนิดหนึ่ง ที่เหลือประชากรไม่มาก
     "ถ้าเป็นสมัยที่พวกพ่อยังล่าสัตว์อยู่ แกเห็นรอยตีนอย่างนี้ จะชวนกันกลับบ้านเลยนะนี่" ชม คนงานเขาบันได พูด
     "ทำไมล่ะ" ผมสนใจ
     "ชาวบ้านจะถือว่าไอ้เจ้าตัวนี้เป็นตัวซวย ยิ่งถ้าเห็นตัวละก็ ต้องฉีกชายผ้าขาวม้าที่คาดเอวแก้เคล็ด ไม่อย่างนั้นอาจโชคร้ายได้" ชมพูด ขณะเดินข้ามลำห้วยเข้าไปในป่าไผ่ ไก่ป่าฝูงใหญ่ และนกเขาเปล้าหลายตัวบินพรึบขึ้น ทำให้รู้ว่าโป่งอยู่บริเวณนี้
     บนพื้นเต็มไปด้วยรอยตีนกระทิงย่ำไว้อย่างสับสน นอกจากโป่งชนิดที่เรียกว่า โป่งดิน ซึ่งสัตว์ป่ามักใช้ในหน้าฝนแล้ว หน่อไม้ที่แทงหน่อพ้นดินขึ้นมาศอกหนึ่ง เหล่านี้คืออาหารชั้นดี เสียงชมผิวปากเบา ๆ แทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงนกเขาใหญ่ ผมเดินเข้าไปหา ชมนั่งชันเข่า ในมือกระชับปืนลูกซองห้านัดแน่น เขาชี้ให้ดูสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
     ห่างออกไปราว ๆ ๑๐ เมตร มีร่างใหญ่โตของกระทิงนอนตะแคงอยู่ข้าง ๆ ไผ่กอหนึ่ง ร่างกระทิง ไม่มีส่วนหัว ห่างจากร่าง ๒-๓ เมตร มีชิ้นส่วนช่วงหัวซึ่งถูกผ่าครึ่ง เลือดสีแดงเข้มไหลนอง
     เราเดินไปที่ซาก "คงสักชั่วโมงกว่า ๆ มานี่เอง ดูสิเลือดยังไม่แห้งเลย ช่วงนั้นเราคงอยู่ในหุบเลยไม่ได้ยินเสียงปืน" ชมคาดเดา
     นอกจากส่วนหัวซึ่งถูกตัด เนื้อบริเวณสะโพกก็ถูกแล่ไปส่วนหนึ่ง
     ผมเดินดูร่องรอยรอบ ๆ สังเกตเห็นรอยรองเท้าสองรอย รอยหนึ่งค่อนข้างโต ส่วนอีกรอยเล็กกว่า บริเวณรอบ ๆ ไม่มีรอยดิ้นหรือต้นไม้เล็ก ๆ หัก แสดงว่ากระทิงล้มตายอย่างฉับพลัน 
     "มันใช้ไรเฟิลยิง" ข้อสังเกตของชมเป็นความจริง เพราะหากไม่ใช่ปืนแรงสูง กระทิงน้ำหนักร่วม ๆ ตันตัวนี้คงต้องดิ้น มีรอยกระเสือกกระสนให้เห็นบ้าง
 คลิกดูภาพใหญ่      ส่วนหัวที่ถูกผ่าครึ่งเอาไปเฉพาะส่วนหน้าผากและเขา มันไม่ใช่การยิงเพื่อเอาเนื้อไปบริโภคตามวิถีชีวิตชาวบ้านรอบ ๆ ป่า แต่เป็นการฆ่าเพื่อเอาเขาไปขาย
     ผมรู้สึกได้กับความชื้นในดวงตา สบตากับชมซึ่งดวงตาแดงก่ำขบกรามแน่น
     ซากกระทิงน่าเวทนาเกินกว่าเราจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ ว่าตามจริง หากกระทิงสักตัวหนึ่งตาย มันย่อมไม่ใช่โศกนาฏกรรม สัตว์ป่าตายในป่าไม่ใช่เรื่องน่าเวทนา แท้จริงมันคือส่วนหนึ่งของขั้นตอนการถ่ายทอดพลังงาน ถ้ากระทิงตัวนี้ตายด้วยคมเขี้ยวของเสือ นั่นหมายถึงเวลาเริ่มต้นงานเลี้ยง
     ข้อเท็จจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เมื่อสัตว์ป่าถูกล่า และถูกกินโดยสัตว์ป่า การกินต่อไปเป็นทอด ๆ คือสภาวะสมดุลของระบบนิเวศ ที่มีการถ่ายทอดพลังงานเป็นขั้น ๆ เป็นการควบคุมประชากรของเหยื่อ หรือผู้บริโภคไม่ให้มีมาก หรือน้อยเกินไป วิธีการนี้จะทำให้สิ่งมีชีวิตมีโอกาสอยู่รอดมากขึ้น
     ซากสัตว์ป่าตัวหนึ่งจะเป็นที่รวมของสัตว์ป่ามากมาย ผลัดกันเข้ามาใช้ประโยชน์ กัดกินทุกชิ้นส่วน จนกระทั่งซากย่อยสลาย นี่คือกลวิธีอันแยบยลของธรรมชาติ ในการให้สิ่งมีชีวิตในระบบควบคุมกันเอง สัตว์กินพืชจำเป็นต้องถูกล่า ไม่เช่นนั้นคงขยายพันธุ์ไปอย่างไร้ขอบเขต ปริมาณเพิ่มมาก เกิดการคละเคล้ากันเอง ระหว่างตัวที่อ่อนแอกับแข็งแรง หากเป็นเช่นนี้สายพันธุ์ย่อมอ่อนแอลง พืชที่เป็นอาหาร จะถูกกินมากจนเกิดภาวะขาดแคลน เพื่อไม่ให้เกิดสภาพเช่นนี้ จึงต้องมีสัตว์ผู้ล่า
     ในบรรดาสัตว์กีบ สัตว์กินพืชที่ตกเป็นเหยื่อมีหลายสิบชนิด ตั้งแต่ขนาดใหญ่อย่างช้าง ไปจนถึงสัตว์เล็ก ๆ อย่างกระจง เมื่อมีสัตว์กันพืชต่างขนาด ต่างพฤติกรรม สัตว์ผู้ล่าจึงต้องมีต่างชนิดไปด้วย
     เสือโคร่งคือนักล่าหมายเลข ๑ สัตว์กินพืชขนาดใหญ่อย่างวัวแดง กระทิง หรือแม้แต่ช้างรุ่น ๆ ก็ตกเป็นเหยื่อของเสือโคร่ง ผู้มีทั้งทักษะและพละกำลัง
     เสือดาวขนาดย่อมกว่า ปราดเปรียวขึ้นต้นไม้เก่ง เหยื่อของเสือดาวมักเป็นสัตว์เล็กกว่า เช่น เก้ง หมูป่า ลิง ค่าง แต่ในช่วงที่เสือถูกคุกคาม จำนวนเสือไม่สมดุลกับเหยื่อขนาดใหญ่ ธรรมชาติก็มอบหมายให้นักล่าอีกกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่ นักล่ากลุ่มนี้คือหมาใน
     หมาในตัวไม่โต แต่การล่าเป็นฝูงจึงไม่ต้องใช้เทคนิคซับซ้อน ขอเพียงได้กลิ่นเหยื่อ ก็จะจัดขบวนวิ่งไล่รุมล้อม เล่นงานเหยื่อทั้งด้านหน้า ด้านหลัง กัดขา กัดสะโพก หากเหยื่อล้มลง จะกลายเป็นซากที่เหลือเพียงโครงกระดูกในเวลาไม่นาน
     นักล่าอย่างเสือเมื่อล่าเหยื่อได้ สิ่งแรกหากทำได้จะลากเหยื่อไปไว้ในที่ปลอดภัย จากนั้นก็เริ่มแทะซากโดยเริ่มที่สะโพกซึ่งมีเนื้อมาก
 คลิกดูภาพใหญ่      ผู้ใช้ซากต่อมาคือเสือดาว หรือไม่ก็หมีควาย ตามกฎของป่าว่า ผู้ใดมาก่อนได้กินก่อน ตัวซึ่งมาหลังจะอดทนรอหากว่าไม่หิวจนตาลาย เพราะการต่อสู้ และบาดเจ็บ บาดแผลจะขยายวงกว้าง แผลเน่าเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน อ่อนแอและตายไปในที่สุด 
     ต่อจากเสือและหมีควาย คือสัตว์กินเนื้อขนาดเล็กกว่า เช่น ชะมด อีเห็น เสือไฟ เสือปลา รวมทั้งบรรดาหมาในและหมาจิ้งจอก
     หมูป่าแม้ว่าจะทำหน้าที่พรวนดิน และกินพืชเป็นอาหารหลัก แต่หากพบซากก็ไม่ละเว้น
     จากนั้นเหล่าเหี้ยก็มาถึง เหี้ยตัวใหญ่อาวุโสได้กินก่อน ตัวเล็ก ๆ ต้องรอและทำหน้าที่ระวังไพรให้
     ซากจะถูกรุมกินตลอด ๒๔ ชั่วโมง จนกระทั่งเหลือแต่กองกระดูก ซึ่งตอนนี้เป็นหน้าที่ของเม่นเข้ามาแทะกิน จนกระทั่งซากสัตว์ป่าตัวหนึ่งไม่เหลือชิ้นส่วน
     ในระหว่างสัตว์กินเนื้อเข้าแทะซาก แมลงวันก็บินเข้ามาตอมวางไข่ นกกินแมลงเข้าโฉบจับแมลง เหยี่ยวหาโอกาสเข้ามาจัดการกับนกเล็ก ๆ
     เมื่อชีวิตสัตว์กินพืชตัวหนึ่งจบสิ้นลง ด้วยฝีมือและเขี้ยวเล็บของนักล่า
     มันไม่ใช่โศกนาฏกรรม

     ตลอดทางที่เดินกลับหน่วย ระหว่างผมกับชม ต่างไม่มีคำพูดอันใด ฝนตกพรำ ๆ ทำให้ป่าโดยรอบมืดครึ้ม และเงียบสงัด
     "ผมอยากตามมันเลย กลัวว่าช้าไปแล้วมันเข้าบ้าน ไม่รู้จะเข้าไปค้นอย่างไร" ชมพูดเสียงสั่น ดวงตาแข็งกร้าว คนงานป่าไม้ค่าแรงวันละร้อยกว่าบาท โกรธจนระงับไม่อยู่ แต่เขาก็ยอมในเหตุผลที่ผมบอกว่า ควรจะไปรวบรวมคนที่หน่วยก่อน เพราะรู้ว่าลำพังลูกซองห้านัดกระบอกเดียว จะเสียเปรียบนักฆ่า ที่เข้ามาฆ่าสัตว์ป่าตามใบสั่งอย่างไร
     ผมตบไหล่ชมอย่างให้กำลังใจ น้ำฝนเปียกชุ่มใบหน้า ทำให้เราไม่ต้องพะวงกับการซ่อนน้ำตา
     เสียงปืนในวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๓ ดูคล้ายกับว่าจะเงียบหายไปเนิ่นนานแล้ว แต่ "สงคราม" ยังดำเนินอยู่
     สำหรับคนงานและพิทักษ์ป่าในผืนป่าห้วยขาแข้ง กระสุนปืนนัดนั้นยังดังกึกก้องอยู่ในหัวใจ
     พวกเขาระลึกได้เสมอว่า "หัวหน้าสืบ" ยอมพ่ายแพ้
     เพื่อให้ "สงคราม" ที่พวกเขาเผชิญอยู่ ชนะ
 คลิกดูภาพใหญ่

     ตลอดสามปีขณะทำงานในป่า ภาพที่บันทึกได้ส่วนใหญ่ ผมบันทึกได้จากการเฝ้ารออยู่ในซุ้มบังไพร หรือที่เรามักเรียกจนติดปากว่า blind ซึ่งหากว่าตามจริง มันก็เป็นวิธีเดียวกับที่พราน หรือชาวบ้านใช้เวลาล่าสัตว์ 
     ในการถ่ายรูป เราเรียกว่า blind แต่ในการฆ่า ชาวบ้านเรียกซุ้ม ที่เข้าไปซ่อนตัวไม่ให้สัตว์ป่าเห็นว่า "บังไพร"
     บังไพรที่อยู่บนต้นไม้เรียกว่า "ห้าง" ซึ่งมักทำบริเวณใกล้ ๆ โป่ง หรือไม่ก็บริเวณที่เสือฆ่าเหยื่อทิ้งไว้ เช่นนี้จะต้องหาเชือก หรือเถาวัลย์ผูกขาเหยื่อไว้กับต้นไม้แน่น ๆ ไม่เช่นนั้นเจ้าของเหยื่อ อาจเข้ามาแอบลากไปไว้ที่อื่น
     ในการล่า พรานจะใช้ห้างเวลากลางคืน เพราะโดยธรรมชาติของสัตว์ป่า สัตว์ป่าส่วนใหญ่ออกหากินในเวลากลางคืน หากไม่ทำห้างบนต้นไม้ บริเวณไหนมีต้นมะกอก มะขามป้อม หรือต้นส้านสุก ผลไม้พวกนี้ เป็นที่ชื่นชอบของเก้ง และกวาง พรานจะหาทำเลใกล้ ๆ ทำซุ้ม พวกเขาจะไปตัดไม้ที่มาทำซุ้มจากที่ไกล ๆ เพราะหากตัดใกล้ ๆ สัตว์ป่าจะกระสากลิ่นได้ แต่หากจำเป็นต้องตัดใกล้ ๆ พอตัดแล้วจะต้องหาดินมาป้ายตรงแผลไม้ที่ตัดด้วย
     ลุงสังวาลย์ พิทักษ์ป่าอาวุโสผู้เคยมีอดีตเป็นพราน บอกเสมอว่า
     "เวลาทำซุ้มต้องดูให้ดีว่าลมพัดไปทางไหน เพราะจมูกสัตว์ป่ามันไว ได้กลิ่นเราง่ายมาก"
     "ต้องดูด้วยว่า ด่านหรือทางเข้า-ออกของมันอยู่ตรงไหน" 
     วิธีการที่ "พราน" ใช้ได้ผลดีเช่นกันในการถ่ายรูปสัตว์ป่า เป็นวิธีการเดียวกัน เพียงแต่ในการถ่ายรูป เราใช้กล้องแทนปืน
     ในสมัยเริ่มต้น บังไพรของผมคือซุ้มบังไพรแท้ ๆ อย่างพรานป่าใช้ หากิ่งไม้ที่มีใบโต ๆ มาบังเสริมเข้ากับพุ่มไม้  ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ส่วนหลังคาไม่มี หากฝนตกก็คลุมตัวและกล้อง ด้วยผ้าปันโจ
     การทำบังไพรอย่างง่าย ๆ คือสิ่งที่ผมคิดผิด สัตว์ป่าอาจมองไม่เห็นก็จริง แต่หลังคาที่เปิดโล่งทำให้บรรดา "ยาม" ของป่าอย่างกระรอกหรือนกมองเห็นชัดเจน พวกนี้จะร้องเตือนพรรคพวกตลอดเวลา 
     ครั้งหนึ่ง นกยูงตัวเมียเกือบสิบตัวทรุดตัวลงหมอบ และหันหลังวิ่งเข้าป่า ทั้ง ๆ ที่เดินเกือบถึงซุ้มอยู่แล้ว เพราะพวกเขาได้รับสัญญาณ จากนกจาบคาเคราสีน้ำเงินตัวหนึ่ง ที่เกาะกิ่งไม้คอยสังเกตการณ์ผมเกือบทั้งวัน
     เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเริ่มรู้จักสังคมของสัตว์ป่าบ้าง ต่อมาผมจึงพัฒนาขึ้น โดยใช้บังไพรสำเร็จรูป ที่สั่งให้ร้านขายอุปกรณ์เดินป่าแถวตลาดนัดจตุจักรตัดให้ มันเป็นซุ้มบังไพรสี่เหลี่ยมทำจากผ้าลายพราง มีช่องหน้าต่างปิด-เปิดได้ ด้านบนมีห่วงสี่มุม เวลาทำงานผมใช้ห่วงนี้คล้องหรือยึดไว้กับต้นไม้ ด้านนอกผมจะหากิ่งไม้ ใบไม้ มาทับไว้อีกชั้นหนึ่ง ด้านบนคลุมทับด้วยผ้ายางกันฝน

 คลิกดูภาพใหญ่      มันเป็นบังไพรที่มีความแนบเนียนพอสมควร สัตว์ป่าหลายชนิด แม้แต่เสือดาวเข้ามาใกล้ ๆ อย่างชนิดเอื้อมมือถึงหลายครั้ง แต่นั่นแหละ หากกระแสลมไม่เป็นใจ พัดจากด้านบังไพรไปหาโป่ง หรือด้านทิศทางที่สัตว์ป่าอยู่ ก็เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้ารออย่างเงียบเหงา เพราะสัตว์ป่าสัมผัสกลิ่นกายของผม
     หลายวิธีการที่ผมพยายามลดกลิ่นกาย ไม่ว่าจะเป็นการเอาขี้สัตว์ป่ามาโรยรอบ ๆ เอาผสมน้ำแล้วพรมรอบ ๆ ปิดช่องทุกช่อง เปิดไว้เฉพาะช่องหน้าเลนส์ หากอยู่เหนือลมเมื่อใด วิธีการพวกนี้ก็ไร้ผล จมูกสัตว์ป่าวิเศษพอที่จะแยกกลิ่นมนุษย์ ออกจากกลิ่นอื่น ๆ ได้
     ผมอยู่ในบังไพรแคบ ๆ วันละไม่ต่ำกว่า ๙-๑๐ ชั่วโมง ความคับแคบนี้ ไม่ได้ทำให้อุดอู้หรืออึดอัด เพียงแต่เกิดความรู้สึกว่า บังไพรนี้ช่างเล็กกระจ้อยยิ่งนัก เมื่อแอบซุกอยู่ท่ามกลางผืนป่าอันใหญ่โต
     ตลอดสามปีในป่าห้วยขาแข้ง ผมใช้บังไพรเป็นเครื่องมือเพื่อเฝ้าถ่ายรูปสัตว์ป่า
     บังไพรเป็นดั่งโลกแคบ ๆ
     โลกแคบที่ทำให้รู้ว่า "โลกข้างนอก" ยิ่งใหญ่เพียงไร
     นอกจากการเฝ้ารออย่างไม่แนบเนียบ กระลมลมเปลี่ยนทิศ อันทำให้สัตว์ป่ารู้ตัวแล้ว ฤดูกาลก็เป็นสิ่งสำคัญ การเฝ้ารออย่างว่างเปล่าเป็นเวลานาน ๆ ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ทำให้ผมเริ่มเรียนรู้ว่า การคิดแบบสัตว์ป่าอาจเป็นเรื่องจำเป็น ถ้าผมเป็นสัตว์ป่า หรือเป็นกระทิงสักตัวหนึ่ง ผมควรจะไปอยู่ที่ไหนเวลาใด ผมเลิกคิดเอาเองว่า ช่วงนี้ที่นี่ที่โน่นน่าจะมีความเหมาะสม ไม่ใช้การคาดการณ์แบบมนุษย์อีกต่อไป แต่เอาความรู้สึกของกระทิงมาใช้
 คลิกดูภาพใหญ่      ผมพบว่ามันได้ผล
     ผมเริ่มสังเกตร่องรอยการหากินของช้างฝูงหนึ่งตั้งแต่ฤดูร้อน ถ้าช้างหากินอยู่ไม่ไกลลำห้วย ก็จะเฝ้ารออยู่แถว ๆ นั้น เมื่อช้างมุ่งหน้าเข้าโป่ง ผมก็จะตามมาสังเกตการณ์เช่นกัน
     ช้างมีเส้นทางหากินประจำลักษณะเป็นวงรอบ ช้างตัวเมียผู้นำฝูง รู้และชำนาญเป็นอย่างยิ่งว่า ต้องไปหาอาหารจากที่ไหน เวลาใด เวลาที่ช้างไปยังที่ต่าง ๆ มักเป็นช่วงเวลาเดียวกันทุกปี
     วิธีที่ดีสำหรับกระทิงและสัตว์ป่าอื่น ๆ คือเดินหากินตามร่องรอย และเส้นทางเดียวกับช้าง ไม่เพียงแต่จะไปอยู่ในสถานที่เหมาะสม ถูกต้องตามเวลาเท่านั้น การเดินตามรอยช้างยังมีผลพลอยได้มากมาย ได้กินยอดไม้ใบไม้ที่อยู่สูง ๆ และช้างดึงลงมากองไว้แล้ว หากถึงโป่ง ช้างมักขุดเอาดินข้างล่างขึ้นมา ทำให้สัตว์ขนาดย่อมกว่ากินแร่ธาตุในดินได้ง่ายขึ้น
     การหากินเป็นวงรอบบนเส้นทางอันซ้ำซาก ทำให้ผมรู้ว่าป่าอาจดูกว้างใหญ่ไพศาล แต่คล้ายกับว่าไม่มีที่ให้สัตว์ป่าไปมากนัก
     ไม่เฉพาะสัตว์ป่า ในความเป็นจริงของคน ซึ่งเป็นช่างภาพสัตว์ป่าก็มีสภาพไม่ต่างไปจากนี้
     ในเวลาสามปี ไม่เพียงทำให้ผมได้อยู่ในความเปลี่ยนแปลงของผืนป่า จากความหนาวเย็นสู่ความแห้งแล้ง และความชุ่มชื้นไปพร้อม ๆ กับชีวิตมากมายในป่าเท่านั้น
     แต่วิถีชีวิตของสัตว์ป่าทำให้ได้เรียนรู้ว่า การปรับตัวให้เหมาะสมกับฤดูกาล เป็นเรื่องจำเป็น
     ยิ่งไปกว่านั้น หาก "ใจ" ปรับไปพร้อมกับ "กาย" ได้ เช่นนี้ ไม่ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
 คลิกดูภาพใหญ่

     เวลาสามปีกับชีวิตริมสายน้ำลำขาแข้ง
     ผมยอมรับความจริงว่า ในสังคมของสัตว์ป่า แม้ว่าจะพยายามสักเท่าใด ผมก็เป็นเพียงคนแปลกหน้า
     เวลาสามปีในป่า ผมได้หนังสือภาพสัตว์ป่ามาเล่มหนึ่ง
     ทว่าในความเป็นมนุษย์ ผมได้รับสิ่งมีค่ากว่านั้น