|
|
เรื่องและภาพ : วิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์
|
|
|
|
"ฝนในช่วงดึกตกกระหน่ำลงมาราวฟ้ารั่ว ทำให้อันตานานาริโวเมืองหลวงของมาดากัสการ์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ตานา ชุ่มโชกไปหมด
เสียงฝนกระทบกล่องกระดาษใส่ตู้เย็นที่พิงอยู่กับกำแพงสีเทาดังรัว
ราโดและโตกิเบียดตัวเข้าหากัน ตั้งใจจะหลับสักงีบ ขณะดึงกระสอบปอคลุมตัวกันหนาว
แต่ตอนนี้พื้นบ้านเล็ก ๆ
ของพวกเขาเปียกโชกไปหมด เด็กทั้งหมดต้องคลำทางไปในความมืด
จนเจอที่นั่งพักซึ่งเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่พวกเขาใช้ขวางกั้นกล่องตู้เย็น
อันเป็นบ้านหลังน้อยของพวกเขาไม่ให้ปลิวไปยามลมกรรโชกมา"
ในลิ้นชักเก็บบทความที่ประทับใจไว้ชิ้นหนึ่ง-"ชีวิตต้องสู้ของเด็กข้างถนนแห่งมาดากัสการ์"*
เนื้อความเริ่มจากเด็กสองคนหาที่ซุกหัวนอน...เด็กเร่ร่อน (ข้างต้น) ภาพประกอบแสดงให้เห็นเด็กนอนเรียงรายในอุโมงค์ดูราวกับหอพักโรงเรียนประจำ และยังบอกด้วยว่า "ขณะนี้ชาวมาลากาซีร้อยละ ๗๒ มีชีวิตอยู่ด้วยเงินต่ำกว่า ๑ ดอลลาร์ต่อวัน ทั้ง ๆ ที่ประเทศนี้อุดมไปด้วยทรัพยากรการเกษตรและแร่ธาตุ ขณะเดียวกันเกาะนี้ก็มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูงมาก"
ไม่นึกว่าวันหนึ่งจะได้มาถึงเรือนชานของราโดและโตกิ ภายใน "อุโมงค์ดำสกปรกด้วยควันจากท่อไอเสีย" ย่านอนาลาเคลี และยังได้อาศัยลำนำชีวิตของพวกเขาเป็นแรงกระตุ้นขณะท่องอยู่ในตานา... ตลอดไปจนถึงดินแดนทางใต้ อันได้ชื่อว่าเป็นสมรภูมิชีวิตที่แร้นแค้นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
แม้ว่าการยึดภาพเด็กเร่ร่อนเป็นตัวแทนมาดากัสการ์ดูจะไม่ยุติธรรมต่อประเทศนี้เอาเลยก็ตาม...
ด้วยตั๋วเครื่องบิน ๑๔ วัน กรุงเทพฯ-สิงคโปร์-อันตานานาริโว ราคา ๓๙,๕๐๐ บาท ที่เอื้อเฟื้อจากสมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับแห่งประเทศไทย ให้ไปเก็บข้อมูล "พลอย" เราได้รับโปรโมชั่นสุดคุ้ม กับการเร่ร่อนไปบนทางหลวงหมายเลข ๗ หรือ "ถนนเพชรเกษม" ของชาวมาลากาซีเกือบตลอดสาย เห็นมาดากัสการ์ในบางจังหวะ บางมุมมอง ทำให้การรับรู้ต่อประเทศนี้ขยายจากภาพถนนของเด็กเร่ร่อนออกไป
จะเป็นแง่มุมใดบ้าง...เราขอเริ่มจากซาการาฮ์เมืองไกลสุด เกือบ ๘๐๐ กิโลเมตรทางใต้ของกรุงอันตานานาริโว
|
|
|
|
ซาการาฮ์, กิโลเมตร ๗๙๐
ชายเชื้อสายไต้หวันถอนหายใจก่อนหยุดรถตรงด่านซาการาฮ์ ส่งเอกสารให้ตำรวจ เอาไปพลิก ๆ ดู พวกเขาพูดอะไรกันสักพักก็ส่งคืน --จะดูเห็นยังไงวะ....มืดออกขนาดนี้
ชายหนุ่มรีบออกรถพาเราทะยานไปข้างหน้า...ขณะดาวประกายพรึกยังไม่ราแสง
"ไอ้ห่า แม่งจะไถเงินนะสิ" เขาพูดขึ้นลอย ๆ
..............................................................
ทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทรายแถบนี้คือขอบด้านใต้ ๆ ของเทือกเขาอันเป็นดังกระดูกสันหลังของเกาะมาดากัสการ์
ติดเขตสองจังหวัด คือทูเลียร์และฟิอะนารันต์ซัว
ซึ่งถือว่ากว้างขวางเพราะเกาะใหญ่เกินประเทศไทย แต่มีเพียงหกจังหวัด หรือหกเขตการปกครองเท่านั้น
ถ้าดูกันตามแผนที่แล้วลากนิ้วต่ำลงอีกเล็กน้อย เราก็จะแตะเส้นทรอปิกออฟแคปริคอร์น-เขตอบอุ่นใต้
อันเป็นเครื่องหมายประกันว่าช่วงกลางปีเช่นนี้อากาศจะมีแต่หนาว กับหนาวขึ้น
ทางหลวงหมายเลข ๗ เป็นทางสายเดียวที่เชื่อมถึงเมืองซาการาฮ์ (Sakaraha)
มันนำเรามาถึงตอนตีสองเมื่อคืนพร้อมชาวเหมือง (พลอย) และนักศึกษาฝึกงานพื้นเมืองกลุ่มหนึ่ง ให้หลับหนึ่งตื่น แล้วก็ลากจากเตียงมาอยู่กับมันอีก
เพื่อย้อนกลับขึ้นไปเมืองอิละกากะ (Ilakaka) เนื่องจากมีการฝากฝังเราจากบริษัททำเหมืองพลอยให้ไปอยู่กับอีกบริษัทในเมืองดังกล่าว
(กิจการที่ว่าล้วนเป็นของคนไทย) เผอิญรถที่ตีลงจากตานาเมื่อวานมาถึงดึก จึงระหกระเหินมาถึงนี่
ถนนในมาดากัสการ์อยู่ในข่ายกันดาร รถโดยสารก็รักษามาตรฐานเดียวกันเหนียวแน่น
ที่คุณจะพบความสุขสบายจากการสัญจร หรือปลีกพ้นเสียงเพลงแอฟริกันกระหึ่ม...ต้องบอกว่าน้อยครั้ง แต่สำหรับเช้านี้ยกเว้น...
เรามากับรถเก๋งติดฮีตเตอร์สุขโข ถนนเปลี่ยวพาดผ่านเนินเขาทุ่งโล่ง เห็นไปไกล นาน ๆ ทีจึงมีเขาหินทรายลูกมนโผล่ขึ้นตรงตีนฟ้า
น้ำตาลของทุ่งหญ้า ส้ม-แดงของเขาหินทราย ...เราคล้ายไม่ห่างจาก "จูราสสิก" ยุคก่อเกิดของมันเท่าที่ควร
|
|
|
|
"ดูเป็นแอฟริกา" -เรารู้สึกอย่างนี้ขึ้นครั้งแรก
เปล่าหรอก...อย่าคิดไปถึงม้าลาย ช้าง ยีราฟ หรือสิงโต
ในท้องทุ่ง สัตว์ใหญ่บนเกาะ มีอย่างมากก็แค่ ฮิปโปโปเตมัส และนกช้าง (elephant bird) นกบินไม่ได้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ที่เหลือเพียงไข่ไว้ให้ดูต่างหน้า
การที่เรายึดมั่นตลอดว่า
มาดากัสการ์สังกัดทวีปแอฟริกา ตามการจัดระเบียบทางภูมิศาสตร์
บางครั้งเพียงเห็นทุ่งสะวันนาก็เชื่อมโยงไปได้ ทั้งที่จริง "ความเป็นแอฟริกา" อยู่ตรงไหนก็ไม่ชัด ขณะเดียวกันยังมีคำยืนยันหนักแน่นว่า
ตัวตนของมาดากัสการ์แปลกแยกแทบจะสิ้นเชิงจากแผ่นดินอื่นบนพื้นพิภพ
ตอนออกมาได้ไม่ไกลเราเห็นต้นเบาบับ (baobab) ผอม ๆ สามสี่ต้นอยู่ริมทาง
ในโลกมีเบาบับอยู่แปดเก้าชนิดด้วยกัน อยู่ในมาดากัสการ์เสียเจ็ดชนิด ที่เหลืออยู่ในทวีปแอฟริกาและออสเตรเลีย
บางคนตั้งฉายาให้มันว่า upside down tree - ต้นไม้กลับหัว หรือ "ต้นไม้ปิศาจ" ตามตำนานว่า
ยักษ์ตนหนึ่งถอนต้นเบาบับขึ้นจากพื้นดินด้วยความโกรธ แล้วปักลงไปใหม่โดยเอายอดเสียบลงแทน
บ้างก็ว่าตอนพระเจ้าสร้างโลกนั้นได้ปลูกต้นเบาบับผิดด้าน เป็นผลให้ส่วนบนดูคล้ายรากเอาจริง ๆ
นอกจากลักษณะดังกล่าวแล้ว ลำต้นของเบาบับทุกพันธุ์ยังอวบเหมือนขวดนม มีประโยชน์ในการตุนน้ำไว้ใช้ยามฤดูแล้ง โดยเฉพาะพันธุ์ที่เคยเราเคยเห็นแถวเมืองบรูม ทางเหนือของออสเตรเลีย ลำต้นอวบอ้วน เตี้ย ทั้งดู "เซอร์" กว่านี้
ชาวพื้นเมืองใช้ประโยชน์จากใบ ดอก ผล และเปลือกของเบาบับในหลายทาง สำหรับนักท่องเที่ยวมันคือหนึ่งในหลาย "ของแปลก" ตระกูลมาดากัสการ์ที่พวกเขาชักดิ้นชักงอขอไปชม
ซึ่งถนนเส้นหนึ่งที่ผ่ากลางดงเบาบับยักษ์ ใกล้เมืองมูรุนดาฟ ทางตะวันตกของประเทศยืนยันได้
..............................................
เงาของต้นไม้ปิศาจตัดกับท้องฟ้าเรื่อเรือง ชวนให้อยากขอหยุดรถถ่ายรูปดินแดนอันกันดาร หนาวเหน็บ และลึกลับในความรู้สึกเก็บไว้ระลึก
พูดก็พูดเถอะ... มันลึกลับขนาดว่าพ่อค้าพลอยเชื้อสายไทย-ไต้หวัน
ที่เราอาศัยรถมาอิละกากะ - -พูดคุยกันสองสามประโยค
ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน
|
|
|
|
อิละกากะ, กิโลเมตร ๗๐๓
ตอนรถผ่านเนินสุดท้ายทางใต้ของเมือง เราเกือบอุทานว่า "รอดตาย"
เมื่อแลเห็นอิละกากะกำลังตื่นขึ้นกลางแสงงาม ป้ายข้างทางซ้ายมือมีตัวหนังสือ "Alex sapphire"
กับรูปพลอยเม็ดเท่าไหเปล่งรัศมีแข่งดวงตะวัน
เมืองเล็ก ๆ กลางแอ่งที่สวยงามอาจหาได้ไม่ยาก แต่เมืองกลางแอ่งที่โอบล้อมด้วยหมู่ปาล์ม
ภูหิน ซึ่งมาพบขณะเพิ่งผ่านสถานการณ์เลวร้าย ขาตั้งกล้องหักและเข้าเฝือกเอาไว้ตั้งแต่วันมาถึง (เพราะใส่ท้องเรือบินมา) เช่นนี้หาไม่ได้อีกแล้ว
อิละกากะเป็นหมู่บ้านรอยต่อจังหวัดฟิอะนารันต์ซัว-ทูเลียร์
ที่ไม่เคยมีใครเคยรู้จักหัวนอนปลายตีนมาก่อน ทำนา เพาะปลูกอะไรไม่ได้เลย จนปี ๑๙๙๙ พบแหล่งพลอย คนก็หลั่งไหลมาแสวงโชค
รวมกับที่มาทำธุรกิจอื่น ๆ ข้างเคียง อิละกากะก็กลายเป็นชุมชนใหญ่ มีโรงแรม ตลาด ปั๊มน้ำมัน กระทั่งบ่อนกาสิโนและซ่อง
มีอาชีพเกิดใหม่--ลูกจ้างซักรีด บอดี้การ์ด และนักต้มตุ๋น รถเรโนลต์กัตร์ 4 GTL ซีตรองส์ เดอซ์เชอโวของชาวพื้นเมือง
และรถขับเคลื่อนสี่ล้อของพ่อค้าวาณิชต่างชาติเกลื่อนเมือง ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งเป็นของคนไทย
จากหมู่บ้านพื้นเมืองที่ไม่มีในแผนที่ ถึงวันนี้ชื่อ อิละกากะ
ปรากฏในแผนที่สมัยใหม่อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากเป็นหมู่บ้าน "อินเตอร์" ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการท่องเที่ยว
ยังน่าสังเกตอีกอย่าง ธรรมดาหมู่บ้านที่เกิดจากภาวะพลอยบูมจะไม่จีรังยั่งยืน พอพลอยหมดก็เคลื่อนย้ายไปที่อื่น
แต่อิละกากะหลุดจากวงจรดังกล่าว นั่นจึงเป็นเครื่องชี้วัดถึงปริมาณทรัพย์ในดินรอบ ๆ อิละกากะอย่างดี
ตลาดพลอยอบาลาซ ข้าง ๆ อิละกากะมีเงินหมุนเวียนวันละเป็นพัน ๆ ล้านฟรังก์มาลากาซี (FMg)
ทว่าคนขุดพลอยพื้นเมืองก็ยังเป็นกลุ่มคนยากจนติดดินที่สุดกลุ่มหนึ่งของมาดากัสการ์อยู่ดี ดังนั้นรอบ ๆ ตลาดพลอยเราจึงหาเพื่อน ๆ
ของราโด โตกิได้ไม่ยาก อย่างเด็กชายทาโร่ เจ้าของกิจการถั่วคั่วที่คนจกกินฟรีมากกว่าซื้อ นักตีวงล้อสามสี่คน
หรือเด็กผู้หญิงที่วิ่งตามดูโดยมีน้องชายมัดติดข้างหลัง
"เด็กข้างถนนมีชีวิตที่ลำเค็ญแสนเข็ญทั้งในยามตื่นและหลับ
ทว่าพวกเขาก็ยังเป็นเด็กที่มีความหวาดหวั่น ความหฤหรรษ์และความเบิกบานเยี่ยงเด็กทั่วไป" อเดลสัน ราซาฟี บอกไว้
เด็ก ๆ ลูกของนักขุดพลอยที่ปลูกเพิงรอบ ๆ อบาลาซ จะว่าไม่เร่ร่อนก็ก้ำกึ่งเต็มที
............................................
|
|
|
|
เราคงไม่เน้นเรื่องพลอยมาก
เพราะจะซ้ำกับอีกเรื่องที่ตีพิมพ์ในฉบับ ติดใจก็แต่ที่พี่ ๆ คนจันทบุรีบอกว่า "ที่นี่ไม่มีอะไร" --
ก็ในไกด์บุ๊กบอกอยู่ว่า ฝั่งถนนตรงข้ามบ้านติดเขต "อุทยานแห่งชาติอิซาโล" เราเถียงในใจ
ดังนั้นพอคุ้นกับพ่อค้าพลอยเมืองจันท์กลุ่มเวิลด์แซปไฟร์
เราก็แจ้งความประสงค์ว่าหลังจากเก็บข้อมูลเสร็จ
จะขอไปค้างแรมในอิซาโลสักสองคืน คราวนี้พวกพี่ ๆ ไม่เห็นด้วยขึ้นมาบ้าง เพราะกลัวไม่ปลอดภัย
เลยรู้ว่าที่บอก "ไม่มีอะไร (ให้เที่ยว)" มันคงต้อง "มีอะไร" อยู่ไม่มากก็น้อย
วันเวลาในอิละกากะของเราจึงหมุนวนไปกับตลาดพลอยอบาลาซในช่วงเช้า
พอสายตลาดวายก็มีเด็กขับโตโยต้า แลนครุยเซอร์ พาตระเวนอิซาโลพร้อมกับผู้ติดตามสองสามคน
กระทั่งไปบรรจบโมงยามสุดท้ายของดวงอาทิตย์นั่นละถึงกลับ
ปรกตินักท่องเที่ยวที่มาอิซาโล ต้องเริ่มที่เมืองรานูฮิรา (Ranohira) ๒๐ กิโลเมตร
เหนืออิละกากะ เพื่อติดต่อ "อังกาป" (Angap) -เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ตามคำย่อฝรั่งเศส หาที่พัก อาหาร และไกด์นำทาง
โดยมีข้อแนะนำว่าการเที่ยวพื้นที่อนุรักษ์ในมาดากัสการ์ควรใช้ไกด์ที่ทางการจัดไว้ให้เท่านั้น
นักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ ๕ หมื่น FMg (ประมาณ ๓๕๐ บาท) ต่อครั้ง
ถ้าจะเอาแบบเหมาโหลถูกกว่า ก็มีบัตรชุดสามารถผ่านเข้าทุกอุทยานฯ ว่ากันว่า รัฐบาลเรียกเก็บเงินค่าเข้าแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติแพง
เพื่อจะนำเม็ดเงินไปใช้อนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าธรรมชาติ ซึ่งถูกทำลายไปเกือบหมดเกาะก่อนหน้านี้นานแล้ว
วันแรกเด็ก ๆ นำโดย "ตูตู้" พาเราไปโรงแรม Le Relais de la Reine
ที่ตกแต่งภูมิทัศน์และห้องพักดรามาติกกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมแบบหิน ๆ เวลานึกครึ้มนักล่าพลอยชาวไทยจึงชวนกันไป "โรงแรมหิน"
หาอะไรเย็น ๆ กิน บางคนบอกว่าเคยมาให้อาหารเหยี่ยว ซึ่งจะคอยบินวนรอเศษเนื้อจากนักท่องเที่ยวมากมาย
นอกจากนี้รอบ ๆ บริเวณยังมีพรรณไม้และสัตว์นานาให้ชม ล้วนแต่เป็นพันธุ์เฉพาะถิ่นของเกาะ
อย่างเช่น แย้ เต่าแสงอาทิตย์ เต่าบก ๑ ใน ๔ ชนิดที่พบเฉพาะบนเกาะมาดากัสการ์
พวกเด็ก ๆ พาเรามาชิมลางที่นี่คงด้วยคิดว่าน่าจะเหมาะสำหรับผู้มาใหม่
|
|
|
|
อุทยานแห่งชาติอิซาโล กิโลเมตร ๖๘๐-๖๙๖
"ซา-วัด-ดี-ค้าบ"
ไอ้ตูตู้พูดไทยแปร่ง ๆ ยิ้มตาโตเมื่อขับรถผ่าน "เจ้าพ่ออิซาโล" ริมทางก่อนถึงอิละกากะ ๙ กิโลเมตร
La Reine de I'Isalo ไม่ว่าจะหมายถึง ราชินีหรือราชาแห่งอิซาโล แท่งหินทรายสูงท่วมหัวสี่ห้าเท่าแห่งนี้ถูกลม
และน้ำช่วยกันสลักจนรูปทรงคล้ายคนพนมมือ แลเห็นแต่ไกล คนค้าพลอยจากโพ้นทะเลผ่านไปผ่านมาก็ถือเอาว่าเป็นมงคล
ซึ่งเผอิญสอดคล้องกับความเชื่อของคนท้องถิ่นเผ่าบาระ (Bara) ที่ว่าเป็นทวารบาลเฝ้าอิซาโล
และไม่เพียงเท่านั้น ชาวเผ่าถือว่าอิซาโลเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยใช้ถ้ำเป็นที่ฝังศพ พวกเขาจึงมีชื่อเรียก เรื่องเล่า
ตลอดจนข้อห้ามตามความเชื่อ (taboo) มากมายเกี่ยวกับภูหินแถบนี้
ตูตู้ บาลัด และเด็ก ๆ ตลาดพลอยส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นมาจากเผ่าทางใต้สุด
เรื่องประเพณี-ความเชื่ออาจแตกต่างกันบ้าง แต่ก็ไม่ยากที่จะทำตัวกลมกลืน
บ่ายนี้เขากับพรรคพวกพาเราเดินลดเลี้ยวไปตามแคนยอนที่สวยงาม แล้วแวะที่โอเอซิส "L'Oasis"
บ่อน้ำธรรมชาติและจุดกางเต็นท์ที่สำคัญ หลังจากนั้นจึงฝ่าทุ่งหญ้าเข้าไปถึง La Fenetre de I'Isalo
เขาหินทรายที่มีไลเคนสีส้มและเขียวปกคลุมกว้างขวาง เท่านั้นก็ทำให้รู้สึกสนุกมากแล้ว พอถ่ายไลเคนเสร็จ ตะวันใกล้ตก
หันมองย้อนกลับไปเบื้องล่าง ธรรมชาติยังมีภาพของทุ่งถูกฉาบแสงเหลืองอร่ามไกลสุดตามามอบให้ ทั่วเนินทุ่งมีรอยเข้มยิบ ๆ
ของต้นปาล์มแต่งแต้มเป็นจังหวะ ให้ความรู้สึกทั้งปลอดโปร่ง...ทั้งเร้าใจ
มันคือ ปาล์ม Satrana (Hyphaena coriacea) ไม้ยืนต้นชนิดเด่นของอิซาโล
ผู้เปรียบเสมือนตัวแทนนักรบในกองทัพที่มีชัยเหนือสงครามความแห้งแล้งที่หลงเหลืออยู่
แม้เรากับธรรมชาติป่าเขาจะไม่ได้รักกันลึกซึ้ง แต่ก็ไปกันได้ไม่ขัดเขิน
เราค้นจนพบว่าบนเกาะมาดากัสการ์มีสภาพป่าสามกลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ ป่าดงดิบ (subtropical rainforest) ป่าผลัดใบ และป่าหนาม
แต่ละกลุ่มยังแบ่งยิบย่อยอีก อย่างป่าดิบเขา ป่าชายเลน ทุ่งหญ้าสะวันนา หรือทะเลทราย ดังนั้นพืชพรรณ สัตว์ป่า ตลอดจนนกบนเกาะ
จึงมีความหลากหลายด้านชนิดพันธุ์และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงมาก จนเรียกว่าเป็นศูนย์รวมพืชพรรณ-สัตว์เฉพาะถิ่น (endimic species) ก็ได้
จึงเป็นเหตุผลอันสมควรให้คนรักธรรมชาติฝันจะมาเยือนมาดากัสการ์สักครั้งในชีวิต
อิซาโลเป็นผืนป่าอนุรักษ์ที่โดดเด่นแห่งหนึ่งของมาดากัสการ์
ค่าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทุ่งหญ้าสะวันนาผสมป่าดิบแล้ง มีภูเขาหินทรายยุคจูแรสสิก (๑๔๐ ล้านปี)
ที่ถูกกัดกร่อนตามธรรมชาติในลักษณะแคนยอนกระจายทั่วบริเวณ ขณะที่ป่าอนุรักษ์ส่วนใหญ่ของเกาะเป็นป่าดิบชื้น
ที่ตั้งของอิซาโลอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ๕๐๐-๑๓๐๐ เมตร เดือนมกราคมซึ่งฝนชุกที่สุด ปริมาณฝนก็ยังเฉลี่ยอยู่ที่ ๗๐-๘๐ มิลลิเมตร
ทำให้ไม้ยืนต้นชนิดเด่นของอุทยานฯ มีแต่ไม้สกุลปาล์ม เช่น Hyphaena coriacea, Cyathea isaloensis และเครือญาติของมันในสกุล
Pandanus เช่น Pandanus ambogensis ที่ชอบขึ้นริมน้ำ คนชอบทุ่งต้นตาลแถวปทุมธานีหรือเพชรบุรี ได้มายืนในหุบยามเช้า มองต้น
Pandanas เป็นแนวริมลำน้ำที่มีสายหมอกปกคลุมจะต้องนึกรักเช่นกัน
|
|
|
|
อันที่จริง ปาล์มอิซาโลเป็นส่วนเพียงน้อยนิดเท่านั้นสำหรับอาณาจักรปาล์มมาดากัสการ์
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวนสวรรค์ของปาล์ม เปรียบเทียบกันอย่างไม่ต้องถ่อมตัว มาดากัสการ์ที่เดียวมีปาล์มมากกว่า ๑๗๐ ชนิด โดยร้อยละ ๙๗
เป็นไม้เฉพาะถิ่น ขณะทวีปแอฟริกาทั้งทวีปมีปาล์มอยู่ราว ๕๐ ชนิด
แม้จะเป็นเขตแห้งแล้ง แต่อิซาโลก็มี "ลีเมอร์" อาศัยอยู่เช่นเดียวกับป่าหรือพื้นที่อนุรักษ์อื่น ๆ
แถมมีอยู่ถึงหกชนิด รวมทั้งลีเมอร์แคระและ Verreaux's sifaka ที่หาดูยาก ตูตู้บอกว่า หากอยากจะเพิ่มโอกาสในการเห็นลีเมอร์ในธรรมชาติ
ควรไป Canyon des Singes เดินจากรานูฮิราประมาณ ๒ ชั่วโมง เพราะ singes คำหลังหมายถึง "ลิง"
เราก็เห็นลีเมอร์ฝูงหนึ่ง !? แม้จะเป็นลีเมอร์หางปล้อง (Ring-tailed Lemur) ระดับตัวประกอบ
แต่ลีเมอร์ไม่ว่าชนิดใดในจำนวน ๓๓ ชนิดที่เหลือบนเกาะล้วนอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ ไม่ใช่จะพบเห็นง่าย ๆ
ลีเมอร์ส่วนใหญ่เป็นสัตว์เชื่อง ไม่กลัวคน ทว่านิสัยชอบซุกซน ชนิดที่คุณเห็นแล้วต้องเอ็นดู
เวลาอยู่บนพื้นปรกติมันอาจจะคลานสี่ตีน แต่ยามยืนสองตีนหรือนั่ง มันก็ใช้ "มือ" สองข้างได้อย่างอิสระเหมือนลิงทั่วไป
หน้าของลีเมอร์อาจยื่นเหมือนแร็กคูนไปนิด หางอาจยาวไปหน่อย แต่จุดสำคัญ ดวงตากลมโตทั้งสองวางอยู่ด้านหน้าของหัว
ช่วยให้มองเห็นภาพเป็นสามมิติ เป็นตัวตัดสินสุดท้ายให้นักวิทยาศาสตร์จัดลีเมอร์ไว้ในอันดับไพรเมต (Order primate-สัตว์ตระกูลลิง)
เช่นเดียวกับมนุษย์
และถ้าจำไม่ผิด เจ้าลีเมอร์นี่ละที่เป็นตัวแทนของวานรโบราณ
รูปร่างหน้าตาวิวัฒน์แตกต่างไปจากบรรพบุรุษไพรเมตยุคเมื่อ ๖๐-๕๕ ล้านปีก่อนน้อยที่สุดในบรรดาไพรเมตด้วยกัน
ดังนั้น เทียบบัญญัติไตรยางค์ทางชีวภาพกลับไปง่าย ๆ ก็สามารถสรุปว่า กาลครั้งหนึ่งบรรพบุรุษร่วมของมนุษย์มีหน้าตาอย่างลีเมอร์นี่เอง !
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลด้านวิวัฒนาการของสัตว์โลกยังมี "ชิ้นส่วนที่ขาดหาย" อีกมาก
ประวัติวิวัฒนาการมนุษย์รวมทั้งลีเมอร์จึงยังเป็นปริศนาข้อใหญ่ของวงการ
ด้วยข้อมูลทางธรณีวิทยาบอกว่าเกาะมาดากัสการ์แยกตัวออกจากทวีปแอฟริกาเด็ดขาดเป็นระยะทาง ๔๐๐ กิโลเมตร
ตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ ไม่น้อยกว่า ๑๖๐ ล้านปีก่อน (อ่านได้จากล้อมกรอบ) ซึ่งเนิ่นนานเกินตัวเลข ๖๐ ล้านปี
ที่บรรพบุรุษของไพรเมตวิวัฒนาการขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกไปมาก
|
|
|
|
คำถามสำคัญก็คือ แล้วบรรพบุรุษต้นตระกูลลีเมอร์ไปปรากฏบนเกาะนี้ได้อย่างไร
(ตั้งร้อยล้านปีก่อนจะเกิดไพรเมต) และมีอยู่เฉพาะมาดากัสการ์กับหมู่เกาะโคโมโรส์ ใกล้ ๆ กันเท่านั้น จะหาที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว -ว่ายน้ำข้ามไป ?
เกาะกอไม้ข้ามไป ? คงยากเพราะเจ้าลีเมอร์กลัวน้ำอย่างวายร้าย
ระยะหลัง ๆ นักวิทยาศาสตร์จึงเอนเอียงไปทางทฤษฎี "มีอยู่แล้ว"
เชื่อว่ามีบรรพบุรุษร่วมของไพรเมตอยู่แล้วทั้งในมาดากัสการ์และภาคพื้นทวีปแอฟริกา (ซึ่งเดิมส่วนหนึ่งของทวีปอเมริกาใต้ติดอยู่ด้วย)
เราเดาว่าหน้าตาคงประมาณกระรอกผสมลิงลม จนกระทั่ง "เกาะ" แต่ละส่วนแยกตัวออก
บรรพบุรุษร่วมแต่ละสาย
ต่างก็วิวัฒนาการไปเฉพาะตัวอย่างน่าทึ่ง สายแอฟริกา-อเมริกาใต้
ก็ไปผลิตลูกหลานซึ่งเป็นบรรพบุรุษของลิงทั้งมีหางและไร้หางในแอฟริกา อเมริกาใต้ รวมทั้งเอเชีย
ส่วนสายมาดากัสการ์
ก็ไปมีลูกหลานซึ่งวิวัฒนาการต่อมา
เป็นบรรพบุรุษของลิงมีหางชื่อ ลีเมอร์ ทุกวันนี้ และโชคดีสองต่อ เมื่อสัตว์ผู้ล่าตัวสำคัญ ๆ ของมันไม่ได้ตามมาอยู่ด้วย
นอกเสียจากตัวฟูซา (fossa) หน้าชะมดเท่านั้นเป็นศัตรูในธรรมชาติของลีเมอร์ขนาดเล็ก
ถ้าข้อเสนอนี้เป็นจริงก็นับเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
ค่าที่ว่าลีเมอร์หนู ซึ่งเป็นลีเมอร์ขนาดเล็กที่สุดมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับทาร์เซียร์ หรือลิงชนิดหนึ่งในหมู่เกาะแถบอินโดนีเซียเหลือเกิน
อย่างไรก็ดี แม้ธรรมชาติจะเก่งกาจสร้างลีเมอร์ได้หลากหลายกว่า ๕๐ ชนิดพันธุ์
ขนาดเท่าหนูไปจนถึงลิงอุรังอุตัง บางชนิดออกหากินกลางวัน บางชนิดออกหากินกลางคืน
แต่สภาพแวดล้อมของเกาะก็จำกัดพวกมันให้หยุดวิวัฒนาการไว้เพียงแค่นั้น
คิดแบบ "นิเวศวิทยาตื่นตระหนก" เราอาจมองเห็นในมุมกลับว่า สภาพแวดล้อมบนเกาะมาดากัสการ์
มีความสมบูรณ์พร้อมสำหรับลีเมอร์เป็นที่สุดแล้ว ไม่สมควรที่จะมีมนุษย์จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย
ฟิอะนารันต์ซัว-อิละกากะ-ซาการาฮ์ เราไม่แปลกใจเลยว่า
ทางสายนี้จะกลายเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่สำคัญในอนาคต ขณะอีกใจก็นึกกลัว... มันเริ่มก่อตัวจากวันที่เราพลาดจากลีเมอร์ในอุทยานฯ
แต่กลับเห็นลีเมอร์หางปล้องเป็นฝูงรอบกรงหลังบ้านคนกลุ่มหนึ่ง "คนขุดพลอยจน ๆ จับมาขาย" --เขาบอก และไม่ใช่ว่ามีรายเดียว...
ลีเมอร์ชนิดเดียว
นี่ขนาดคนค้าพลอยผู้เห็นว่า "ที่นี่ไม่มีอะไร"
|
|
|
|
อิฮูสซ์, กิโลเมตร ๖๑๐
ชื่อเมือง Ihosy ถูกออกเสียง--อิห์อูสซ์ หรือ อิฮูสซ์ อย่างไม่อาจคาดเดา
นั่นเพราะชื่อพื้นเมืองในภาษาอังกฤษไม่ได้ออกเสียงตรงตัว ส่วนใหญ่เสียงพยางค์สุดท้ายที่ลงด้วย ha, ra, va, bo, vo
จะลดลงจนแทบไม่ออกเสียง แม้แต่คำว่า "Malagasy" ก็ออกเสียงเพียง "มาลากัซย์" บางเมืองก็เรียกเป็นภาษาฝรั่งเศส
กว่าจะหาเจอในแผนที่ต้องงมอยู่นาน
ขามาหลังขดหลังแข็งจากตานา-อิฮูสซ์ ถึง ๑๖ ชั่วโมง แต่ขากลับเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นวันใหม่
(ด้วยรถคันสบายของไอ้ตูตู้) กลับพบว่าเส้นทางช่วงนี้น่าหลงใหลไม่แพ้จากซาการาฮ์-อิละกากะ ต่างจากอิละกากะตรงอิฮูสซ์เป็นชุมชนเก่าแก่ของเผ่าบาระ
รอบ ๆ ทำนาข้าว ไร่ซิซาล วนิลา และเลี้ยงวัว บาระเป็นชนพื้นเมืองหนึ่งในบรรดาชาวเผ่า ๑๘ เผ่า ที่รวมตัวกันเป็นชาว "มาลากาซี"
หรือคนมาดากัสการ์ (ตามความเข้าใจของ ตูตู้ ความหมายของ "มาดากัสการ์" น่าจะหมายถึง ชาวมาลากาซีหลายเผ่าพันธุ์)
โดยชาวเผ่าเมรินาเป็นเผ่าใหญ่ที่สุด อาศัยอยู่ในเมืองหลวงและรอบ ๆ
ประชากรในประเทศที่มีอยู่ราว ๑๕
ล้านคน
สืบทอดเชื้อสายมาจากชาวแอฟริกัน
ผสมมาลาโย-โพลินีเซียน ซึ่งพวกหลังเป็นชาวเกาะแถบอินโดนีเซีย มาเลเซีย (ปัจจุบัน) ที่แล่นเรือเข้ามาฝังรกรากในยุคที่อาณาจักรศรีวิชัยเรืองอำนาจ
และมีอิทธิพลทางการค้าในมหาสมุทรอินเดียประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว และชาวบาระนี่เอง ถือว่ามีลักษณะใกล้เคียงคนแอฟริกันทางด้านกายภาพ
มากกว่าเผ่าพันธุ์อื่น
ทางวัฒนธรรม ชาวบาระก็เหมือนคนพื้นเมืองส่วนใหญ่
ทำการเกษตรคล้ายชาวเกาะทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความเชื่อถือผีบรรพบุรุษ "razana"
รวมทั้งระบบอันซับซ้อนของ "fady" หรือข้อ (ห้าม) ปฏิบัติตน ตามภาษาอังกฤษว่า taboo ทว่าผู้ชายเผ่านี้สามารถมีเมียได้หลายคน
นอกจากนี้ยังได้ยินว่ามีประเพณีโดดเด่นเกี่ยวกับการ "ขโมยวัว" นั่นคือ หนุ่ม ๆ บาระที่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองด้วยการขโมยวัว
มักกลายเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ยิ่งขโมยแล้วถูกจับขังคุกยิ่งถือว่าเท่และน่าดึงดูดมาก เรื่องนี้ไม่ขอยืนยัน เพราะทางใต้ของไทยสมัยก่อน
เวลาจะขอไปลูกสาวใคร ว่าที่พ่อตามักถามว่า ลักวัวกับรำโนราห์เป็นไหม ถ้าเป็นก็มีสิทธิ์ เพราะถือว่า "ใจนักเลง" "เพื่อนฝูงมาก"
สามารถดูแลครอบครัวได้ (ไม่ได้หมายว่าจะให้ขโมยจริง) แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาก็ไม่แปลก
สิ่งเหล่านี้โดยตัวมันเองเป็นสัญญาณเตือนมายังคนไกลอยู่แล้ว ว่าจะให้เลิก "ประเพณี" ตีไก่ หรือตีช่างกลอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องหมู ๆ
วัวเป็นสัญลักษณ์ทางอำนาจของชาวนาทางใต้ พอหัวหน้าครอบครัวตายก็จะล้มวัวกันอย่างเอิกเกริก
เพราะถือว่าจำนวนหัววัวที่ประดับบนหลุงฝังศพเป็นเครื่องแสดงสถานภาพของผู้ตาย มาในระยะ ๑๕ มานี้ จำนวนวัวลดลง
ประเพณีดังกล่าวจึงดำรงอยู่บนความขัดแย้ง และแรงกดดันทางธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้น
ระหว่างทางก่อนเข้าเมืองอิฮูสซ์ เราแวะถ่ายรูปดวงจันทร์กำลังลับเขาหลังกระท่อมชาวนา -
คิดเอาว่านี่คงเป็นจุดเปลี่ยนผ่านจากสังคมนักล่าพลอยไปสู่สังคมชาวนาที่ซับซ้อนขึ้น
|
|
|
|
อัมบูชิตรา, กิโลเมตร ๒๔๙
หลับ ๆ ตื่น ๆ ชั่วโมงเศษจากอิฮูสซ์ ตาสว่างเพราะภูเขาหินล้วนลูกใหญ่มาอยู่ใกล้ ๆ
สัณฐานคล้ายโขดหินยักษ์อุลูรู ในออสเตรเลีย เขาลูกนี้ไปโชว์บนโปสการ์ดบ้าง บางทีก็มีชาวพื้นเมืองห่มผ้าลายถือหอกยืนข้างหน้า
จากภาคใต้เราหลุดเข้าภาคกลางตั้งแต่เข้าเขตฟิอะนารันต์ซัว เราจดลงสมุดบันทึกว่า
"อันคารานานาแถบนี้เริ่มเห็นทางน้ำจากภูเขา ประมาณกิโลเมตร ๕๑๕ จุดสิ้นสุดนาขั้นบันไดซึ่งมีต่อเนื่องลงมาตั้งแต่พ้นจากตานา"
ทางช่วงนี้วกวนผ่านภูเขาไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด
ทางน้ำจากภูเขา นาขั้นบันได อากาศที่เย็นฉ่ำเผยตัวตนของดินแดนที่ราบสูงภาคกลาง
ในอดีต พื้นที่บริเวณนี้-จากถนนหมายเลข ๗
ไปจรดที่ราบทางชายฝั่งตะวันออก
เคยปกคลุมด้วยป่าดิบเป็นแนวยาวหลายร้อยกิโลเมตร บัดนี้เหลือผืนป่าอยู่ในอุทยานแห่งชาติเพียงสองแห่ง คือ รานูมาฟอนและอันด์ริงกิตราเท่านั้น
เมืองอัมบูชิตรา (Ambositra) และอันต์ชิราเบ (Antsirabe)
ตั้งอยู่กลางที่ราบสูงหนึ่งในสองแห่งของเกาะ ด้วยความสูง ๑๕๐๐-๒๐๐๐ เมตร อากาศจึงหนาวเย็นที่สุด
เหมาะจะเป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศ (ของชนชั้นกลางอย่างเรา ๆ) ถนนพาเราผ่านแหล่งไวน์มีชื่อ ไร่กาแฟ
และกลุ่มชาวบ้านที่กำลังตีต้นป่านซิซาลเอามาฟั่นเชือก
ขณะหยุดรถถ่ายรูปคนทำป่านขาย และเพื่อให้เพื่อนของเราคนหนึ่งสร่างจากอาการเมารถ
รถคณะนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสผ่านมาแวะลงดูผลิตภัณฑ์ชุมชนถึงสองคณะ ก่อนหน้านี้ก็เคยพบนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่อุทยานฯ อิซาโล
กับคำบอกเล่าจากเจ้าของโรงแรมว่านักท่องเที่ยวจะมาอีกมากช่วงเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่ภาคใต้
ครั้งหนึ่ง ช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๙ ถึงต้นศตวรรษที่ ๒๐ มาดากัสการ์เคยเป็นรัฐภายใต้อาณานิคมปกครองของฝรั่งเศส
เราไม่รู้รายละเอียดเรื่องการจัดการทรัพยากรของประเทศนี้ของฝรั่งเศส
ระหว่างการเดินทางเราสังเกตเห็นว่า ทางหมายเลข ๗ สายนี้เต็มไปด้วยสะพาน
ลักษณะของราวสะพานคล้ายกับในชนบทของฝรั่งเศสที่เคยเห็นในหนัง
เคยถามคนค้าพลอยว่า ถ้าฝรั่งเศสตัดถนนลงไปจนสุดประเทศตั้งแต่ ๑๐๐ กว่าปีที่แล้ว
ทำไมพลอยจึงยังไม่หมดประเทศ
เขาตอบว่า "ฝรั่งเศสไม่สนใจหรอกพลอย เขาตัดถนนไปสำรวจแร่ยูเรเนียม"BR>
บทพิสูจน์อำนาจของผู้ชายพวกนี้ไม่ใช่หยุดอยู่เพียงแค่การขโมยวัวจริง ๆ
|
|
|
|
หลังสิ้นสุดยุคล่าอาณานิคม มาดากัสการ์ได้รับเอกราชในปี ค.ศ. ๑๙๖๐
จากนั้นระหว่างปี ๑๙๗๒-๑๙๙๒ ประเทศก็เข้าสู่ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์
ปัญหาการเมืองและคอร์รัปชันอย่างรุนแรงทำให้ประชากรส่วนใหญ่ยากจน ถึงยากจนที่สุด พื้นที่ป่าไม้ที่เหลือน้อยอยู่แล้วจากการทำลายช่วงตลอด ๑,๕๐๐ ปี
หลังจากมนุษย์กลุ่มแรกเข้ามาตั้งถิ่นฐานบนเกาะก็ยิ่งถูกทำลาย หรือถูกแผ้วถางและเผาซ้ำ
ด้วยวิธีการซึ่งสืบทอดมาจากระบบการเกษตรที่สูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรียกว่า tavy นี้
ชาวไร่ชาวนามาลากาซีเชื่อว่าจะทำให้เกิดปุ๋ยในดิน และมีหญ้าพอสำหรับวัว พอดินเสื่อมสภาพก็บุกรุกป่าต่อ หลังจากนั้น ๑๐-๒๐
อาจเวียนกลับมาเพาะปลูกบนที่ผืนเดิมอีก อันที่จริง การทำไร่หมุนเวียนไม่ได้มีส่วนในการทำลายป่าอย่างเด่นชัดตราบเท่าที่คนยังน้อย
ผืนนายังเป็นแปลงเล็ก ๆ และพื้นที่ถูกทิ้งไว้ยาวนานพอให้ป่าฟื้นสภาพตัวเอง ทว่าพอคนหนาแน่น การตัดและเผาทำกันอย่างกว้างขวาง
ป่าเองก็ไม่เหลือแม่ไม้ หรือเมล็ดพันธุ์หลงเหลือสำหรับฟื้นสภาพตัวเองอีกเลย
บางคนคาดประมาณว่าทุกวันนี้ พื้นที่ป่าเกือบ ๆ หนึ่งในสามของประเทศจะถูกเผาหรือถูกเผาซ้ำในทุก ๆ ปี
ธรรมชาติเกือบร้อยละ ๙๐ ของประเทศถูกทำลายลง
ป่าฝนเขตร้อนที่เหลือส่วนใหญ่
อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น
มาดากัสการ์กลายเป็นสัญลักษณ์
ของดินแดนที่มีการทำลายป่าไม้ด้วยอัตราที่เร็วและรุนแรงที่สุดในโลก
ส่วนที่เรียกว่า "ชนบท" นั้นไม่น่าจะไกลเกิน ๒๐ กิโลเมตร รอบ ๆ เมืองหลวงตานา
ที่นั่นเราจะเห็นครอบครัวซึ่งมีสมาชิกนับสิบอาศัยในบ้านดินทึมทึบ ตัวบ้านที่อาจก่อผนังด้วยดินอัดตากแห้ง หรือโคลนโปะลงบนโครงไม้ไผ่
ส่วนหลังคามุงด้วยใบปาล์ม หญ้าคา จะช่วยให้รู้สึกอบอุ่นช่วงอากาศหนาว เย็นสบายช่วงอากาศร้อน
ขณะเดียวกันมันก็สอดคล้องกับวิถีการเกษตรแบบ tavy พอดินเสื่อมสภาพก็สามารถทิ้งบ้านไปหาที่อยู่ใหม่ได้ทันที
|
|
|
|
ตลาดอันโดรฟรุตซี, กิโลเมตร ๕
หลายคนเป็นโรคชอบเดินตลาดเพราะมีสีสัน
และอยากรู้ไปถึงก้นครัวว่าชาวบ้านท้องถิ่นเขากินอะไร
เราเคยเดินตลาดนัดวันพฤหัสข้าง ๆ สนามกีฬาแห่งชาติในตานาหนหนึ่ง
เทียบกับตลาดอันโดรฟรุตซีแล้ว สีสันเร้าใจผิดกัน
ตลาด "มหามาสินา" วันพฤหัสคล้ายตลาดนัดจตุจักร
แต่อันโดรฟรุตซีเป็นปากคลองตลาดที่ถูกจับยกออกไปอยู่ดาวคะนอง อันโดรฟรุตซีจะติดตลาดทั้งเช้า-เย็นให้พ่อค้าแม่ขายรอบ ๆ นอก
เอาผักผลไม้ กระบุงตะกร้ามาขาย คำว่า ตลาด ของมาดากัสการ์นั้นไม่ได้มีตัวอาคารสถานที่ชัดเจนอยู่แล้ว
นอกจากเป็นศูนย์รวมของแผงลอย ของแบกะดิน ซึ่งอันโดรฟรุตซีของเราจะมีแผงลูกพลับ อโวกาโด ถั่ว มะเขือเทศ
มันฝรั่งและผักต่าง ๆ ซอกแซกตามฟุตบาทอย่างน่าดู รถลากหรือเกวียนทุกของก็เวียนผ่านไปมาไม่ขาด
แม่ค้า ผู้คนมาลากาซีในชนบททั่วไปล้วนเป็นมิตร แม้ขอทานจรจัดก็ไม่เข้ามาวอแวคนต่างถิ่นจนเกินงาม
เมื่อผู้ชายที่ทูนตะกร้าผักเต็มหัวถูกขอถ่ายรูปเขาก็ไม่ได้แสดงความรังเกียจ
จากการนี้ ทำให้เรารู้ว่าชาวบ้านชอบกล้อง น้อยรายจะเขินไม่ยอมให้ถ่าย
ขณะที่บ้านเราเป็นทาสถุงก๊อบแก๊บอย่างน่าเกลียด แต่ที่นี่ ถุงก๊อบแก๊บไม่มีแจก
อยากได้ต้องซื้อใบละเป็นพันฟรังก์ฯ ทั้งหญิงและชายจะนิยมทูนของไว้บนหัว กลางกรุงอันตานานาริโวก็พบเห็นคนทูนตะกร้า
ห่อผ้าหรือไม้ฟืนได้ทั่วไป เช่นเดียวกับตลาดในสด เราสังเกตเห็นทั้งกระเทียม (หอบใหญ่) ลังไม้ ตะกร้าใส่ไก่, ปู
กระบุงดอกไม้ถูกนำพาโดยเจ้าของแทบไม่ต้องใช้มือช่วย
อันโดรฟรุตซีดูจะเป็นทั้งจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของทางหมายเลข ๗
มันจึงเป็นชุมทางของแท็กซี่เบอ (taxi-be) หลายสายจากตานา แท็กซี่เบอเป็นรถเมล์หน้าตาเหมือนรถตู้เล็ก ๆ ถ้าต้องการนั่งเข้าเมืองก็ประมาณ ๕๐๐-๑,๐๐๐ ฟรังก์ฯ (ประมาณ ๓.๕๐-๗ บาท) เราเองก็ได้ใช้บริการบ่อย ๆ ในทางทฤษฎี แท็กซี่เบอจะนั่งได้ ๑๐ คน--ข้างหน้ากับคนขับ แถวกลางและแถวหลัง แต่แล้วโชเฟอร์ก็จะจัดการให้คุณเขยิบก้นเบียดกันอีกนิดหน่อยได้เสมอที่มีคนโบก คล้ายกับทฤษฎีของแท็กซี่บรูซซ์ (taxi-brousse) ที่วิ่งรับคนระหว่างเมืองหรือจังหวัดตลอดเหนือจรดใต้
ยิ่งไกลจากตานาออกไป ความสูงของมันก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ๆ จนที่สุดคุณก็จะเห็นว่าของบรรทุกบนหลังคาสูงกว่าตัวถังเสียอีก
เราคิดว่ากลุ่มคนโดยสารแท็กซี่เบอน่าจะเป็นชนชั้นล่างที่พอมีเงินเท่านั้น ด้วยทุก ๆ เย็น ตามริมถนนชานเมืองตานา (โดยเฉพาะทางด้านใต้) จะเห็นผู้คนพากันเดินหรือวิ่งไปในทิศทางเดียวกัน...เพื่อกลับบ้าน นั่นคือ กลุ่มคนจนที่เข้ามาทำงานในเมือง กลุ่มคนที่แม้แต่แท็กซี่เบอก็ฟุ่มเฟือยเกินไปในการครองชีพ -มิพักต้องนึกถึงแท็กซี่วิลล์ (taxi-ville) ของชนชั้นกลาง, นักท่องเที่ยว ซึ่งทั้งหมดเป็นซีตรองส์สองสูบ และเรโนลต์สุดคลาสสิก
|
|
|
|
ตานา
"อย่าพกเงินเดินตามถนนในตานา"
"คนมาลากัซย์ไว้ใจไม่ได้"
"ขอทานคือทางเดียวที่เด็กเล็กจะมีชีวิตอยู่รอดได้"
"ถ้าคุณโยนให้เงินขอทานคนหนึ่ง ที่เหลือจะเข้ามารุม"
"อุโมงค์ดำสกปรกใกล้ย่านธุรกิจเมืองตานาเป็นเสมือนหอพักของเด็ก ๆ"
"เด็ก ๆ ที่นั่นไม่มีอะไรเล่นถึงขนาดวิ่งไล่ตามรถ"
"คนที่นี่เหมือนแมงมุมตัวเมีย ชักใยไว้รอ...พอได้เวลาก็งับ"
"หลังอนาลาเคลีมีแต่โสเภณีเด็กเต็มไปหมด"
"นรกด้านสภาวะแวดล้อม"
....................................................
"MAD" (บางคนเรียกชื่อประเทศมาดากัสการ์)
ข้างต้นคือภาพพจน์ของอันตานานาริโว-มาดากัสการ์ บางส่วนที่มีคนกล่าวขวัญถึง
ยังไม่รวมข้อแนะนำแสบ ๆ ในไกด์บุ๊กที่ส่อเค้าว่า "ไปมาดากัสการ์ต้องระวังตัว" อย่างในหัวข้อว่าด้วย ...(หาก) คุณเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน / คุณเป็นนักเดินทางสาว / คุณตั้งท้อง / หากคุณเป็นคนพิการ / หากพาลูกไปด้วย / วิธีป้องกันมาลาเรีย ไข้เหลือง
ภาพพจน์ดังกล่าวดูจะหลุดลอยจากสิ่งสวยงาม น่ามหัศจรรย์ทางธรรมชาติ และโรแมนติกที่ถูกตอกย้ำอยู่บ่อย ๆ อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาที่มีชีวิต / เกาะสวรรค์ / The living Edens/ Noah's Ark adrift in the Indian Ocean / ปลายทางแห่งความงาม / ดินแดนที่นักอนุรักษ์ธรรมชาติทั้งหลายใฝ่ฝันจะได้ไปสักครั้งในชีวิต รวมทั้งอีกหลายตัวอย่างในสารคดีเรื่องนี้
โดยที่สุด เราจึงต้องเติมมายาคติเกี่ยวกับมาดากัสการ์ "ดินแดนที่มีภาพพจน์ตัวเองแยกแย้งอย่างสุดขั้ว" ลงไปอีกตัวหนึ่ง
.........................................
|
|
|
|
หลังแยกกับตูตู้ ไกด์จำเป็นผู้อธิบายเรื่องแท็กซี่มาลากัซส์สามประเภทอย่างกระจ่าง
เราได้ไกด์จำเป็นคนใหม่ชื่อ "โดเน่" พาเที่ยวเมืองตานาอีกสองสามวัน ตานาเป็นเมืองไม่ใหญ่โตเกินกว่าจะนั่งรถตระเวนดูภายในวันเดียว
ที่ตั้งของเมืองแบ่งตามลักษะทางกายภาพและบ้านเรือนเป็นตานาบนและตานาล่าง ตานาบนคือส่วนของเนินเขาสูงใจกลางเมือง ย่านผู้มีอันจะกิน
เต็มไปด้วยบ้านพักคหบดี ข้าราชการระดับสูง หรือเจ้าหน้าที่ทูตต่างชาติ ที่ตั้งขององค์การระหว่างประเทศ ภัตตาคาร และโรงแรมบางส่วน
ต่ำลงมาทางทิศใต้ของเนินเขาเป็นย่านอนาลาเคลี โรงแรม แหล่งธุรกิจการค้าที่สำคัญของประเทศจะตั้งเรียงรายสองฟากถนนสายสำคัญของย่าน
โดยสุดถนนทางทิศเหนือเป็นสถานีรถไฟ ที่มีเส้นทางเดินรถรวมทั้งประเทศเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตร
ส่วนตานาล่างก็คือพื้นที่รอบ ๆ ที่เหลือ ควรเรียกว่าย่านรอบ ๆ ใจกลางเมืองมากกว่าย่านคนจน
เพราะเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญ ๆ อีกมาก เช่น สวนสัตว์ ตลาดนัดกลาง สนามกีฬา
รวมทั้งห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ที่เข้าจับจองพื้นที่ชานเมืองทุกทิศเรียบร้อยแล้ว ซึ่งไม่ไกลจากทุกส่วนที่เอ่ยมา เราก็สามารถพบท้องนา
ที่สภาพชีวิตทั่วไปไม่ต่างจากที่เห็นแถวอันต์ชิราเบ
ในตานาค่าครองชีพไม่ได้ถูกอย่างที่เราหวัง ค่าที่พักเฉียด ๑,๐๐๐ บาทต่อคืนเป็นอย่างต่ำ
และสิ่งที่สร้างความลำบากใจให้เราในระยะแรก คือไม่รู้จะวางตัวอย่างไรกับขอทานจรจัด และไม่รู้จะหาที่ปลดทุกข์อย่างไร
ด้วยคนเดินถนนที่นี่จะทำกันริมถนนในทุก ๆ ที่
บ่ายวันหนึ่งเราผ่านไปแถวอนาลาเคลี
เห็นขอทานขาพิการ
ถัดตัวชูมือร่อนไปกลางถนน
ที่รถกำลังวิ่งควันโขมง บนฟุตบาท ผู้คนเดินพลุกพล่าน...
เตะขวดน้ำแร่โอวีฟว์ที่รีฟิลด้วยฉี่กลิ้งหลุน ๆ ไปมา
บางทีเราอาจต้องหันเข้ามายาคติชุดที่ประนีประนอม (แต่ไม่ปลอบประโลมความรู้สึกจนน่าเกลียด) บ้าง
เหมือนเช่นบางคนพูดถึงมาดากัสการ์ว่า
"ที่มาดากัสการ์ คุณมาถึงพร้อมด้วยคำถามสิบข้อ แต่กลับไปพร้อมด้วยคำถามนับร้อย"
และ
"Be like the chameleon. Look forward with one eye, and behind with the other"
|
|
|
|
เอกสารอ้างอิง
"ชีวิตต้องสู้ของเด็กข้างถนนแห่งมาดากัสการ์" วันเพ็ญ บงกชสถิตย์ แปลจากบทความของ อเดลสัน ราซาฟี ยูเนสโก คูริเย
"มหัศจรรย์แห่งธรรมชาติที่มาดากัสการ์" วีระ นุตยกุล สารคดี
|
|