|
|||||||||||||
|
ทุกวันนี้คนที่เคยคิดว่าไม่อยากฝึกภาษาอังกฤษ
เพราะไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่ของเรา คงเหลือน้อยเต็มที
เพราะในโลกปัจจุบันหากใครไม่รู้ภาษาอังกฤษ และคอมพิวเตอร์ อาจกลายเป็นคนแปลกหน้าของสังคมไซเบอร์สเปซ คนที่เกิดในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ จึงดูจะได้เปรียบกว่าคนที่เกิดในประเทศที่ใช้ภาษาพื้นเมืองของตัวเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนภาษาที่ ๒ กับครูเคท โดยเฉพาะชาวอังกฤษแสนจะสบายกว่าคนประเทศอื่น พูดได้ภาษาเดียว ก็สามารถเดินทางไปทุกหนแห่งในโลกนี้ได้ เมื่อภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาสากลของโลก ชาวอังกฤษจึงมีแนวโน้มที่จะเรียนรู้ภาษาอื่น ๆ น้อยลง จนผู้ดีเมืองนี้แทบจะพูดภาษาอื่น ๆ ไม่เป็น ทั้งยังเป็นประเทศเดียวในสหภาพยุโรป ที่ไม่มีการบังคับให้เด็กนักเรียน ต้องเรียนภาษาต่างประเทศ เมื่อเร็ว ๆ นี้รัฐบาลอังกฤษซึ่งคงเริ่มไหวตัว ได้แถลงโครงการที่จะแก้ไขความล้าหลังด้านภาษา โดยบังคับให้ทุกโรงเรียนสอนภาษาต่างประเทศ ให้แก่เด็กนักเรียนที่มีอายุตั้งแต่เจ็ดปีขึ้นไป เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศอังกฤษกล่าวกับนักข่าวว่า เขาคาดหวังว่า โครงการสอนภาษาในโรงเรียนนี้ คงจะเป็นความพยายามผลักดันที่จริงจัง ให้คนอังกฤษรู้จักภาษาของเพื่อนบ้านมากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือจากประเทศอื่น ๆ ในสหภาพยุโรปตามมา อย่างไรก็ดี โครงการนี้ดูจะเป็นการเข็นครกขึ้นภูเขาเสียมากกว่า เพราะที่ผ่านมามีชาวอังกฤษจำนวนน้อยมาก ที่ยอมฝึกลิ้นตัวเอง ให้ชินกับการออกเสียงสระในภาษาฝรั่งเศส ตัว r ในภาษาสเปน หรือสระในภาษาเยอรมัน ที่สำคัญคือในอังกฤษก็ขาดแคลนครูสอนภาษาต่างประเทศด้วย ปัจจุบันเด็กนักศึกษาชาวอังกฤษอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป ที่สอบเข้าเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศส และเยอรมัน มีไม่ถึง ๒ หมื่นและ ๑ หมื่นคนตามลำดับ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเศร้าสำหรับประเทศที่มีประชากร ๖๐ ล้านคน และเป็นสิ่งที่สะท้อนว่า ชาวอังกฤษไม่มีแรงจูงใจ และเห็นประโยชน์อันใด ที่จะเรียนภาษาอื่นเป็นภาษาที่ ๒ โชคดีที่ผู้นำประเทศคนปัจจุบัน นายโทนี่ แบลร์ สามารถพูดภาษาต่างประเทศได้ดี เขาพูดฝรั่งเศสได้ดีกว่าอดีตนายกรัฐมนตรี นางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ ที่เคยกล่าวสุนทรพจน์ภาษาฝรั่งเศส ด้วยสำเนียงกระท่อนกระแท่นที่เธอท่องจำมาเอง จนเป็นที่ซุบซิบในวงสังคมมาจนปัจจุบัน ส่วนที่เมืองไทย ภาษาที่กำลังมาแรงแซงภาษาอังกฤษ และภาษาไทย คือภาษาญี่ปุ่น ดูได้จากบรรดาวัยรุ่นไทยทุกวันนี้ ที่ทั้งข้าวของเครื่องใช้ การแต่งตัว ตลอดจนคำพูดคำจา ล้วนแล้วแต่ "อาโนเนะ" กันทั้งนั้น |