รองศาสตราจารย์วัชรี ทรัพย์มี
รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ไม่เห็นด้วยกับกรณีนักศึกษาชาย สวมชุดนักศึกษาหญิง เพราะจะทำให้มีปัญหาอื่น ๆ ตามมา
ประเด็นสำคัญ คือไม่เหมาะสม
เมื่อยังอยู่ในสังคม ซึ่งมีกฎระเบียบ เราต้องยอมรับ
และปฏิบัติตาม
เราทุกคนต่างก็มีเสรีภาพ แต่เสรีภาพทั้งหลายทั้งปวง
ต้องมีขอบเขต
|
|
(ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณ
คลิกที่นี่)
เกษร สิทธิหนิ้ว : รายงาน / บันสิทธิ์ บุณยะรัตเวช : ถ่ายภาพ
"ดิฉันไม่เห็นด้วยกับกรณีนักศึกษาชายสวมชุดนักศึกษาหญิง เพราะจะทำให้มีปัญหาอื่น ๆ ตามมา แม้จะไม่มากมาย แต่ประเด็นสำคัญคือความไม่เหมาะสม
ในเมื่อสามารถสอบเข้าสถานศึกษา มาได้ด้วยการใช้คำนำหน้าชื่อว่านาย ก็ควรจะแต่งตัวเป็นผู้ชายต่อไป ไม่ใช่ว่ามาแต่งตัวเป็นผู้หญิง แต่งหน้าทาปาก เดินก้นบิดก้นเบี้ยวอยู่ในมหาวิทยาลัย
ขณะยังอยู่ในสถาบันการศึกษา ก็ควรปฏิบัติตัวตามกฎระเบียบ ส่วนเวลาที่พ้นไปจากรั้วมหาวิทยาลัย จะไปอยู่ที่ไหน จะไปทำอะไรก็ได้ ถ้าสิ่งนั้นไม่ผิดกฎหมาย ก็เป็นสิทธิของเขา
"แม้จะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว
แต่หากปล่อยให้นักศึกษาที่เป็นกะเทย แต่งตัวอย่างนี้ได้ต่อไป จะทำให้เกิดการทำตามอย่างกัน พอรุ่นพี่แต่งตัวตามใจชอบได้ รุ่นน้องก็แต่งบ้าง ยิ่งสมัยนี้กะเทยเฟื่องฟู รายการทางโทรทัศน์ก็ชอบแต่งตัวผู้ชายเป็นกะเทยแล้วแสดงตลก ในโรงเรียนเอง เวลามีงานการแสดงครูก็มักจะเอาพวกกะเทยมาแต่งตัวเป็นผู้หญิง แม้จะทำให้งานสนุก แต่มันไม่ดี
เพราะเท่ากับว่าไปส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
ให้เป็นเรื่องธรรมดาขึ้นไปอีก
"ปัญหาเบื้องต้นที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาชายแต่งตัวเป็นนักศึกษาหญิง เช่น ขณะไปติดต่อราชการ ลงทะเบียนเรียน
เจ้าหน้าที่อาจแยกไม่ออก ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ครั้งหนึ่งดิฉันเข้าใจผิดคิดว่านักศึกษาที่มาติดต่อเป็นผู้หญิง จึงบอกเขาว่า ผู้หญิงต้องติดต่อทางโน้น ก็ปรากฏว่าเป็นผู้ชาย อย่างนี้เป็นต้น
และแม้ว่าปัจจุบันสังคมไทยจะยอมรับ
และเข้าใจคนที่มีพฤติกรรมผิดเพศมากขึ้น
แต่การปล่อยปละละเลยเรื่องเหล่านี้
จะเกิดปัญหาต่อนักศึกษาเองได้ในอนาคต เมื่อจบจากสถาบันการศึกษานั้นไป บางคนเรียนครูมา พอเรียนจบก็คงไม่สามารถไปประกอบอาชีพครูได้ เพราะเป็นครูจะมาแต่งตัวผิดเพศไม่ได้
สังคมภายนอกมีทั้งคนยอมรับ และคนที่ไม่เข้าใจกะเทย ถ้าจบออกไปแล้วยังแต่งตัวอย่างนี้ใครจะเข้าใจ ใครจะให้อภัย เห็นอกเห็นใจ บางคนอาจสามารถไปประกอบอาชีพได้อย่างเจริญรุ่งเรือง แต่ที่ทำงานบางแห่งก็ไม่ยอมรับเข้าทำงาน ถ้าปล่อยให้นักศึกษาแต่งตัวอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
จะกลายเป็นปัญหาของสังคมต่อไป หากปรับตัวไม่ได้ในอนาคต มันถึงเกิดกลุ่ม supporting group คือกลุ่มที่คนที่มีปัญหามารวมตัวกัน แสดงความเห็นอกเห็นใจ ปรับทุกข์กันขึ้น
"การแต่งตัวเป็นผู้หญิง
ก็คือการแสดงออกในเพศที่เขาต้องการอย่างหนึ่ง สนองในสิ่งที่เขาไม่อาจเป็นได้ในชีวิตจริง
แต่สถาบันการศึกษาของประเทศไทย
มีเครื่องแบบที่กำหนดไว้ตั้งแต่ชั้นประถม และมัธยมแล้ว ระดับอุดมศึกษาก็เช่นกัน
เมื่อเราอยู่ในสถาบันใดสถาบันหนึ่ง
ซึ่งก็มีข้อกำหนดเรื่องเครื่องแบบอยู่แล้วว่า
นักศึกษาชายแต่งตัวอย่างนั้น นักศึกษาหญิงแต่งอย่างนี้ ก็ต้องแต่งตัวตามระเบียบ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีระเบียบของนักศึกษาชัดเจน และเราก็พยายามจะให้อาจารย์เตือนลูกศิษย์ในเรื่องนี้ด้วย
นักศึกษาที่แต่งตัวไม่สุภาพ หรือแต่งตัวผิดเพศ เราก็ไม่อนุญาตให้ลงทะเบียน
ตอนมาสอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัย ยังทำตัวเป็นผู้ชายแท้ ๆ ได้ พอเข้ามาแล้วทำไมถึงควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาก็รู้ว่าระเบียบของมหาวิทยาลัยเป็นอย่างนี้ เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องควบคุมตัวเองต่อไปได้ให้ได้ แต่ถ้าพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัย เขาจะแต่งตัวอย่างไรมันก็เรื่องของเขา ในวัน ๆ หนึ่งมาเข้าเรียน ฟังเล็กเชอร์ มาเข้าห้องสมุด เพียงไม่กี่ชั่วโมง การแต่งตัวตามระเบียบไม่ถึงกับทำให้ตาย
"ถ้าเพียงแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในมหาวิทยาลัย หลุดจากรั้วมหาวิทยาลัยไปแล้ว จะแต่งตัวอย่างไรก็ไม่มีใครตามไปควบคุม แต่อยู่ในมหาวิทยาลัยต้องหักห้ามจิตใจให้ได้ อีกหนึ่งปีสองปีก็จะจบแล้ว เราทุกคนต่างก็มีเสรีภาพ แต่เสรีภาพทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ต้องมีขอบเขต มีข้อจำกัด เมื่อเรายังอยู่ในสังคมซึ่งมีกฎระเบียบ เราต้องยอมรับและปฏิบัติตาม
"การให้สิทธิให้นักศึกษาคิดเองว่า จะแต่งหรือไม่แต่ง
ไม่ถือว่าเป็นการลองผิดลองถูกหรือเรียนรู้เอง หากกฎระเบียบที่ตั้งไว้มันดีอยู่แล้ว นักศึกษาควรปฏิบัติตาม ถ้าเห็นนักศึกษาทำผิด ครูบาอาจารย์ต้องว่ากล่าวตักเตือน สถาบันที่มีนักศึกษาแต่งตัวไม่สุภาพเรียบร้อย ก็สะท้อนว่าครูบาอาจารย์ไปไหนกันหมด ไม่มาดูแลลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็เลยเตลิดเปิดเปิงไปใหญ่ ตอนที่ดิฉันยังทำงานอยู่ที่ศูนย์ให้การปรึกษาของมหาวิทยาลัย เคยเจอนักศึกษาชายสองคนที่แต่งชุดนักศึกษาหญิง อาจารย์ของเขาก็ส่งมาคุยกับดิฉัน พอคุยกันไปก็ทราบว่า เขาไม่ได้อยากจะทำ แต่ห้ามใจตัวเองไม่ได้ พออธิบายให้เขาฟังว่ามันไม่เหมาะสมอย่างไร
การแต่งตัวเช่นนี้ อาจส่งผลต่อเขาอย่างไรในอนาคต เขาก็เข้าใจและเลิกแต่งตัวอย่างนั้นในที่สุด
"มหาวิทยาลัยต่างประเทศ นักศึกษาไม่ต้องแต่งเครื่องแบบก็จริง แต่จะเอามาเปรียบเทียบกับบ้านเราไม่ได้ การแต่งเครื่องแบบเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาเอง เพราะขณะที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา
เวลาคิดจะทำเรื่องไม่เหมาะสม เช่นไปกินเหล้าเมายา ก็จะทำให้ฉุกคิดว่าเรายังสวมชุดนักศึกษาอยู่ ก่อนทำอะไรก็จะคิดมากขึ้น อีกอย่างเป็นการประหยัดด้วย มีชุดนักศึกษาแค่สามชุดก็ใส่ได้ทั้งปี แต่ถ้าเราแต่งตัวตามใจชอบ จะมีแค่สามชุดไม่ได้ แฟชั่นเปลี่ยนไปตลอดเวลา ทำให้สิ้นเปลืองและฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ การใส่ชุดนักศึกษาจึงดีกว่ามาก อย่างที่จุฬา ฯ ถ้าสวมรองเท้าสีขาวก็รู้เลยว่าอยู่ปี ๑ ฝรั่งมังค่ามาเที่ยวเมืองไทยก็ได้จะเห็นว่า นักศึกษาไทยสวมเครื่องแบบ เป็นเอกลักษณ์ของประเทศ
"อย่างไรก็ตาม เราควรจะยอมรับและเห็นใจคนที่มีความผิดปรกติ
โดยเฉพาะความผิดปรกตินั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้แกล้งทำ ไม่ควรจะไปรังเกียจอะไรเขา เพราะจริง ๆ แล้วเขาก็มีปมด้อยและก็ตระหนักอยู่ในใจว่าเขาไม่ได้เป็นที่ยอมรับ ครูเองก็ไม่ได้รังเกียจว่าลูกศิษย์คนนี้เป็นกะเทย เพียงแต่นักศึกษาที่เป็นอย่างนี้ ในขณะที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ขอให้สวมเครื่องแบบตามปรกติ ควรจะอดใจสักนิดในช่วงที่อยู่ในอาณาจักรของมหาวิทยาลัย แต่พ้นไปจากมหาวิทยาลัยแล้วจะทำอะไรก็ไม่มีใครว่า"
|