นิตยสาร สารคดี: ฉบับที่ ๒๑๕ เดือนมกราคม ๒๕๔๖ นิตยสาร สารคดี: ฉบับที่ ๒๑๕ เดือนมกราคม ๒๕๔๖ "มายาแห่ลูกปัด"
  นิตยสาร สารคดี: ฉบับที่ ๒๑๕ เดือนมกราคม ๒๕๔๖ ISSN 0857-1538  

ชีวิตหลังสงครามบนแผ่นดินอัฟกานิสถาน

  เรื่องและภาพ : โทรุ โยโกตะ (Toru Yokota)
แปลและเรียบเรียง : เพ็ญนภา หงษ์ทอง
 (คลิกดูภาพใหญ่)       แดดกลางเดือนกันยายนร้อนระอุ อุณหภูมิไม่ต่างจากอากาศในเดือนกรกฎาคมที่ผมมาที่นี่เป็นครั้งแรกในรอบปี การเดินทางครั้งที่ ๒ สู่แผ่นดินอัฟกานิสถานภายหลังการถล่มอย่างหนักจากทหารอเมริกันสิ้นสุดลง ทำให้ผมมองเห็นความเป็นไปของเมือง และความเปลี่ยนแปลงของคนได้ชัดเจนขึ้น บาดแผลของสงครามยังเป็นสิ่งที่มองเห็นได้เกือบทั่วทุกมุมของประเทศ เคยมีคนพูดว่ากัมพูชาเป็นแผ่นดินต้องคำสาปที่ไม่เคยร้างจากไฟสงคราม สำหรับผม อัฟกานิสถานก็มีสภาพที่ไม่ต่างกัน 
      ภาพของเด็กกำพร้าที่ออกมาร่อนเร่ขอทานตามถนน ภาพของนักโทษอดีตทหารตอลิบาน (Toliban) ที่แออัดกันอยู่ในเรือนจำ ภาพของเด็กนักเรียนที่นั่งเรียนหนังสือท่ามกลางซากปรักหักพัง ทำให้ผมนึกไม่ออกว่าประเทศต้องคำสาปแห่งนี้ จะต้องใช้เวลานานเท่าใดในการสร้างความเป็นชาติขึ้นมาใหม่ ใบปิดภาพยนตร์จากตะวันตกที่พบเห็นได้ทั่วไปในพื้นที่สาธารณะ และเสียงเพลงตะวันตก ที่ดังกระหึ่มมาจากร้านขายเครื่องเล่นเทป และซีดีข้างถนน ทำให้ผมไม่กล้าจินตนาการอนาคตของชาติ ที่กำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้นใหม่บนแผ่นดินผืนนี้ ดูเหมือนสงครามกับโลกทุนนิยมกำลังก่อเกิดขึ้นพร้อม ๆ ไปกับการสร้างชาติ
(คลิกดูภาพใหญ่)       วัตถุประสงค์ของผมในการเดินทางมาอัฟกานิสถานครั้งนี้ ไม่ต่างจากการเดินทางครั้งที่ผ่านมา ในฐานะช่างภาพอิสระที่ได้รับการติดต่อจากทีมงานโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ในประเทศเกาหลี ให้เป็นผู้บันทึกภาพชีวิตและสังคม ของชาวอัฟกันในหนึ่งปีภายหลังการถูกโจมตีอย่างหนักจากกองทัพอเมริกัน ผมแบกภารกิจพร้อมอุปกรณ์ทำงานมาเต็มบ่า สำหรับผม ทุกชีวิตที่เคลื่อนไหวผ่านกล้องโทรทัศน์ และเลนส์ภาพนิ่ง มีเรื่องราวความเจ็บปวดซุกซ่อนอยู่ สิ่งที่ผมทำได้ดีในฐานะช่างภาพ คือบันทึกทุกความเคลื่อนไหวเพื่อถ่ายทอดให้แก่ผู้ที่ไม่ได้มายืนอยู่ ณ จุดเดียวกับผมในเวลานี้
      เมื่อนัดหมายกับทีมงานในประเทศเกาหลีเป็นที่เรียบร้อย การเดินทางของผมก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการบินตรงจากกรุงเทพฯ เมืองที่ผมใช้เป็นฐานในการทำงานมานานกว่าสามปี มุ่งสู่กรุงอิสลามาบัด เมืองหลวงของประเทศปากีสถาน เพื่อนบ้านของอัฟกานิสถาน ผมพบเพื่อนร่วมงานของผมที่นี่ สำหรับนักข่าวและช่างภาพต่างชาติที่จะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในอัฟกานิสถาน อิสลามาบัดเป็นแหล่งนัดพบที่สำคัญเพราะทุกคนต้องขอวีซ่าที่นี่ 
      เมื่อเอกสารการเดินทางทุกอย่างพร้อม การเดินทางที่แท้จริงก็เริ่มต้นขึ้น เราเลือกที่จะเช่ารถยนต์พร้อมคนขับลัดเลาะตามถนนข้ามชายแดนของทั้งสองประเทศ แทนที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินโดยสารที่บินตรงจากอิสลามาบัดไปยังกรุงคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน เราใช้เวลาเดินทาง ๗ ชั่วโมงจากอิสลามาบัดไปยังแนวชายแดน และอีก ๕ ชั่วโมงจากชายแดนไปยังกรุงคาบูล 
(คลิกดูภาพใหญ่)       ที่ค่ายอพยพตามแนวชายแดน ผมเห็นผู้อพยพชาวอัฟกันจำนวนมากพร้อมด้วยสัมภาระ อยู่ในสภาพพร้อมเดินทาง ไม่ไกลกันมีรถบัสขนาดใหญ่และรถบรรทุกจอดเรียงรายอยู่ ผู้อพยพเหล่านี้กำลังจะเดินทางจากค่ายอพยพในอิสลามาบัด ซึ่งพวกเขาใช้เป็นที่พักพิงหนีภัยสงครามในบ้านเกิดมาเป็นเวลานับปี เพื่อกลับสู่ประเทศของตนเอง ผู้อพยพเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนค่าเดินทาง จากสำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ครอบครัวละ ๑๐๐ เหรียญสหรัฐ ผมได้พบกับผู้อพยพเหล่านี้อีกครั้งในกรุงคาบูล (Kabul) ประมาณว่านับแต่ทหารตอลิบานประกาศวางอาวุธ มีชาวอัฟกันอพยพกลับจากค่ายผู้อพยพ ทั้งในอิสลามาบัด และจากพรมแดนอิหร่านเป็นจำนวนนับล้านคน
      ตลอด ๑๒ ชั่วโมงของการเดินทาง จุดที่ทำให้ผมวิตกกังวล และรู้สึกทรมานทางร่างกายที่สุด เห็นจะเป็นช่วงที่รถวิ่งผ่านช่องแคบไคเบอร์ (Khyber Pass) ตลอดระยะทาง ๕๓ กิโลเมตร บนช่องแคบซึ่งเป็นเส้นทางเดินรถเล็ก ๆ ลัดเลาะไปตามแนวเทือกเขาฮินดูกูช (Hindy Kush) ที่ทอดตัวข้ามพรมแดนทั้งสองประเทศ แรงกระแทกจากพื้นดินพุ่งตรงเข้าสู่ร่างกาย แทบทุกจังหวะการเคลื่อนตัวของล้อรถ จนผมรู้สึกได้ถึงการสั่นคลอนของอวัยวะภายใน
      ฝุ่นดินที่แห้งแล้งฟุ้งตลบไล่หลังรถเราตลอดเวลา ความแล้งและร้างของบรรยากาศรอบตัวทำให้อากาศที่ร้อนเกิน ๔๐ องศาเซลเซียสอยู่แล้ว ดูเหมือนทวีความร้อนรุนแรงยิ่งขึ้น ตลอดเวลาบนเส้นทาง ๕๓ กิโลเมตร ผมกอดอุปกรณ์กล้องของตนเองแน่น เรื่องราวเกี่ยวกับกองโจรที่ซ่อนตัวอยู่มากมายบนเส้นทางสายนี้ ทำให้ผมไม่กล้าปล่อยมือจากอุปกรณ์ทำกิน ที่มีราคารวมกันแล้วต่ำกว่าราคารถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่น บ้านเกิดของผม เพียงเล็กน้อย เพื่อนร่วมวิชาชีพหลายคนเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่เส้นทางสายนี้ เพราะปฏิเสธที่จะหยิบยื่นสิ่งที่มีค่าที่สุดในการทำงานให้แก่กลุ่มกองโจร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นชาวบ้านยากจน ที่โดนพิษภัยของสงคราม ทำให้ไม่สามารถหางานสุจริตยังชีพได้ ผมไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกันว่า หากภาวการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นกับผม ผมจะเลือกอะไร ระหว่างกล้องที่เป็นทุกอย่างของชีวิต กับชีวิตจริง ๆ แต่โชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องคิดหนักเกิดขึ้น
      การเดินทางข้ามประเทศสิ้นสุดลงที่เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน และงานของเราก็เริ่มต้นขึ้นที่นี่ บทบันทึกจากนี้ไปเป็นการถ่ายทอดเรื่องราว ที่ผมพบเห็นมาตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ในสี่เมืองหลักของประเทศมุสลิมแห่งนี้
  เรือนจำเชเบอร์กันแห่งมะซารีชะรีฟ 
ปลายทางของขุนศึกตอลิบานและอัลกออิดะห์ 
(คลิกดูภาพใหญ่)       มะซารีชะรีฟ (Mazar-e-Sharif) เมืองใหญ่ทางภาคเหนือของประเทศ ไม่ใช่เมืองแรกที่เราไปเยือน แต่เรื่องราวที่พบเห็นที่นี่ทำให้ผมต้องกล่าวถึงเป็นอันดับแรก สำหรับผม ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในเมืองนี้เป็นภาพสะท้อนความเป็นจริงของสงครามได้ดียิ่ง เมื่อสงครามสิ้นสุดลงพร้อมด้วยชัยชนะของฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมเป็นผู้แพ้ มีฐานะเป็นเชลยสงคราม แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะสืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกันก็ตาม
      ด้วยกำลังทหารและอาวุธของกองทัพอเมริกัน ที่บุกถล่มฐานที่มั่นของทหารตอลิบานอย่างต่อเนื่องนับจากต้นเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ทำให้รัฐบาลตอลิบานต้องประกาศยอมแพ้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน ถือเป็นการสิ้นสุดอำนาจของรัฐบาลตอลิบาน ที่ปกครองประเทศด้วยหลักศาสนาที่เคร่งครัดจนกลายเป็นความโหดร้ายป่าเถื่อน สำหรับกูนดูซ (Kunduz) ฐานที่มั่นของทหารรัฐบาลตอลิบานและกลุ่มอัลกออิดะห์ (Al-Qaeda) ทางภาคเหนือของมะซารีชะรีฟ มีการประกาศวางอาวุธอย่างเป็นทางการในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ นิตยสาร นิวส์วีก ฉบับสุดท้ายของเดือนสิงหาคม ๒๕๔๕ รายงานไว้ว่า หนึ่งวันหลังการประกาศวางอาวุธ ทหารตอลิบานส่วนหนึ่งประมาณ ๔๐๐ คนสามารถหลบหนีการควบคุมตัวของพันธมิตรฝ่ายเหนือ ที่กลายมาเป็นรัฐบาลของประเทศในปัจจุบันไปได้ ในขณะที่ทหารอีกจำนวนมากถูกต้อนไว้ราวกับ "ฝูงแกะ" และส่วนหนึ่งของ "ฝูงแกะ" ที่ นิวส์วีก อ้างถึง คือกลุ่มคนที่แออัดอยู่ในเรือนจำเชเบอร์กัน (Sheborghan) ที่อยู่เบื้องหน้าผมนี้
(คลิกดูภาพใหญ่)       เชเบอร์กันเป็นหนึ่งในสองเรือนจำขนาดใหญ่ของอัฟกานิสถาน ก่อนหน้านี้เคยใช้เป็นที่คุมขังกองทหารพันธมิตรฝ่ายเหนือที่ถูกจับตัวได้ แต่เมื่อเหตุการณ์กลับตรงกันข้าม คนที่ถูกขังภายในรั้วกำแพงที่สูงถึง ๑๐๐ ฟุตนี้จึงเป็นทหารของตอลิบาน ปัจจุบันมีอดีตทหารตอลิบาน และสมาชิกกลุ่มอัลกออิดะห์ถูกขังอยู่ประมาณ ๑,๒๐๐ คน ข้อมูลจากนิตยสาร นิวส์วีก ฉบับเดียวกันทำให้ผมทราบว่ามี "แกะ" มากกว่า ๑,๐๐๐ เสียชีวิตระหว่างที่ถูกต้อนมา "รวมฝูง" ยังเรือนจำแห่งนี้ และศพของ "แกะ" เหล่านั้นถูกฝังกลบไว้ใต้พื้นดินในบริเวณที่เรียกว่า Dasht-e Leili
      หลังจากวันที่ฐานทัพตอลิบานที่กูนดูซประกาศวางอาวุธ ทุกวันจะมีเชลยสงครามถูกบรรทุกใส่ตู้คอนเทนเนอร์มายังเรือนจำแห่งนี้ แม้ผมจะไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์การขนส่งนักโทษ แต่พาหนะสำหรับเคลื่อนย้ายเชลยสงครามที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้า ทำให้ผมไม่ลังเลใจที่จะเชื่อในข้อมูลของ นิวส์วีก ที่บอกว่าทหารนับพันคนเหล่านั้นเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ เพราะมันไม่มีอะไรต่างจากคอนเทนเนอร์บรรทุกสินค้า ที่ผมเห็นเจนตาบนท้องถนนของกรุงเทพฯ 
      ชีวิตความเป็นอยู่ของนักโทษในเรือนจำเชเบอร์กันที่ผมเห็นในครั้งนี้ ถือว่าดีกว่าที่ผมเห็นคราวเดินทางมาในเดือนกรกฎาคมหลายเท่า ผมไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือขององค์การกาชาดสากล หรือเป็นเพราะการจัดฉากของเจ้าหน้าที่เรือนจำ การตีแผ่เรื่องราวการขนส่ง "ฝูงแกะ" และภาพหลุมศพที่ Dasht-e Leili ของนิตยสาร นิวส์วีก ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในเรือนจำแห่งนี้สองประการ คือ ทหารพันธมิตรฝ่ายเหนือที่เป็นผู้ปกครองประเทศในปัจจุบัน ยอมให้องค์การกาชาดสากลเข้ามาดูแลยกระดับความเป็นอยู่ของนักโทษในเรือนจำได้ และอีกประการหนึ่งคือ ทางเรือนจำประกาศห้ามทุกคน แม้แต่สมาชิกในครอบครัวของนักโทษเข้าเยี่ยม นัยว่าเพื่อป้องกันข้อมูลภายในเรือนจำรั่วไหลออกสู่สังคมภายนอก
(คลิกดูภาพใหญ่)       สำหรับผมและเพื่อนร่วมงาน ภายหลังติดต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล และแจ้งความประสงค์ในการทำสารคดี เรื่องราวของเชเบอร์กัน เราก็ได้รับอนุญาตในเวลาไม่นาน เมื่อเดินทางมาถึงเรือนจำ เราก็พบว่ามีนักโทษชั้นดีสามคนถูกจัดเตรียมไว้สำหรับเป็นผู้นำทาง แน่นอนว่าการสำรวจเชเบอร์กันในครั้งนี้ เราไม่สามารถทำได้ทุกซอกทุกมุม เหมือนที่ผมเคยทำในการเดินทางมาเยือน เมื่อสองเดือนก่อนหน้า
      จากความช่วยเหลือขององค์การกาชาดสากล ทำให้วันนี้นักโทษทุกคนมีอาหารกินวันละสองมื้อ พร้อมน้ำสะอาดสำหรับดื่ม ภาพของนักโทษที่ถือชามข้าวเบียดเสียดยื้อแย่งอาหารที่มีปริมาณไม่พอ หรือภาพนักโทษที่ต้องกินเหงื่อต่างน้ำอย่างที่ผมเคยเห็น ไม่ปรากฏอีกในการสำรวจเชเบอร์กันครั้งนี้ อย่างไรก็ดีมีนักโทษบางส่วนบอกผมว่า พวกเขาอยากได้วิตามินเสริมบ้าง เพราะอาหารสองมื้อที่พวกเขาได้รับในแต่ละวัน มีเพียงข้าวต้มและซุปมันฝรั่งเท่านั้น
      ด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า ๔๐ องศาเซลเซียสในตอนกลางวัน นักโทษบางคนจึงเลือกที่จะออกมานั่งนอกบริเวณอาคาร เพื่อให้สองขาได้สัมผัสผืนดินบ้าง ขณะที่ส่วนใหญ่เลือกที่จะปูผ้านอนพักอยู่ตามระเบียงทางเดินระหว่างห้องนอน ภายในตัวอาคารที่เป็นพื้นที่คุมขังถูกแบ่งซอยเป็นห้องเล็ก ๆ ขนาดประมาณ ๓x๔ เมตรจำนวนมากมาย ห้องเล็ก ๆ เหล่านี้เป็นที่นอนของนักโทษในเวลากลางคืน โดยแต่ละห้องจะมีนักโทษแออัดอยู่ไม่ต่ำกว่า ๑๐ คน ตลอดเวลาที่ผมย่ำเท้าไปในตัวอาคาร ผมมองเห็นแมลงตัวเล็ก ๆ เดินอยู่ตามพื้นเต็มไปหมด และเมื่อเห็นท่าทางของเหล่านักโทษ ผมก็ตระหนักดีว่าแมลงเหล่านี้ก่อความรำคาญ และทรมานให้พวกเขามากเพียงใด เมื่อเข้ามาอยู่ที่นี่ นักโทษทุกคนจะได้รับแจกผ้าคนละหนึ่งผืน สำหรับใช้ปูนอนในตอนกลางวัน และห่มในตอนกลางคืน ส่วนหมอนจะได้รับเพียงบางคนเท่านั้น เพราะทางเรือนจำมีหมอนไม่พอสำหรับทุกคน 
      กิจกรรมของนักโทษซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้เคร่งครัดศาสนา คือการอ่านคัมภีร์คำสอนทางศาสนา และจับกลุ่มพูดคุยกัน พวกเขาไม่มีกิจกรรมอื่นใดให้ทำมากไปกว่านี้ และก็ไม่รู้ว่าชีวิตภายในเรือนจำจะยาวนานไปถึงเมื่อไร พวกเขาเพียงแค่ใช้ชีวิตให้หมดไปวัน ๆ หนึ่งเท่านั้น หน้าตาที่ซูบเซียวดูไร้เรี่ยวแรงของนักโทษแห่งเชเบอร์กัน ทำให้ผมยากที่จะเชื่อว่าเมื่อ ๑๐ เดือนก่อนหน้า คนกลุ่มนี้เคยจับปืนในฐานะนักรบของรัฐบาลตอลิบาน และขบวนการอัลกออิดะห์ ร่องรอยของนักรบถูกกลบด้วยคราบเคราของนักโทษจนหมดสิ้น
(คลิกดูภาพใหญ่)       ผมจากเชเบอร์กันมาด้วยใจที่ไม่เป็นสุขนัก ไม่มั่นใจว่าเมื่อถ้อยคำและภาพถ่ายที่บันทึกเรื่องราว ของเรือนจำแห่งนี้ถูกเผยแพร่ออกไปอีกครั้ง อะไรจะเกิดขึ้นกับทั้ง ๑,๒๐๐ ชีวิตที่อยู่ที่นี่
      นอกเหนือจากเชเบอร์กันแล้ว ผมมีโอกาสได้ไปเยือนมัสยิดแห่งหนึ่ง ที่ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในมะซารีชะรีฟ นกพิราบสีขาว สัญลักษณ์แห่งสันติภาพที่เกาะอยู่โดยรอบมัสยิด ทำให้ผมนึกถึงชีวิตที่อิสรภาพถูกตีกรอบอยู่ภายในกำแพงสูง ๑๐๐ ฟุตของเชเบอร์กัน 
      ทุกวันจะมีประชาชนมากมาย มาละหมาดและสวดมนต์ประจำวันที่มัสยิดนี้ สำหรับผู้หญิง วันเวลาในการประกอบพิธีกรรมในมัสยิดแห่งนี้ มีขึ้นได้เฉพาะในวันพุธ ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นวันของผู้หญิงเท่านั้น ส่วนวันอื่น ๆ พวกเธอเป็นบุคคลต้องห้าม ภายในมัสยิดนอกจากจะมีประชาชนมาประกอบศาสนกิจแล้ว ยังมีเด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อแม่ไประหว่างสงคราม มาจับกลุ่มขอทานจากคนที่มาสวดมนต์ด้วย สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศนับแต่ทศวรรษ ๑๙๗๐ เรื่อยมาจนถึงสงครามกับกองทัพอเมริกัน ทำให้เด็กกำพร้าไร้บ้านที่ต้องออกมาใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่บนถนน ไม่เฉพาะในมะซารีชะรีฟแต่ทั่วทั้งประเทศ ทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มีใครทราบจำนวนที่แน่นอน ของเด็กที่ฝากชีวิตไว้กับเศษสตางค์ ของคนที่มาประกอบศาสนกิจตามมัสยิด
  คาบูล ศูนย์กลางแห่งจังหวะชีวิต
(คลิกดูภาพใหญ่)       ในฐานะที่เป็นเมืองหลวง และเป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศ คาบูลมีเรื่องราวมากมายซ่อนเร้นและเปิดเผย สำหรับผม คาบูลเป็นเมืองแห่งสีสันของชีวิต ทั้งสีสันที่สดใสและหมองหม่นสลับทับซ้อนกันอยู่ในเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเป้าหมายหลัก ในการถล่มของกองทัพอเมริกัน
      บนท้องถนนที่อึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงเพลงสากลจากร้านขายเทปและซีดีข้างถนน มีภาพของรถถังคันใหญ่เคลื่อนตัวผ่านให้เห็นเป็นระยะ ๆ เด็กกลุ่มใหญ่ยืนอออยู่หน้าร้านขายของที่เต็มไปด้วยสินค้าจากอเมริกา โคคา-โคล่า ช็อกโกแลต อุปกรณ์ยังชีพของทหาร มองปราดเดียวผมก็รู้ว่าสินค้าที่วางขายล่อตาล่อใจเด็ก ๆ อยู่นี้เป็นสินค้าที่ทหารอเมริกันนำติดตัวมา ภาพที่อยู่เบื้องหน้าผม ทำให้ผมต้องถามตัวเองหลายครั้งว่า ผมยืนอยู่ที่เมืองหลวงของประเทศในตะวันออกกลาง ที่คุกรุ่นด้วยไฟสงครามกลางเมืองมาตั้งแต่ทศวรรษ ๑๙๗๐ จริงหรือ เสียงตะโกนภาษาอังกฤษแปร่ง ๆ ของเจ้าหนูอัฟกันที่ร้องขอช็อกโกแลตจากทหารอเมริกันทำให้ผมยืนอมยิ้มอยู่พักใหญ่ อย่างน้อยนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเด็ก ๆ ที่นี่พูดภาษาอังกฤษ
      ก่อนเดินทางมายังอัฟกานิสถานในครั้งนี้ ผมคิดว่าบ้านเมืองจะเข้าสู่ความสงบแล้ว จนเมื่อมาถึงที่คาบูลผมจึงได้รู้ว่าผมคิดผิด เพราะวันหนึ่งขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนน ไกลออกไปเบื้องหน้าก็เห็นผู้คนวิ่งกันอลหม่าน พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่ามีเศษกระจกแตกกระจายอยู่เกลื่อนพื้นกับเลือดที่ไหลนอง ทำให้ผมรู้ว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ชาวบ้านเล่าว่าเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมามีเหตุระเบิดเกิดขึ้น โดยดังมาจากรถที่จอดอยู่หน้าอาคารที่ผมยืนอยู่ในเวลานี้ ผมไม่เห็นผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่ชาวบ้านบอกว่ามีคนประมาณ ๓๐ คนที่ได้รับบาดเจ็บ และถูกลำเลียงไปยังโรงพยาบาลแล้ว พวกเขายังบอกอีกด้วยว่า เหตุระเบิดเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแม้จะผ่านช่วงสงครามมาแล้วก็ตาม
(คลิกดูภาพใหญ่)       ด้วยความที่คาบูลเป็นเมืองใหญ่ เราจึงใช้เวลาที่เมืองนี้นานที่สุด สิ่งแรกที่เราทำเมื่อมาถึงคือหาที่พัก เราได้ที่พักเป็นเกสต์เฮาส์เล็ก ๆ ที่ราคาไม่เล็กตามขนาด ๔๐ เหรียญอเมริกันคือราคาค่าห้องต่อคืน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ต้องนอนพัก ในโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล โรงแรมที่ดีที่สุดในกรุงคาบูล เพราะเมื่อครั้งที่ตอลิบานยังเรืองอำนาจ คนต่างชาติทุกคนที่เข้ามายังคาบูลจะต้องเข้าพักยังโรงแรมแห่งนี้ เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมติดตามของรัฐบาล 
      ช่วงแรกของการบันทึกเรื่องราวในเมืองคาบูล เราใช้เวลาโดยการเดินสำรวจเมืองไปเรื่อย ๆ ตลาดเช้าคึกคักไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อหาของกินและเสื้อผ้าเครื่องใช้ สิ่งที่แปลกตาผมมากอย่างหนึ่งคือ มีเสื้อชั้นในของผู้หญิงวางขายอย่างเปิดเผยด้วย การสิ้นสุดของรัฐบาลตอลิบานถือเป็นการปลดแอกผู้หญิงอัฟกัน ผมได้เห็นภาพหลายอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น บนแผ่นดินที่ผู้หญิงถูกกำหนดให้เป็นประหนึ่ง พลเมืองชั้นสองมาไม่ต่ำกว่าห้าปี ตามระยะเวลาการปกครองประเทศของตอลิบาน
      ในร้านไอศกรีม หญิงสาวสองคนในชุดเครื่องแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม นั่งพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข เพียงแต่ทุกครั้งที่จะลิ้มรสไอศกรีมโคนในมือ เธอต้องใช้มืออีกข้างเลิกชายผ้าที่คลุมถึงคางขึ้นเพื่อเอาไอศกรีมเข้าปาก ผมไม่อาจหาญที่จะวิพากษ์วิจารณ์หลักคำสอนของศาสนา แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า หากไม่มีผ้าคลุมหน้ามิดชิดขนาดนี้ รสชาติไอศกรีมในมือเธอคงจะอร่อยขึ้น
(คลิกดูภาพใหญ่)       การถล่มอย่างหนักของอเมริกาและพันธมิตรฝ่ายเหนือ ทำให้หลายส่วนของคาบูลมีสภาพไม่ต่างจากซากเมือง ผมเดินไปยังพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียน แม้วันนี้จะกลายสภาพจากอาคารที่สมบูรณ์เป็นซากตึก แต่มันก็ยังคงทำหน้าที่ในฐานะแหล่งความรู้ ให้แก่ชาวคาบูลอยู่ นักเรียนนั่งเรียนหนังสือกันบนพื้น ไม่มีโต๊ะ ไม่มีเก้าอี้ มีเพียงแผ่นไม้ขนาดเล็กที่รับบทเป็นกระดานดำวางอยู่หน้าชั้นเรียน โรงเรียนบางแห่งโชคดี โต๊ะ เก้าอี้ไม่ได้ถูกทำลายในระหว่างสงคราม แต่ก็มีจำนวนไม่พอสำหรับนักเรียน ดังที่ทราบกันดีว่าในช่วงที่ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลตอลิบาน ผู้หญิงจะถูกกำหนดบทบาทให้เป็นเพียงแม่และเมีย ซึ่งต้องขังตัวเองอยู่ภายในบ้านเท่านั้น โรงเรียนไม่ได้เป็นสถานที่สำหรับเธอ เมื่อสิ้นยุคแห่งการกดขี่ ผู้หญิงจึงมีโอกาสเดินเข้าสู่ระบบการศึกษาอีกครั้งหนึ่ง และนั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมจึงเห็นหญิงสาวหลายคน ร่วมชั้นเรียนกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในห้องเรียนระดับประถมศึกษา ระบบโรงเรียนในอัฟกานิสถานจะไม่มีการเรียนรวมหญิงชาย โรงเรียนจะแบ่งเป็นโรงเรียนชายล้วนและหญิงล้วน 
      แม้จะมีเศษซากของสงครามตกค้างให้เห็นอยู่ทั่วไป แต่พื้นที่ย่านธุรกิจของคาบูล ก็มีชีวิตชีวาและมีกลิ่นอายของความเป็นเมือง ในนิยามแบบตะวันตก ท้องถนนในย่านตัวเมืองของคาบูลดูคึกคักกว่าคราวก่อนที่ผมมาเยือน รถยนต์วิ่งขวักไขว่ หลังสงครามยุติและมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศมาที่นี่มาก ส่วนใหญ่เป็นรถขององค์การสหประชาชาติ และกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน ที่เข้ามาร่วมมือกันทำงานฟื้นฟูเมืองและสังคมให้คาบูล 
(คลิกดูภาพใหญ่)       ตึกรามที่รอดพ้นจากภัยสงครามหลายแห่ง ถูกปรับแต่งเป็นสถานเสริมความงามสำหรับสุภาพสตรี ผมมีโอกาสแวะเข้าไปที่ร้านเสริมสวยแห่งหนึ่ง ในเวลาเดียวกับที่สาวคนหนึ่งกำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้าอยู่ มีคนบอกผมว่าเธอกำลังจะเป็นเจ้าสาวในเย็นวันนั้น ด้านนอกร้านมีหญิงสาวหลายคนยืนมุงดูเธออยู่
หากร้านเสริมสวยจะเป็นพื้นที่ของหญิงสาว โรงภาพยนตร์ก็น่าจะเป็นที่รวมตัวกันของผู้ชายคาบูล 
      ตลอดยุคของตอลิบาน มหรสพนับเป็นสิ่งต้องห้ามของชาวอัฟกัน วันนี้เมื่อเสรีภาพไม่ได้ถูกจองจำ ภาพยนตร์จึงกลับมาได้รับความนิยมอย่างสูง ในขณะที่เดินผ่านไปหน้าโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่กลางเมือง ผมเห็นคนจำนวนมากยืนอออยู่หน้าโรงเพื่อรอเวลาหนังฉาย การห้ามชมมหรสพในยุคของรัฐบาลตอลิบาน ทำให้วงการภาพยนตร์ของอัฟกานิสถานถูกจองจำไปด้วย ในวันนี้พวกเขาไม่มีภาพยนตร์ที่ผลิตเองมาฉาย หนังส่วนใหญ่จะนำมาจากอินเดีย หรือไม่ก็เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูด ผมเห็นรูปของแจ็กและโรสจาก ไททานิก ประดับอยู่ตามร้านอาหารและทางเดินในที่สาธารณะหลายแห่ง ผมได้คุยกับหนุ่มที่เป็นช่างตัดต่อภาพยนตร์คนหนึ่ง เขาบอกกับผมว่าอยากยกระดับโรงภาพยนตร์ในคาบูลให้ดียิ่งขึ้น อย่างน้อยก็เป็นการสานต่อความฝันของพ่อเขาที่เป็นอดีตคนฉายหนัง และต้องเสียชีวิตด้วยกระสุนปืนจากสงครามที่หน้าโรงภาพยนตร์ที่ตนเองทำงานอยู่ 
      กว่าสองสัปดาห์ในกรุงคาบูล ผมมีโอกาสไปเยือนสถานที่หลายแห่ง ที่ผมตั้งใจว่าจะต้องไปให้ได้ ขณะเดียวกันผมก็ได้ไปเยือนสถานที่บางแห่งที่ผมไม่อยากไปด้วย
(คลิกดูภาพใหญ่)       จากสภาพอากาศที่ร้อนรุนแรงในตอนกลางวัน และหนาวถึงกระดูกในตอนกลางคืน ประกอบกับอาหารที่ไปกันไม่ค่อยได้กับระบบการย่อยของผม ทำให้ผมต้องระเห็จเข้าไปนอนในโรงพยาบาลคาบูลหนึ่งคืน แม้ผมไม่เต็มใจที่จะมาที่นี่ในครั้งแรก แต่เมื่อได้รับอนุญาตจากคุณหมอให้กลับบ้านได้ ผมกลับต้องรีบกลับมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้อีกครั้ง พร้อมด้วยอุปกรณ์ในการทำงาน โดยมีศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ จากการเหยียบกับระเบิดแห่งโรงพยาบาลคาบูล เป็นเป้าหมาย
      ศูนย์ฟื้นฟูแห่งนี้มีภาระหน้าที่หลักคือ ผลิตขาเทียมสำหรับผู้ที่สูญเสียขา จากการเหยียบกับระเบิด ที่ถูกฝังไว้มากมาย และการฝึกให้ผู้ใช้ขาเทียมเหล่านี้เดินได้คล่องตัว โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การกาชาดสากล ให้ผลิตขาเทียมให้แก่ผู้ป่วย เบื้องหน้าผมมีคนทุกเพศทุกวัยรวมกันอยู่ที่ศูนย์แห่งนี้ บ้างอยู่ระหว่างการพักฟื้นรอแผลแห้ง บ้างอยู่ระหว่างการรอขาเทียม บ้างอยู่ในช่วงของการหัดเดิน เด็กน้อยวัยไม่เกินเจ็ดขวบคนหนึ่ง ร้องไห้จ้าเมื่อเจ้าหน้าที่พยายามใส่ขาเทียมให้
      พื้นที่รอบ ๆ กรุงคาบูลเป็นแหล่งรวมของกับระเบิดใต้ดิน เหยื่อส่วนใหญ่ของกับระเบิดเหล่านี้ เป็นเกษตรกรที่พาแกะไปเลี้ยงตามที่ว่างชานเมือง ภัยจากกับระเบิดเป็นควันหลงของสงคราม ที่คุกคามชีวิตพลเรือนอัฟกันอยู่ตลอดเวลา องค์กรเอกชนระหว่างประเทศชื่อ Halo Trust กำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการกู้กับระเบิดให้ได้มากที่สุด โดยมีสุนัขที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีเป็นผู้ช่วย 
      ระหว่างเดินทางออกนอกเมืองเพื่อดูการกู้กับระเบิด ผมได้เห็นเด็กจำนวนมาก ต้องกลายเป็นผู้ใช้แรงงาน องค์กร Save the Children ของอเมริกาที่มาเปิดสำนักงานในกรุงคาบูลรายงานว่า ปัจจุบันมีเด็กไม่ต่ำกว่า ๕ หมื่นคน ที่ต้องออกมาทำงานบนท้องถนนของกรุงคาบูล
      ที่เชิงเขาชานเมือง เด็กอายุประมาณ ๗-๑๐ ขวบกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเรียงหนึ่งขึ้นไปบนยอดเขา และหายไปพักใหญ่ ก่อนจะกลับมาพร้อมด้วยก้อนน้ำแข็งบนบ่า ถึงแม้ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงฤดูร้อน แต่ภูเขาบางแห่งก็ยังคงปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ผมบรรยายความรู้สึกตัวเองไม่ถูก เมื่อทราบภายหลังว่า เด็กกลุ่มนั้นรับจ้างร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในกรุงคาบูลให้มาขนน้ำแข็ง เพื่อไปทำไอศกรีม ด้วยค่าแรงน้อยกว่าวันละ ๑ เหรียญสหรัฐ
(คลิกดูภาพใหญ่)       ภาพความรันทดในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพฯ และการใช้แรงงานเด็ก ทำให้ผมและเพื่อนร่วมงาน ตกลงกันว่าเราควรเดินทางไปหาสีสันที่สดใสของคาบูลกันบ้าง 
      สำนักงานกองบรรณาธิการนิตยสารผู้หญิงฉบับแรกและฉบับเดียว ของอัฟกานิสถานเป็นเป้าหมายของเรา นิตยสารเล่มนี้มีชื่อที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Day หรือกลางวัน บรรณาธิการสาววัย ๓๒ ปี ผู้มีอดีตเป็นผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ บอกกับเราว่า สำหรับชาวอัฟกัน ช่วงเวลาภายใต้การปกครองของตอลิบาน เปรียบเหมือนกลางคืนที่ยาวนาน เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองจากการยอมแพ้ของตอลิบาน ทำให้ชาวอัฟกันได้สัมผัสกับกลางวันอีกครั้งหนึ่ง 
      สำหรับผม สำนักงานที่มีลักษณะเป็น Home Office ของนิตยสารแห่งนี้จัดเป็นพื้นที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของเมืองคาบูล ซึ่งแน่นอนว่ามันยังเทียบไม่ได้กับความทันสมัย ของสำนักงานนิตยสารที่ใดในโลก คอมพิวเตอร์สามเครื่อง และโต๊ะตัวใหญ่สำหรับประชุมกองบรรณาธิการที่มีกันอยู่ ๑๐ คน เป็นอุปกรณ์การทำงานที่สำคัญ ด้วยการสนับสนุนทางการเงิน และคำแนะนำในการทำนิตยสารจาก Elle นิตยสารแฟชั่นชั้นนำระดับโลก ทำให้หนังสือผู้หญิงรายเดือนฉบับแรก และฉบับเดียวของประเทศ มีรูปร่างหน้าตาไม่ต่างจาก Elle เท่าใดนัก ปัจจุบันนิตยสารเล่มนี้มียอดพิมพ์ประมาณ ๕,๐๐๐ เล่ม และวางขายเฉพาะในกรุงคาบูลเท่านั้น 
      การเดินทางมายังคาบูลในเดือนกันยายน ทำให้ผมมีโอกาสเข้าร่วมงานรำลึกการจากไปของนายพลมาซูด (General Ahmed Shah Masood) อดีตผู้นำกองทหารพันธมิตรฝ่ายเหนือ วันที่ ๙ เดือนเดียวกันของปีที่แล้ว นายพลมาซูดถูกลอบสังหาร จากกลุ่มคนที่เชื่อกันว่าน่าจะเป็นทหารตอลิบาน ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ถล่มตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ ในนิวยอร์กเพียงไม่กี่วัน มาซูดเป็นกำลังสำคัญของพันธมิตรฝ่ายเหนือ ในการต่อสู้เพื่อปลดแอกประเทศ จากการกดขี่ของตอลิบาน เขาเป็นวีรบุรุษในใจของชาวอัฟกันทั่วประเทศ แม้จะเสียชีวิตไปแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ตามบ้านเรือนของชาวอัฟกันก็ยังคงมีรูปเขาประดับอยู่
(คลิกดูภาพใหญ่)       งานรำลึกหนึ่งปีแห่งการจากไปของนายพลมาซูด จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สนามกีฬากลางเมืองโดยรัฐบาล ประชาชนนับหมื่นมารวมงานที่อาจจะถือว่าใหญ่ที่สุดนับจากตอลิบานถูกโค่นล้ม ภาพของนายพลมาซูดขนาดใหญ่ ประดับอยู่รอบสนามกีฬากลางแจ้ง และอีกจำนวนไม่น้อย ชูอยู่ในมือของประชาชนที่มาร่วมงาน สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจที่สุดในงานรำลึกนี้ ไม่ใช่การเดินขบวนของกองทหารเกียรติยศ หรือเครื่องบินจากกองทัพที่บินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือศีรษะ แต่เป็นขบวนจักรยานของชาวเมืองที่ศรัทธาในตัวมาซูด 
      ขบวนจักรยานประมาณ ๓๐ คันประดับด้วยธงหลากสี เคลื่อนตัวจากกรุงคาบูลในเวลาไล่เลี่ยกับแสงแรกของพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า มุ่งหน้าสู่หุบเขา Panjshir บ้านเกิดของมาซูด และฐานที่มั่นทางทหารที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่ง ของกองทัพพันธมิตรฝ่ายเหนือ เด็กหนุ่มที่ร่วมขบวนบอกว่า พวกเขาต้องใช้เวลาปั่นจักรยานประมาณ ๑๐ ชั่วโมงจึงจะถึงที่หมาย วัตถุประสงค์ที่ทำให้พวกเขาอุทิศเวลา ปั่นจักรยานลัดเลาะไปตามหุบเขาที่ร้อนและแล้ง ก็เพื่อไปสวดมนต์แสดงความเคารพ และขอพรพระเจ้าให้ปกป้องดวงวิญญาณของมาซูด นายทหารที่อุทิศตน เพื่ออิสรภาพและเสรีภาพของอัฟกานิสถาน
  กันดะฮาร์และจะลาลาบาด 
จากฐานที่มั่นสู่สุสานอัลกออิดะห์
(คลิกดูภาพใหญ่)       กันดะฮาร์ (Kandahar) และจะลาลาบาด (Jalalabad) ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศ ไม่ไกลจากแนวชายแดนที่แยกอัฟกานิสถานออกจากปากีสถาน กันดะฮาร์เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ และเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของตอลิบานที่ถูกตีแตก จากการผนึกกำลังกันของทหารอเมริกันกับพันธมิตรฝ่ายเหนือ ผมเลือกบันทึกเรื่องราวของสองเมืองนี้ควบคู่กันไป ไม่เพียงเป็นเพราะทั้งสองเมืองมีอาณาเขตติดต่อกัน แต่ยังเป็นเพราะเห็นว่าทั้งสองเมืองมีเรื่องราวที่ไม่แตกต่างกัน เป็นเรื่องของความเศร้าและความตาย
      สิ่งแรกที่ผมเห็นในการเดินทางระหว่างสองเมืองนี้ คือซากรถถังที่ถูกทิ้งเรียงรายตามถนนและที่ว่างเปล่า ครั้งหนึ่งรถถังเหล่านี้เคยเป็นอาวุธสงครามที่ทรงประสิทธิภาพ บัดนี้มันกลายสภาพเป็นของเล่นให้บรรดาเด็กชายชาวอัฟกันปีนป่ายกันอย่างสนุกสนาน เด็กบางคนยืนยิ้มโพสต์ท่าให้ผมถ่ายรูปคู่กับอนุสรณ์ของสงครามอย่างภูมิใจ รถถังบางคันมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นของตกค้างจากอดีตสหภาพโซเวียต รัสเซีย สมัยที่ทำสงครามกลางเมืองกับอัฟกานิสถานในช่วงทศวรรษ ๑๙๗๐ 
      ดังที่ผมเกริ่นไว้แต่แรกว่า สำหรับผม อัฟกานิสถานเป็นดินแดนต้องคำสาปของสงคราม สงครามระหว่างอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซีย กับชาวพื้นเมืองของอัฟกานิสถานเปิดฉากขึ้นช่วงทศวรรษ ๑๙๗๐ ตอนนั้นโซเวียตรัสเซียต้องการขยายอาณาเขตลัทธิคอมมิวนิสต์ และต้องการครอบครองพื้นที่ทางตอนเหนือของอัฟกานิสถาน ขณะที่สหรัฐฯ เองก็เกรงว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จะขยายตัว สหรัฐอเมริกาในวันนั้นจึงให้การสนับสนุนทั้งทางด้านอาวุธ กำลังเงิน และการฝึกทหารให้แก่อัฟกานิสถาน จากนั้นกองโจรมูจาฮีดีนที่ขึ้นชื่อก็เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลอเมริกัน และภายหลังกองโจรมูจาฮีดีนก็ได้กลายมาเป็นกลุ่มอัลกออิดะห์ ที่รัฐบาลอเมริกาในวันนี้พยายามกวาดล้าง ในข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายของโลก 
(คลิกดูภาพใหญ่)       นับจากสงครามกับอดีตสหภาพโซเวียตเป็นต้นมา อัฟกานิสถานก็ต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองมาโดยตลอด แม้กระทั่งเมื่อรัฐบาลตอลิบานเข้ายึดอำนาจปกครองประเทศในช่วงกลางทศวรรษ ๑๙๙๐ ควันไฟของสงครามก็ยังไม่จางหาย เพิ่งจะมีช่วงเวลา ๑๐ เดือนหลังจากตอลิบานประกาศวางอาวุธนี่เอง ที่ดูเหมือนความร้อนแรงของสงครามจะทุเลาลง
      บริเวณเทือกเขาสลับซ้อนซ้อนระหว่างทั้งสองเมือง เป็นที่ตั้งของโตรา โบลา (Tora Bola) เทือกเขาที่เต็มไปด้วยถ้ำเล็กถ้ำน้อยภายใน วันนี้ถ้ำที่ซ่อนอยู่ตามหลืบเขาเหล่านั้น ถูกเปิดจนพรุนด้วยกำลังอาวุธของอเมริกา และพันธมิตรฝ่ายเหนือ ด้วยความเชื่อว่าน่าจะเป็นที่ซ่อนตัวของ อุซามะห์ บิน ลาดิน (Usama bin ladin) ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ ที่อเมริกาเชื่อว่าเป็นผู้ก่อเหตุโศกนาฏกรรมช็อกโลกในวันที่ ๑๑ กันยายน 
      บริเวณที่ราบแห่งหนึ่งในโตรา โบลา เป็นที่ตั้งของหลุมศพขนาดใหญ่ ชาวบ้านบอกว่าซากศพที่ถูกฝังอยู่ในหลุมนั้น เป็นอดีตทหารของตอลิบานและอัลกออิดะห์ ที่เสียชีวิตในระหว่างสงครามครั้งล่าสุด ทหารตอลิบานที่รอดชีวิตได้ นำศพของเพื่อนร่วมกองทัพมาฝังรวมกันไว้ รอบ ๆ หลุมศพมีธงผ้าหลากสีประดับอยู่ ผมได้เห็นหลุมศพในลักษณะเดียวกันนี้อีกหนึ่งหลุม ที่ชานเมืองกันดะฮาร์
สภาพในเมืองกันดะฮาร์ไม่ต่างจากเมืองอื่นที่ผมพบมา ซากปรักหักพังของตึก ยังคงเป็นฉากที่สำคัญของเมือง ผมหยุดยืนอยู่หน้าซากอาคารสีขาวหลังหนึ่ง คนที่นี่บอกผมว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นบ้านพักของ มุลลาห์ โมฮัมมัด โอมาร์ (Mullah Mohammad Omar) ผู้นำตอลิบาน 
(คลิกดูภาพใหญ่)       ขณะเดินอยู่บนถนน ผมมองเห็นคนมุงอะไรบางอย่างอยู่จึงเดินเข้าไปร่วมมุงกับเขาบ้าง ที่เห็นอยู่เบื้องหน้า เป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดความสูงระดับสายตา มีเด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ทางด้านหนึ่งของกล่อง อีกด้านมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนอยู่ ด้วยสัญชาตญาณผมรู้ได้ทันทีว่ากล่องไม้สี่เหลี่ยมนั้นคือกล้องถ่ายภาพ แม้จะเป็นช่างภาพมืออาชีพที่นิยมอุปกรณ์ทันสมัย แต่ผมก็อดทึ่งในความเก่าแก่คลาสสิก ของกล้องโบราณตรงหน้าผมไม่ได้ ภาพที่ได้ออกมาจากกล้องนั้นจะเป็นภาพหน้าตรงสำหรับติดบัตร กล้องรุ่นคลาสสิกนี้ถ่ายภาพติดบัตรได้ครั้งละหนึ่งภาพ หากต้องการมากกว่านี้ก็ต้องถ่ายใหม่ ในช่วงระหว่างการฟื้นฟูเมือง การเปิดรับถ่ายภาพติดบัตร เป็นธุรกิจที่ทำรายได้ให้แก่คนท้องถิ่นที่มีกล้องมาก เพราะแต่ละวันจะมีคนจำนวนมาก มาถ่ายภาพเพื่อใช้สมัครงานในองค์กรของต่างชาติ หน่วยงานราชการ และบริษัทเอกชนที่เริ่มเข้ามาลงทุนในประเทศ
      ผมแวะไปดูร่องรอยของสงครามที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ที่ที่ทำให้ผมต้องเดินออกมาด้วยความรันทดใจ ในห้องพักฟื้นผู้ป่วยห้องหนึ่ง ผมเห็นเด็กชายอายุไม่น่าจะเกิน ๑๒ ขวบกำลังยืนเฝ้าไข้น้องชายที่ขาหัก เด็กชายเล่าผ่านล่ามให้ผมฟังว่า น้องชายของเขาเป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายจำนวนหลายร้อยคน ที่ได้รับบาดเจ็บ จากการทิ้งระเบิดผิดเป้าหมายของเครื่องบินอเมริกัน วันหนึ่งขณะที่น้องชายพร้อมด้วยสมาชิกในครอบครัว ไปร่วมงานแต่งงานที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตอนใต้ ระเบิดก็หล่นลงมากลางงาน ทำให้มีคนมากกว่า ๔๐ คนต้องเสียชีวิต โชคดีที่เขาไม่ต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัว ไปด้วยความสะเพร่าทางการทหารของมหาอำนาจ มีเพียงน้องชายของเขาเท่านั้นที่ต้องรับเคราะห์ ซึ่งเมื่อเทียบกับผู้เคราะห์ร้ายรายอื่นจากเหตุการณ์เดียวกันแล้ว ก็ยังถือว่าโชคดีมาก
(คลิกดูภาพใหญ่)       ที่จะลาลาบาด แม้จะไม่มีซากรถถังทิ้งไว้เป็นของเล่นให้เด็กมากเท่าที่กันดะฮาร์ แต่ที่นี่เด็กวัยรุ่นยังคงใช้ชีวิต วนเวียนอยู่กับอาวุธที่ใช้ประหัตประหารกัน จะลาลาบาดมีร้านขายปืนเปิดใหม่เป็นจำนวนมาก ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมรัฐบาลอัฟกัน จึงยอมให้ประชาชนครอบครองอาวุธปืนได้ง่าย ๆ ใครมีเงินก็สามารถมีปืนได้ ผมเห็นเด็กวัยรุ่นหลายคนใช้ชีวิตในตอนกลางวัน ให้หมดไปด้วยการเดินดูร้านขายปืน ซึ่งแต่ละร้านจะมีคนมุงดูอยู่เป็นจำนวนมาก 
      ก่อนออกจากจะลาลาบาด ผมและทีมงานมีโอกาสแวะไปที่บ้านพักของผู้ว่าราชการจังหวัด ที่นี่ผมเห็นเด็กวัยรุ่นนั่งเล่นปืน ราวกับมันเป็นของที่ผลิตมาเพื่อเป็นของเล่นสำหรับเขา เด็ก ๆ เหล่านั้นเป็นลูกหลานของอดีตทหารพันธมิตรฝ่ายเหนือ ที่ไม่อยากจับปืนในฐานะทหารอาชีพอีกต่อไป จึงลาออกมาประกอบอาชีพเป็นฝ่ายรักษาความปลอดภัยส่วนตัว ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด นอกเหนือจากความเบื่อที่พวกเขาบอกผมแล้ว ผมเชื่อว่าเหตุผลหลักอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้มีอดีตทหารของกองทัพพันธมิตรฝ่ายเหนือ (ที่ปัจจุบันมีฐานะเป็นกองทัพแห่งชาติอัฟกานิสถาน) หันหลังให้กองทัพ แล้วมาเป็นฝ่ายรักษาความปลอดภัย น่าจะเป็นเพราะเงินเดือนของทหารอาชีพ แห่งกองทัพรัฐบาลนั้นน้อยมาก เพียงเดือนละ ๓๐ เหรียญสหรัฐเท่านั้น
      ......................................................
      หากจะให้ผมเทียบเรื่องราวความเคลื่อนไหว ที่เกิดขึ้นในอัฟกานิสถานตลอดหนึ่งเดือนของการเดินทางครั้งนี้ กับการเดินทางครั้งก่อนแล้ว ผมว่าผมเห็นพัฒนาการทางด้านบวกของประเทศนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้หลายอย่างจะยังแสดงให้เห็นถึงการคงอยู่ของความขัดแย้งและความรุนแรง แต่ผมก็ได้เห็นถึงความพยายามในการฟื้นฟูและสร้างชาติ 
      ยังไม่มีใครทำนายได้ว่าอัฟกานิสถานจะมีโฉมหน้าอย่างไรในวันพรุ่งนี้ สิ่งเดียวที่ผมคาดหวังก็คือ ขอให้พวกเขาได้หลุดพ้นจากคำสาปของสงครามเสียที
  เกี่ยวกับผู้เขียน
(คลิกดูภาพใหญ่)       โทรุ โยโกตะ เป็นช่างภาพข่าวอิสระชาวญี่ปุ่นที่เดินทางไปแล้วทั่วโลก ภายหลังการวางอาวุธของกองทัพตอลิบาน เขาได้เดินทางไปที่อัฟกานิสถานสองครั้ง โดยใช้เวลาอยู่ที่นั่นครั้งละประมาณหนึ่งเดือน