นิตยสาร สารคดี: ฉบับที่ ๒๑๖ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ | ISSN 0857-1538 |
|
ฉบับหน้า แอบดู ฉากรักของสัตว์โลก |
"ข้าพเจ้ากลัวในความต้องการของตัวเอง ความไม่รู้จักเพียงพอ ความไม่รู้จักจบสิ้น กลัวที่จะต้องตามสังคม เขามีเช่นไรข้าพเจ้าจะต้องตะเกียกตะกายหาให้มีเท่าและเหมือน สังคมมีสิ่งฟุ่มเฟือย ตกแต่งมากเท่านี้ ข้าพเจ้าจะต้องมีตาม สังคมมีเหรียญตรา มียศ และขั้นเท่านั้น ข้าพเจ้าจะต้องไล่กวดตาม ชีวิตสันโดษ พอใจแค่เฉพาะที่มี และความมักน้อยจะหมดไปหรือนี่"
โกมล คีมทอง
หากสวนดุสิตโพลทำการสำรวจว่า คนไทยเคยได้ยินชื่อ โกมล คีมทอง หรือไม่
ผมเชื่อว่า คงมีไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซนต์ |
||
ไม่เพียงเท่านั้น ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยสี่ปี เขาอุทิศให้กับกิจกรรมการออกค่ายอาสาพัฒนา ไปเรียนรู้ชีวิตของคนยากคนจน เห็นปัญหาการขาดแคลนครูในชนบทอันห่างไกล สวนทางกับกิจกรรมส่วนใหญ่ของนิสิต นักศึกษาในเวลานั้น สุดท้ายเมื่อจบเป็นบัณฑิต โกมล คีมทองเลือกหนทางเดินของตัวเองที่ตั้งใจไว้ คือออกจากเมืองกรุง สละความสุขส่วนตัว เดินทางลึกเข้าไปในท้องถิ่นทุรกันดาร เป็นครูสอนหนังสือให้แก่เด็กที่โรงเรียนเหมืองห้วยในเขา อำเภอบ้านส้อง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดินแดนสีชมพูที่ยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งอย่างรุนแรง ระหว่างฝ่ายรัฐบาล และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่โกมล ใช้ชีวิตเป็นครูในอุดมคติได้ไม่ถึงปี ก็ถูกลอบสังหารพร้อมกับคุณรัตนา สกุลไทย บัณฑิตอักษร จุฬาฯรุ่นพี่ที่เดินทางไปช่วยสอนหนังสือ ด้วยฝีมือของคนในป่าที่เข้าใจผิดคิดว่า ทั้งสองคนเป็นสายให้กับทางการ เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ โกมลตายอายุยังไม่ครบ ๒๕ ปี แต่ได้ส่งผลสะเทือนให้กับปัญญาชนในยุคนั้น และกลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับคนหนุ่มสาวหลายคน เลือกทางเดินเพื่อทำงานเสียสละให้กับสังคม และคนยากไร้ ในเวลาต่อมา โกมล คีมทอง ได้กลายเป็นบุคคลในอุดมคติของนิสิต นักศึกษาจำนวนมาก และ มีส่วนทำให้พลังของขบวนการนักศึกษาในเวลาต่อมาเข้มแข็งมากขึ้น จนสามารถยืนหยัดขึ้นต่อสู้อำนาจเผด็จการได้ ในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ โกมล คีมทอง ไม่ใช่นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่นักทฤษฎีที่ตกผลึกทางความคิดอย่างชัดเจน และไม่เคยได้รับการยกย่องให้เป็นศิษย์เก่าดีเด่น ของโรงเรียนสวนกุหลาบ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาเป็นเพียงครูเล็ก ๆ ธรรมดาคนหนึ่ง ที่กล้าหาญพอที่จะเลือกเส้นทางเดินชีวิตอย่างที่เขาเลือก แม้ว่าจะเป็นชีวิตที่สวนกระแสสังคมส่วนใหญ่ และยิ้มรับกับชะตากรรมที่เขาเลือก ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สอนให้รู้ว่า สังคมไทยขาดคนกล้าเสมอ "สิ่งที่สาธุชนทำลงไว้ ถึงจะเล็กน้อย ก็ยั่งยืนเหมือนรอยที่จาฤกไว้ในศิลา สิ่งที่ชนต่ำช้าทำลงไว้ ย่อมพินาศไปโดยเร็ว เหมือนรอยที่ขีดลงในน้ำ" วยาการณศตกะ |
|||
|