หลายเดือนที่ผ่านมา เราคงได้ยินข่าวอภิมหาโครงการจัดการน้ำภาคกลางมูลค่า 350,000 ล้านบาทของรัฐบาล ที่ได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว โดยอ้างว่าเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ ดังที่เกิดขึ้นในปี 2554
หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ข่าวใหญ่ในรอบปี คือสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านวาระสองสาม พรบ.นิรโทษกรรม ในยามวิกาลตีสาม ตีสี่อย่างฉุกละหุก โดยเนื้อแท้กลายเป็นการนิรโทษกรรมนักการเมืองตั้งแต่ปีพ.ศ.2547 จนถึงปีพ.ศ.2556 ซึ่งเป็นการเหมาเข่งให้นักการเมืองพ้นผิดตั้งแต่กรณีตากใบ กรือเซะ และมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ดั้งเดิมของพรบ.นี้ที่เกี่ยวข้องกับผลพวงของการทำรัฐประหาร 2549
พรบ.นิรโทษกรรมนี้ จึงได้ฉายาว่า พรบ.เหมาเข่ง เช่นเดียวกับโครงการจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาทที่เป็นการเหมาเข่งหลายโครงการรวมกัน
โครงการนี้รัฐบาลอ้างว่า เป็นโครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมภาคกลางแบบเบ็ดเสร็จ จึงใช้วิธีการประมูลงานที่เรียกว่า Design and Build เป็นวิธีการที่เจ้าของโครงการรวมเอาการออกแบบและการก่อสร้างไว้ที่ผู้รับเหมารายเดียวกันในลักษณะ One Stop Service คือจ้างครั้งเดียวเบ็ดเสร็จทุกขั้นตอนผู้รับเหมาที่ได้งานก็จะมีหน้าที่ตั้งแต่การออกแบบโครงการทั้งหมดตลอดจนการก่อสร้างให้แล้ว
คนในวงการทราบดีว่าวิธีการประมูลแบบ Design and Build มีข้อดีคือ ผู้รับเหมาและผู้ออกแบบเป็นพวกเดียวกัน ทำให้งานเสร็จได้รวดเร็ว ข้อเสียคือเป็นวิธีการที่มีโอกาสคอรัปชั่นสูงมาก เพราะคนออกแบบกับคนรับเหมาเป็นฝ่ายเดียวกัน อาจจะมีการฮั้วกัน ไม่มีการตรวจสอบชัดเจน
ประเทศที่ใช้วิธีนี้มากสุดคือ ญี่ปุ่น เพราะผู้รับเหมากับเจ้าของมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันสูงว่าทั้งสองฝ่ายจะซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา
เมื่อมาใช้วิธีการนี้กับประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นติดอันดับโลกแบบบ้านเราที่มีเงินทอนสูงถึง 40 % คงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนเริ่มต้นโครงการ 350,000 ล้านบาทจึงมีเพียงแนวคิดกว้าง ๆเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ อันเกิดจาก TOR เล่มเล็กๆเพียงเล่มเดียว เสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการน้ำ และตั้งงบประมาณ อนุมัติเงิน หาผู้รับเหมาได้แล้ว ให้ผู้รับเหมาไปคิดออกแบบว่าจะทำอะไร ทั้ง ๆที่ไม่เคยถามคนในพื้นที่ว่าคิดอย่างไร ทั้ง ๆที่ต้องมีการเวนคืนทีดินมหาศาล เวลาสื่อมวลชนถามรายละเอียด ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ อ้างว่ากำลังชอปปิ้งไอเดียอยู่
สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เคยวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ขาดความชัดเจน รีบร้อน ไม่ถูกหลักวิศวกรรม ในภาพรวมของการแก้ปัญหา ยังขาดการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมรวมของระบบลุ่มน้ำซึ่งสัมพันธ์กัน และยังมิได้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อโครงการก่อนทำการออกแบบ
โครงการนี้เปิดซองประมูลแล้ว มีกลุ่ม 6 บริษัทได้รับการแบ่งเค็กไปเรียบร้อย และตลกร้ายคือไอเดียในการออกแบบ บริษัทเหล่านี้ก็เอาแนวคิดส่วนใหญ่มาจากโครงการต่าง ๆ ของกรมชลประทานในอดีตที่ไม่ผ่านการอนุมัติมาเหมาเข่งรวมกัน ไม่ว่าโครงการเขื่อน สร้างคลองชลประทาน ล้วนแต่เป็นแนวคิดเก่า ๆ ล้าหลัง แต่ปัดฝุ่นมาใช้อีก ยังไม่เห็นแนวคิดใหม่ ๆ ในการจัดการน้ำเลย ไล่ตั้งแต่เขื่อนแม่วงก์ เขื่อนแก่งเสือเต้น เขื่อนแม่แจ่ม ฯลฯ อีกหลายสิบเขื่อน มาเหมาในโครงการนี้ด้วย และโครงการนี้อ้างว่าเป็นการจัดการป้องกันน้ำท่วมภาคกลาง แต่ก็ยังพ่วงเอาเขื่อนในภาคเหนือและภาคอีสานเข้าไปอีก ไม่ต่างจากพรบ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง ที่ยกเว้นโทษให้นักการเมืองตั้งแต่ปี 2547-2556
พอมีคนไปร้องเรียนศาลปกครองว่ารัฐบาลทำผิดขั้นตอน ศาลจึงสั่งให้รัฐบาลทำประชาพิจารณ์คนในพื้นที่ให้ได้รับทราบข้อมูลและรับฟังความเห็นเสียก่อน รัฐบาลก็ทุ่มเงิน 184 ล้านบาท จัดฉากเดินสายไปแต่ละจังหวัด แต่เกณฑ์คนที่เห็นด้วยมาเข้าฟังมากกว่าคนที่ไม่เห็นด้วย ใครโวยวายก็โดนตำรวจจับ
อภิมหาโครงการจัดการน้ำประกอบด้วย 9 โมดูล โมดูล A1-6 เป็นการสร้างอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมถึงแม่น้ำ ปิง วัง ยม น่าน สะแกกรัง ป่าสักและแม่น้ำท่าจีน 18 แห่ง และโมดูล B1-4 กระทำอยู่นอกลุ่มน้ำเจ้าพระยา 3 แห่ง รวมถึงการปรับปรุงคูคลอง การทำแก้มลิง
แต่โครงการใหญ่สุดคือโมดูล A 5 ซึ่งใช้เงิน 150,000 ล้านบาท โดยบริษัทเกาหลีใต้ประมูลได้ เป็นการสร้างแม่น้ำใหม่หรือ Floodway เริ่มตั้งแต่บริเวณแม่น้ำปิง จังหวัดกำแพงเพชร ตัดยาวผ่าน นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี ลงมาถึงเขื่อนแม่กลองที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ยาวประมาณ 300กว่ากิโลเมตร กว้าง 250 เมตร เพื่อผันน้ำแม่น้ำปิงในฤดูน้ำหลากมาลงที่แม่น้ำแม่กลองและแม่น้ำท่าจีน ทางตะวันตก ซึ่งต้องมีการเวนคืนที่ดินสี่หมื่นกว่าไร่ อพยพย้ายประชาชนหลายหมื่นครอบครัว
ประชาชนในลุ่มน้ำท่าจีนและแม่กลองจะยอมรับได้หรือไม่ เพราะแน่นอนว่าระบบนิเวศต้องเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ปัญหาน้ำขาดแคลนในฤดูแล้ง น้ำทะเลหนุน ฯลฯ ที่ติดตามมาอีกมากมาย แต่ไม่เคยมีการทำผลกระทบสิ่งแวดล้อมเลย
พวกเขาจะยอมเสียสละ อพยพย้ายถิ่นฐาน เพื่อปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจไข่แดงในกรุงเทพฯและปริมณฑล จะได้ผลไหม จะคุ้มค่าไหม กับการเสียสละ และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ตามมา
ไม่มีใครให้คำตอบได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รัฐบาลก็ไม่รู้ ผู้รับเหมาก็ไม่รู้ เพราะการจัดการน้ำต้องอาศํยความรู้จากหลายฝ่ายโดยเฉพาะนักนิเวศ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ นักภูมิศาสตร์. นักสังคมวิทยา เพราะเป็นเรื่องซับซ้อน ยาก และละเอียดอ่อน
แต่อนาคตการจัดการน้ำในบ้านเรา กำลังถูกชี้ชะตาจากกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างทั้งไทย จีน เกาหลี ที่ไม่เคยพิสูจน์ว่ามีภูมิปํญญามากพอ นอกจากผลกำไรจากการลงทุนครั้งนี้
กรุงเทพธุรกิจ 21 พย. 56
Comments
น่าจะปลูกป่ามากกว่า
“เหมาเข่ง” แบบไม่ฟังใคร ประชาธิปไตยแบบใดกัน