ยิ่งสูง เมฆยิ่งลอยต่ำ
ยิ่งเงียบ ยิ่งได้ยินหัวใจเต้น
ยิ่งเดินทาง ยิ่งไม่รู้อะไรเลย
คนเมืองอย่างผู้เขียน มีสิ่งหนึ่งที่จะต้องพยายามทำให้ได้ทุกปี คือการเข้าป่า เดินขึ้นเขาอย่างเงียบ ๆ ไม่ใช่รถ แต่ใช้เท้าเดินอย่างเดียวหายลับเข้าไปในขุนเขาและป่าใหญ่ สถานที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ไม่สามารถเล่นเฟสบุ๊ก ส่งไลน์หรืออัพรูปได้
มันให้ความรู้สึกว่ากำลังกลับไปหารากเหง้าของชีวิตหากโชคดีได้เข้าป่าแล้วไม่ค่อยเจอใคร มีแต่เสียงนก เสียงร้องสัตวป่าเสียงลมพัดใบไม้ไหว ความเงียบ และความมืดของรัตติกาล ยิ่งได้อยู่กับตัวเองมาก ได้ใคร่ครวญและได้ยินเสียงตัวเองชัดเจนกว่าในเมือง
ไม่นานมานี้ ผู้เขียนนัดกับเพื่อนสนิทบางคน เดินขึ้นยอดดอยหลวงเชียงดาว ยอดเขาสูงอันดับสามของประเทศ รองจากดอยอินทนนท์และดอยผ้าห่มปก
ความยากลำบากแสนสาหัสในการเดินทางนั้น ดอยหลวงเชียงดาวติดอันดับต้น ๆของประเทศ เพราะสองดอยแรกมีถนนตัดขึ้นไปเกือบถึงยอดดอย แต่สำหรับดอยหลวงเชียงดาว ระดับความสูง 2,225 เมตรแล้ว แทบจะต้องเดินขึ้นไปเกือบตลอดทาง
ผู้เขียนชอบเดินขึ้นดอยหลวงเชียงดาวหลายครั้ง ไม่ใช่แค่ต้องการทดสอบความพร้อมของร่างกาย กับความสูงชันของขุนเขาที่เดินขึ้นเกือบตลอดระยะทางเจ็ดแปดชั่วโมง แต่ดอยแห่งนี้มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างประหลาด ผู้มาเยือนแล้วอยากจะกลับมาอีกอยู่ร่ำไปหากมีโอกาส
การเริ่มต้นเดินขึ้นเขาดอยเชียงดาวนั้น ช่วงแรกเป็นทางชันมาก ต้องเดินขึ้นตลอดแทบจะไม่มีทางราบ ชั่วโมงสองชั่วโมงแรกจะเป็นบททดสอบที่ดีที่สุด เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังปรับตัวให้เข้ากับการออกแรงเดินขึ้นติดต่อกันนาน ๆ เราจะเหนื่อยแสนสาหัส หายใจแทบไม่ทัน เริ่มอยากหยุดพัก แต่พอพ้นช่วงนี้ไปแล้ว เราจะเรียนรู้ในการรู้จักจังหวะก้าวของตัวเอง ซึ่งไม่เหมือนกับจังหวะก้าวของเพื่อนร่วมทาง พอเรารู้จังหวะก้าวสัมพันธ์กับการหายใจแล้ว ความเหนื่อยจะลดลง เราจะเดินทางได้นานขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
การปรับตัวในการก้าวเท้ากับลมหายใจเป็นเรื่องสำคัญมาก หากเราไม่ยอมปรับตัว เราจะเหนื่อยโดยไม่จำเป็น ชีวิตจริงก็เหมือนกัน หากเราไม่ปรับตัวให้เข้ากับความสัมพันธ์รอบตัว เชื่อมั่นในตัวเองอย่างเดียว ชีวิตคงจะไม่ราบรื่นแน่นอน
ตลอดระยะทางแทบจะไม่เจอผู้คนเลย ได้ยินแต่เสียงนกหลายชนิด เสียงลมพัดแรงในทุ่งกว้าง เราเดินผ่านดงเสี้ยว เห็นต้นเสี้ยวกลุ่มใหญ่ขึ้นหนาแน่น แซมด้วยต้นชิงชัน ต้นหว้า หากมาช่วงฤดูร้อน จะเห็นดอกเสี้ยวสีขาวเต็มหุบเขา เราสังเกตเห็นไลเค่นฝอยลมสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันระหว่างรากับสาหร่ายเกาะตามต้นไม้ใหญ่ ซึ่งมันจะขึ้นเฉพาะที่มีอากาศดีมาก แสดงถึงความบริสุทธิ์ของอากาศ
พรรคพวกชี้ให้ดูดอกเทียนนกแก้ว สีชมพูสดใสหน้าตาเหมือนนกแก้วมาก ขึ้นเป็นดงนกเลย เราค่อย ๆ ละเลียดกับดอกไม้ชนิดต่าง ๆ รวมถึงสิ่งมีชีวิต แมลงตัวน้อยข้างทาง เห็นความมหัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิตหลายอย่าง ที่ในชีวิตจริงเราอาจจะมองข้าม เพราะมัวแต่มองเป้าหมายใหญ่ข้างหน้า จนละเลยรายละเอียดชีวิตของคนตัวเล็กตัวน้อยระหว่างทาง
สักพักคนนำทางชี้ให้ดูกวางผา ออกมายืนอาบแดดบนยอดเขาสูงด้านหน้า กวางผาเป็นสัตว์ป่าสงวน 1ใน15ชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์ กวางผาเป็นสัตว์ลึกลับที่มนุษย์ยังไม่ค่อยทราบพฤติกรรมชีวิตมากนัก มักชอบอาศัยอยู่ตามหน้าผาสูงชัน ว่องไวมาก มักจะปรากฏตัวและหายลับไปอย่างรวดเร็ว จนชาวเขาเรียกว่า ม้าเทวดา
เย็นนั้นเรากัดฟันปีนขึ้นสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาว ความเหน็ดเหนื่อยตลอดเจ็ดชั่วโมงที่ต้องปีนเขากันขึ้นมา หายเป็นปลิดทิ้งบนยอดภูเขาหินปูนสูงที่สุดในประเทศไทย แม้จะเป็นพื้นที่เล็กแคบกว้างไม่เกิน 10 เมตร ยาวประมาณ 100 เมตรไปตามสันเขาขอบฟ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา รอบทิศรอบตัวไม่มีภูเขาสูงหรือต้นไม้ใหญ่มาบดบัง มองเห็นดอยพีระมิด ดอยหนอกตั้งตระหง่านทางขวา แนวเขาทอดตัวเป็นรูปเกือกม้าชัดเจนไกลออกไปด้านตะวันตก เห็นห้วยน้ำดังริมขอบฟ้า และเห็นยอดเขาสูงพ้นเมฆขึ้นมาคือยอดดอยอินทนนท์
ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าพวกเรามานั่งเงียบ ๆ เสพบรรยากาศแห่งแสงสีที่เปลี่ยนตลอดเวลา สีชมพู สีแดงสีเหลืองทองเริ่มจับขอบฟ้า เป็นภาพที่งดงามประทับใจ ก่อนอาทิตย์จะลาลับมันเป็นความงามอันมิรู้ลืม เห็นความยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติและรู้ได้เลยว่าเป็นสวรรค์บนพื้นดินที่อยู่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่ามนุษย์ตัวกระจิดริดอย่างพวกเรา
กลางดึกคืนนั้น เราออกมายืนดูทางช้างเผือกคล้ายหมอกดาวนับล้าน ๆ ดวงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า พอเข้าไปอยู่ในเต๊นท์เผลอหลับไป สักพักตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงพายุพัดเสียงกิ่งไม้ดังลั่น เรานั่งฟังเสียงในความเงียบของรัตติกาล และได้ยินเสียงร้องของม้าเทวดาที่มาปรากฏกายอยู่ห่างจากเราไม่กี่เมตร เราฟังเสียงเค้าอย่างมีความสุขเป็นความอิ่มใจอันเป็นที่สุด
และบอกตัวเองว่า ชีวิตก็เท่านี้เอง
กรุงเทพธุรกิจ 19 ธค.56