เมืองน่านเคยเป็นสวรรค์ของป่า ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่และที่ราบสูงเขียวขจี งดงามมากจนครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า สวิสแห่งเมืองไทย แต่ระยะหลัง เมืองน่านที่เคยมีป่าถึงร้อยละ 90 ของพื้นที่ กลับถูกรังแกอย่างบอบช้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
ป่าต้นน้ำอันอุดมสมบูรณ์หลายล้านไร่ตามภูเขาถูกเปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพดสุดลูกหูลูกตา จากการสนับสนุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ เพื่อไปทำอาหารสัตว์
พอหน้าแล้งก็มีการเผาซากไร่ ก่อให้เกิดหมอกควันพิษ เมื่อย่างเข้าสู่หน้าฝน ก็เกิดปัญหาดินถล่ม และน้ำท่วมเพราะไม่มีป่าคอยซับน้ำ ช่วยชะลอความเร็วของน้ำ และรากของต้นไม้ที่หยั่งรากลึกช่วยในการยึดดินไม่ให้ถล่ม
พวกเรายังมีความคิดเดิม ๆว่า เปลี่ยนพื้นที่ป่าให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม จะได้สร้างมูลค่าจากการขายพืชผลได้ทุกปี แต่เราไม่เคยคิดถึงประโยชน์ของต้นไม้ ที่มีส่วนในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นป่าต้นน้ำ ให้มีน้ำมาหล่อเลี้ยงผู้คนได้ตลอดปี ป้องกันดินถล่ม น้ำท่วม ว่ามีมูลค่ามหาศาลเพียงใด ป่าและต้นไม้จึงเป็นของฟรีที่เราใช้กันอย่างไม่เกรงใจธรรมชาติกันเลย
ต้นไม้ตามภูเขาถูกทำร้ายได้ไม่นาน ก็มีข่าวว่า ต้นไม้ตามพื้นราบริมถนนของเมืองน่านก็ถูกรังแกอีกแล้ว
ใครที่เคยขับรถไปตามเส้นทางน่าน-ท่าวังผา ทางหลวงหมายเลข 1080 จะสัมผัสได้ถึงความร่มรื่นย์ของต้นไม้ใหญ่อายุนับร้อยปีสองข้างทาง บางช่วงกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ได้แผ่ออกมาปกคลุมถนน จนดูคล้ายอุโมงค์ต้นไม้ สร้างความประทับใจกับนักเดินทางมาช้านาน ทางหลวงของบ้านเรามีไม่กี่แห่ง ที่จะมีต้นไม้ใหญ่สองข้างทางสร้างความประทับใจให้กับผู้คน
แต่ก็มีข่าวว่า กรมทางหลวงจะทำการขยายถนนสองข้างทางจาก 9 เมตร เป็น 12 เมตร ระยะทาง 138 กิโลเมตร ถึงชายแดนห้วยโก๋นโดยอ้างความจำเป็นจากปริมาณรถที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเป็นเส้นทางไปสู่ประเทศลาว
คนในพื้นที่ก็ทราบดีว่า ห่างจากชายแดนเพียง 30 กิโลเมตรคือเมืองหงสา จังหวัดไชยบุรี มีการทำเหมืองแร่ลิกไนต์และโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงลิกไนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในลาว มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 1,878 เมกะวัตต์ โดยบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งของไทยเป็นผู้ถือหุ้นด้วย ดังนั้นการขยายถนนเส้นนี้
จึงมีจุดมุ่งหมายส่วนหนึ่งเพื่อรองรับรถพ่วงขนาดใหญ่ขนถ่ายวัสดุอุปกรณ์ข้ามชายแดน อำนวยความสะดวกให้กับโรงไฟฟ้าแห่งนี้
การขยายถนนระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตรจากสองเลนเป็นสี่เลน จึงต้องมีการตัดต้นไม้ใหญ่สองข้าง และรวมถึง “อุโมงค์ต้นไม้”
ถนนแห่งความทรงจำของใครมากมายที่เติบโตมากับถนนเส้นนี้ ชาวเมืองน่านจำนวนมากได้ออกมารวมตัวกันคัดค้านแนวคิดของกรมทางหลวง และทำการสำรวจพบว่าจะต้องมีต้นไม้ใหญ่สองข้างทางถูกตัดออกไปถึงร่วมสองพันกว่าต้น มีต้นไม้สำคัญคือไม้สัก ประดู่ จามจุรี ฯลฯ และพบว่า มีอุโมงค์ต้นไม้สามแห่งคือ อุโมงค์ต้นไม้ผาสิงห์ เป็นต้นสัก ประดู่ เชื่อมกับอุโมงค์ต้นไม้จามจุรีที่มีความสมบูรณ์และสวยงามที่สุดในจังหวัดน่าน อุโมงค์ต้นไม้ท่าวังผา และอุโมงค์ต้นไม้ปัว-เชียงกลาง แต่ละแห่งมีระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร
ภาพกลุ่มนักเรียนมัธยมยืนล้อมรอบต้นไม้ใหญ่ ถูกเผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊กของเครือข่าย “บิ๊กทรี” พร้อมกับข้อความที่ระบุว่า
“กว่าจะเติบโตเป็นอุโมงค์ต้นไม้ใหญ่ กรากแดดกรำฝนจนเป็นตำนาน ก็ไม่พ้นมือกรมทาง” บอกเล่าถึงอุโมงค์ไม้สักน่านอายุนับร้อยปีได้แพร่สะพัดในสื่อออนไลน์ และมีเสียงร้องจากคนทั่วประเทศให้กรมทางหลวงพิจารณาการตัดต้นไม้กันใหม่
ปรากฏการณ์ครั้งนี้กำลังตอกย้ำถึงวิธีคิดเดิม ๆ ของระบบราชการไทยผู้มองเห็นต้นไม้เป็นของฟรี หรืออาจมีมูลค่าทางเศรษฐกิจแค่เนื้อไม้ ต้นไม้จึงเป็นเหยื่อของการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่ในต่างประเทศ ต้นไม้หรือป่ากลับมีมูลค่าสูงมากผู้เขียนเดินทางไปทางตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย ขับรถไปตามไฮเวย์ หรือทางหลวงเชื่อมเมืองต่าง ๆ ทางหลวงที่นั่นส่วนใหญ่เป็นถนนสองเลน ไม่บ่อยนักที่เห็นเป็นสี่เลน ยิ่งช่วงใดที่ผ่านเข้าไปในป่า จะเป็นถนนแคบสองข้างทางเป็นป่าครึ้ม
การตัดต้นไม้เพื่อขยายถนนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
หลายปีก่อนผู้เขียนขับรถไปในประเทศฝรั่งเศส ทางหลวงช่วงที่ผ่านป่ายิ่งแคบมากขนาดสองคันสวนกันพอดี สองข้างเป็นต้นไม้ใหญ่ ไม่มีการขยายถนนเพื่อรองรับปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ช่วงไหนที่ผ่านป่าคนขับก็ต้องชะลอรถระมัดระวังกันเอง
เพื่อนฝรั่งบอกว่า “เราไม่ได้ขยายถนนเพื่อเอาใจคนขับรถ แต่คนขับต้องรับผิดชอบชีวิตกันเองไม่ใช่ไปตัดต้นไม้เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับรถ”
ใช่ครับ เราเกิดหลังต้นไม้ที่มีอายุนับร้อยปี ทำไมสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต้องเสียสละให้กับมนุษย์ผู้มาทีหลังอยู่ร่ำไป
กรุงเทพธุรกิจ 19 มีค. 2558
Comments
พวกเราต้องช่วยกันคัดค้านให้สุดกำลังถ้าเจอพวกแบบนี้ที่ใหน ไม่สร้างแล้วยังจะทำลาย
ขอเป็นอีก 1 เสียง ที่ร่วมคัดค้านการตัดต้นไม้ เพื่อทำทางหลวง ป่าต้นน้ำ ต้นไม้ใหญ่ ธรรมชาติที่นับวันจะเสื่อมสูญ เพียงเพื่อแลกกับผลประโยชน์ของใครกัน
ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่คัดค้านการตัดต้นไม้ครับ พอเหอะพวกเห็นแก่ตัว ถือแต่ประโยชน์ส่วนตน ตอนนี้ทั่วโลกเค้าพยายามรณรงค์รักษาป่าไม้ ต้นไม้ แต่ดูพวกผู้ใหญ่ทั้งหลายในไทยดิ!! พอเหอะ ขอร้องล่ะครับ
ชาวน่านต้องช่วยกันคัดค้าน เราชาวเชียงใหม่ขอคัดค้านการขยายถนนครั้งนี้ค่ะ
ร่วมคัดค้านการตัดต้นไม้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่นายทุนที่เห็นแก่ตัว
ขอร่วมคัดค้านอีก1เสียงค่ะ
😳
ข้าราชการคิดได้แค่นี้ ความคิดล้าหลัง นานาประเทศกลับหันมาพัฒนาสิ่งที่ยั้งยืนถาวรอย่างแท้จริงคือทรัพยากรต้นไม้ที่ล้ำค่า หัวคิดสมองเเพะคอยแต่แทะเล็มต้นไม้ไม่มีหัวคิดที่สร้างสรรค์ ได้ชื่อว่ากรมทางคิดได้แต่จ้างเขาทำทางไม่เคยคิดที่จะใช้ทางดีไซน์ให้เข้ากับสภาพเเวดล้อมต้นไม้ ใช้หัวคิดหน่อยท่าน คิดไม่ได้ถอยออกมาให้คนอื่นที่เขาสร้างสรรค์ไปทำ
ผมขอคัดค้านด้วยคับ อีกอย่างอยากรู้มากเลยตัดต้นไม้ไปแล้วเอาไปไว้ที่ไหนเอาไปทำอะไรกัน
🙄 🙄
มันตัดต้นไม้ทำถนนแล้วมันเอาไม้ไปไว้ที่ไหนเอาไปทำอะไร
ขอเป็นอีก1เสียงที่ขอคัดค้านค่ะ
😀 😉 🙂
ขอลงชื่อเข้าร่วมด้วยคนครับ รณรงค์การไม่สร้างถนนเพื่อขยายให้รถวิ่ง…. ทุกปัญหามีทางออกที่ดีเสมอ….แต่ข้ารชการไทย ชอบมาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ชอบอ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ไม่เคยคิดถึงสิทธิของผู้อยู่ก่อน ต้นไม้คือสิ่งที่ช่วยจรรโลงชีวิตมนุย์เมื่อไหร่ที่ คน ตัดต้นไม้ เมื่อนั้น เท่ากับ เบียดเบียน ชีวิตของคนทั้งโลก….เพราะต้นไม้ สร้างออกซิเจน….สร้างความชุ่มชื้น…ต้นไม้ทุกต้นก็มี จิตวิญญาณ….จิตวิณญาณที่เป็นผู้ให้……หันมาช่วยกันครับ