” การเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ คือกระดูกสันหลัง ของการทำหน้าที่ตำรวจ และกฎหมายต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการนี้ ”
คนที่พูดประโยคนี้ ไม่ใช่นักสิทธิมนุษยชน นักเคลื่อนไหว แต่เป็นนายตำรวจโปรตุเกสคนหนึ่ง ได้เล่าให้ไมเคิล มัวร์ รู้ว่าเหตุใดปัญหายาเสพติดในประเทศนี้จึงลดลงมากในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา
“Where to Invade Next ” สารคดีเรื่องล่าสุดของ ไมเคิล มัวร์ ยอดนักทำสารคดีผู้โด่งดังจากเรื่อง Fahrenheit 9/11 ได้พาพวกเราไปสำรวจตัวอย่างดี ๆ ในหลายประเทศ เพื่อ ยึด นำกลับมาใช้พัฒนาประเทศสหรัฐอเมริกาอันล้าหลัง
เสน่ห์ของสารคดีของมัวร์ คืออารมณ์ขันและจิกกัดแต่พองาม มัวร์เปิดเรื่องด้วยการที่ขออาสานายพลอเมริกันไปยึดประเทศอื่น ๆ หลังจากที่ทหารสหรัฐอเมริกาไม่เคยชนะสงครามอันใดเลยตั้งแต่สงครามเวียดนาม อิรัก ซีเรีย ฯลฯ มีงบประมาณทางทหารมากที่สุดในโลก คือ ประมาณ 20 ล้านล้านบาทต่อปี ขณะที่คนอเมริกันยังติดยาเสพติด มีปัญหาอาชญกรรม ปัญหามลพิษ ความยากจน การเหยียดผิว ฯลฯ
มัวร์เริ่มต้นที่ประเทศอิตาลี และแปลกใจที่สองสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เขาคุยด้วย บอกว่า พวกเขามีวันหยุดพักร้อนนานถึง 7 สัปดาห์ หยุดแล้วยังได้เงินเดือน และวันหนึ่งทำงานน้อยกว่า 8 ชั่วโมง แถมยังกลับไปทำอาหารกลางวันเคล้าไวน์อย่างสบายใจแต่ประสิทธิภาพในการผลิตของอิตาลีอยู่ในอันดับต้น ๆ มีสินค้าแบรนด์ระดับโลกมากมาย
ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกา การลาพักร้อนมีน้อยมาก คุณภาพชีวิตพนักงานแย่มาก
“ พนักงานไม่ใช่เครื่องจักร เมื่อพวกเขามีความสุข ก็ทำงานได้ดีมีคุณภาพ” นี่คือคำตอบสั้น ๆ ของเจ้าของกิจการแบรนด์ชื่อดังรายหนึ่ง
จากนั้นมัวร์แปลกใจกับอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ในโรงอาหารของโรงเรียน มัวร์นั่งล้อมโต๊ะอาหารกับเด็กนักเรียน ทุกคนดื่มน้ำเปล่า ไม่มีโค้กหรือเป๊ปซี่กระป๋องวาง
สักพัก อาหารมาเสริฟ นึกว่าสั่งจากภัตตาคาร อาหารดีมีคุณภาพทุกเมนู พอมัวร์หยิบภาพอาหารกลางวันในโรงเรียนของอเมริกให้ดู ประกอบด้วยแฮมเบอร์เกอร์ กับโค้ก เด็ก ๆ บอกว่า
“พวกนี้ไม่ใช่อาหาร กินเข้าไปได้อย่างไร”
ระหว่างรับประทานอาหาร ครูประจำโต๊ะยังสอนมารยาทการกินอาหาร ประโยชน์ของอาหาร ถือเป็นการสอนนอกห้องเรียนที่อร่อยมาก ๆ
คุณครูบอกมัวร์ว่า “คนฝรั่งเศสพิถีพิถันอาหารมาก รสชาติอร่อยและคุณภาพอาหารคือรากฐานการสร้างชีวิตของเด็กๆ”
มัวร์ขึ้นเหนือไปประเทศฟินแลนด์ ที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นดินแดนคุณภาพการศึกษาเยี่ยมที่สุดในโลก แต่ปรากฎว่านักเรียน เรียนแค่วันละ 5 ชั่วโมง นอกนั้นเล่นทั้งวัน พอกลับบ้านใช้เวลาทำการบ้านไม่ถึงชั่วโมง
เมื่อมัวร์คุยกับนักเรียนในชั้นเรียน พวกเขาพูดกันได้คนละหลายภาษาอย่างน่าทึ่ง
“ไม่ต้องเสียเวลาเรียนในห้องเรียนเยอะ การเล่นก็เป็นการเรียน การไปเดินป่าศึกษาธรรมชาติ หรือเล่นดนตรี วาดรูปก็เป็นการเรียน เมื่อเด็กอยากเรียน ถึงเวลานั้นพวกเขาจะเรียนรู้ได้เร็วมาก” ครูคนหนึ่งบอกเคล็ดลับกับมัวร์
คนทั่วไปคิดว่าคนเยอรมนีเคร่งเครียด แต่โรงงานที่มัวร์ไปเยี่ยม มีกฏหมายบอกว่าหากพนักงานเครียดมีสิทธิลาป่วยและให้หมอส่งไปนวดคลายเครียดที่สปาได้
ตามท้องถนนในเมือง มีการบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ความโหดร้ายสมัยนาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว 6 ล้านคนให้เด็กรุ่นหลังได้จดจำด้านมืดของชาวเยอรมนี พวกเขาเชื่อว่า ประวัติศาสตร์มีไว้จดจำเป็นบทเรียน ไม่ได้มีไว้ให้คนลืม
พอมัวร์ไปสัมภาษณ์ตำรวจโปรตุเกส ถามว่าปัญหาผู้เสพยาเสพติดและผู้ค้ายาลดลงอย่างฮวบฮาบ คำตอบง่าย ๆ ก็คือ ทางการโปรตุเกสคิดใหม่ ทำใหม่ ไม่จับคนติดยาเสพติด ถือว่าเป็นคนไข้ที่ต้องได้รับการเยียวยา ผลคือทำให้คนเสพลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อไม่มีคนเสพ ผู้ค้ายาก็ลดลงตามความต้องการ ขณะที่หลายประเทศจับคนติดยามาขังคุกจนล้นคุก และนับวันก็มากขึ้นเรื่อย ๆ
ยังมีอีกหลายกรณี อาทิ คุกในนอเวย์ เหมือนกับรีสอร์ต นักโทษมีห้องส่วนตัว มีทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป ยกเว้นอิสรภาพ เพื่อต้องการทำให้คนคุกกลับเนื้อกลับตัวจริง ๆ ผลคือ ทำให้เป็นประเทศที่มีนักโทษต่ำที่สุดในโลก หรือ เรื่องราวของสตรีเป็นใหญ่ในไอซ์แลนด์ ฯลฯ
ออกมาจากโรงด้วยรอยยิ้ม และถามตัวเองว่า สิ่งดี ๆ แบบนี้ทำไมไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยเลย
กรุงเทพธุรกิจ 7 กค. 2559