ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ได้เกิดกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวโรฮิงญา ชนกลุ่มน้อย ผู้นับถือศาสนาอิสลามในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมาร์ ทำให้มีผู้อพยพหนีตายไปประเทศบังกลาเทศ
ความขัดแย้งระหว่างคนพุทธกับมุสลิมในประเทศนี้มีมาช้านาน ที่ผ่านมาชาวพม่าไม่ยอมรับว่าโรฮิงญาเป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยของประเทศเหมือนพวกกะเหรี่ยง มอญ ฯลฯด้วยซ้ำ นั่นมีความหมายว่าไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์อยู่บนแผ่นดินนี้ ต้องขับไล่ออกนอกประเทศประการเดียว
เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นความรุนแรงครั้งใหญ่ที่สุด มีโรฮิงญาตายและบาดเจ็บหลายร้อยคน หมู่บ้านหลายแห่งถูกเผาทำลายด้วยฝีมือของกองทัพพม่า ภายใต้การบริหารของพรรครัฐบาลของนางอองซานซูจี
และทำให้ผู้คนทั่วโลกเริ่มตั้งคำถามกับ อองซานซูจี รมต.ต่างประเทศโดนโจมตีอย่างหนักที่นิ่งเฉยกับเหตุการณ์ และแสดงบทบาทเข้าข้างกองทัพพม่า
ในทางการเมืองก็เข้าใจได้ว่า อองซานซูจีกลัวคะแนนนิยมจากชาวพุทธทั่วประเทศเลยไม่ได้แสดงบทบาทห้ามปรามการกระทำของทหารอย่างใด
แต่ในทางมนุษยธรรมแล้ว น่าสงสัยว่าเหตุใดอองซานซูจีจึงไม่มีความรู้สึกอันใดเลยทั้ง ๆที่ตลอดชีวิตการต่อสู้ของสตรีเหล็กผู้นี้ได้รับการยกย่องจากคนทั่วโลก คือการสู้กับความอยุติธรรมทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเผด็จการทหาร ความเหลื่อมล้ำในสังคม การกดขี่ข่มเหงชนกลุ่มน้อยในประเทศด้วยความกล้าหาญอย่างไม่เกรงกลัวต่ออันตรายใด ๆ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอันใด
แต่นั่นเป็นความกล้าหาญในสมัยที่นางยังไม่มีอำนาจทางการเมืองเลย
เหตุการณครั้งนี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึง เมื่อครั้งที่ได้รับเชิญไปดูงานมูลนิธิฉือจี้ ในประเทศไต้หวัน
มูลนิธิพุทธฉือจี้เป็นขบวนการด้านมนุษยธรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีอาสาสมัครมากกว่า 5 ล้านคนคอยช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติ ตั้งแต่กรณีแผ่นดินไหวในประเทศจีน หรือผู้ประสบภัยจากเหตุสึนามิ ในเอเชียไปจนถึงการไปช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับผู้หิวโหยในทวีปแอฟริกา และในทวีปอเมริกาใต้จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นองค์กรระดับโลกรอง ๆจากองค์การกาชาดสากลเลยทีเดียว
สี่สิบกว่าปีก่อน ภิกษุณีท่านหนึ่งชื่อ เจิ้งเหยียน ได้ก่อตั้งมูลนิธิฉือจี้ จากความสะเทือนใจที่เห็นหญิงชาวเขาคนหนึ่งแท้งลูกตาย เพราะหมอไม่ยอมรักษา จึงตั้งปณิธานโรงพยาบาลเพื่อคนจนได้สำเร็จและเกิดโรงพยาบาลหลายแห่ง มหาวิทยาลัยแพทย์ และจัดตั้งทีมอาสาสมัครช่วยเหลือคนทั่วโลก
ช่วงหนึ่งเจ้าหน้าที่ฉือจี้ได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่เป็นไปอย่างตึงเครียดขนาดเล็งจรวดขีปนาวุธประจันหน้ากันตลอดเวลา ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในจีนมีผู้บาดเจ็บและล้มตายหลายหมื่นคน
ภิกษุณีเจิ้งเหยียน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฉือจี้ในไต้หวัน ได้รับความศรัทธาจากคนจีนไต้หวันอย่างมหาศาลได้ประกาศระดมอาสาสมัครไต้หวันและเงินทองไปช่วยชาวจีนอย่างเร่งด่วน
ตอนนั้นคนไต้หวันจำนวนมากพากันโกรธแค้น ได้ออกมาวิจารณ์และก่นด่าท่านเจิ่งเหยียนอย่างรุนแรงว่าไปช่วยเหลือศัตรูของเราทำไม
ท่านเจิงเหยียนพูดอยู่คำเดียวว่า ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์คือการ “รักโดยไม่แบ่งแยก” เราช่วยเหลือทุกคนไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูและท่านนำทีมมุ่งไปประเทศจีนอย่างเด็ดเดี่ยว ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทรหดท่ามกลางเสียงห้ามปรามของประชาชนไต้หวันที่ไ่ม่เห็นด้วยกับการกระทำของท่านที่ไปช่วยศัตรู
คะแนนความนิยมของท่านลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ยอดเงินบริจาคลดลงต่อเนื่อง บางคนกล่าวหาท่านว่าเป็นพวกจีนคอมมิวนิสต์ แต่ท่านก็ไม่ใส่ใจ มุ่งหน้าช่วยเหลือผู้คนโดยไม่แบ่งฝ่ายอย่างมั่นคง
หลายปีต่อมา ผู้คนได้เข้าใจเจตนาของท่านอย่างแท้จริง และหันมาช่วยเหลือมูลนิธิฉือจี้
ทุกวันนี้มูลนิธิพุทธฉือจี้ มีอาสาสมัครตั้งแต่เศรษฐีหมื่นล้าน นายธนาคาร สถาปนิก แพทย์ วิศวกร นายพล ชาวนา และแม่บ้าน ต่างมาช่วยกันทำงานอย่างเท่าเทียมกันไม่นับรวมเงินบริจาคจากทั่วโลกปีละหลายหมื่นล้านบาท จนทำให้มูลนิธิสามารถดำเนินกิจการได้อย่างก้าวหน้าและมีการจัดการอันทันสมัยระดับโลก
ปัจจุบันฉือจี้ได้ขยายสาขาไปสี่สิบกว่าประเทศ มีอาสาสมัครคอยช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกว่า ๖๐ ประเทศ รวมทั้งในเมืองไทยคราวเกิดสึนามิ
อาสาสมัครเหล่านี้จะมีลักษณะอ่อนน้อมถ่อมตน มาทำงานอย่างเงียบ ๆ และกลับไปอย่างเงียบ ๆ ไม่หวังลาภยศสรรเสริญ หรืออำนาจใด ๆ
ส่วนคนที่มีอำนาจทางการเมืองอย่างอองซานซูจี คงด้องดูกันต่อไปว่าตัวตนจริง ๆของแกจะเป็นเหมือนตอนที่ไม่มีอำนาจหรือไม่
ดูชีวิตคนต้องดูกันยาว ๆจริง ๆ
กรุงเทพธุรกิจ 15 ธค.2559