เยือนซานตาคลอสตัวจริง

สมัยเป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ พอใกล้ถึงเทศกาลวันคริสต์มาส ๒๕ ธันวาคม มักจะตื่นเต้นรอคอยวันที่พระเยซูเจ้า ประสูติที่เมืองเบธเลเฮม เมื่อสองพันปีก่อน และเติบโตที่เมืองนาซาเรท ปัจจุบันคือประเทศอิสราเอลสมัยนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน

คำว่า “คริสต์มาส” หรือ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า “บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า” พบครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ. ๑๐๓๘ ต่อมาเปลี่ยนเป็นคำว่า Christmas

ทุกปีโรงเรียนจะจัดงานคริสต์มาส มีการสร้างถ้ำจำลอง ภายในมีรูปปั้นพระแม่มารีอา และเด็กทารกในรางหญ้าข้างๆ มีกษัตริยสามองค์จากแดนไกล นำของขวัญสามสิ่งมาให้ ข้างบนจะเห็นดาวสว่างดวงหนึ่งคือ ดาวแห่งเบธเลเฮม เป็นดาวที่เชื่อกันว่าประกาศการประสูติของกษัตริย์แห่งยิว และนำทางให้กษัตริย์ทั้งสาม

และวันนั้นจะมีการจับฉลากของขวัญ นักเรียนรุ่นพี่จะแต่งตัวเป็นซานตาคลอส มีหนวดเคราสีขาวท่าทางใจดีในชุดสีแดง แบกถุงของขวัญมาเยี่ยมตามห้องเรียน

เป็นความทรงจำในวัยเด็กอันแสนงดงาม

สมัยนั้นนึกถึงซานตาคลอส จะเห็นรถเลื่อนของซานตาคลอสเทียมด้วยกวางเรนเดียร์ วิ่งไปตามพื้นหิมะจนเชื่อกันว่า ซานตาคลอสคงเป็นตำนานมาจากดินแดนอากาศหนาวเย็นหิมะตกหนัก หรือทางแถบขั้วโลกเหนือ

หรือเป็นเพียงนิยายปรัมปราไม่มีอยู่จริง แต่งขึ้นมาเพือให้เด็กๆทั่วโลกมีความสุขกับการแจกของขวัญของชายแก่ใจดีที่แอบเอามาใส่ไว้ถุงเท้า

จนกระทั่งเมื่อเรามาเยือนทางตอนใต้ของตุรกี ก่อนที่จะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองภายหลังจากการทำการรัฐประหารประสบความล้มเหลวเมื่อหลายเดือนก่อน

ผู้เขียนมาที่เมือง Demre ทางตอนใต้ของตุรกี เป็นเมืองเก่าแก่ของจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์ นับถือคริสต์นิกายกรีกออโธด็อกซ์  ตั้งแต่คริสตวรรษที่ ๓

จุดหมายคือโบสถ์นักบุญนิโคลัส ซึ่งยูเนสโกได้ประกาศเป็นมรดกโลก สร้างขึ้นระหว่างคริสตวรรษที่ ๕-๑๒ สร้างทับบริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ฝังศพของนักบุญนิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งMyra เมืองโบราณในอดีตและเป็นต้นกำเนิดของซานตาคลอสผู้โด่งดังไปทั่วโลก

นักบุญนิโคลัส (๑๕ มีนาคม ค.ศ. ๒๗๐ – ๖ ธันวาคม ค.ศ.๓๔๓) เกิดในเมือง Patara แคว้น Lycia เป็นลูกของคหบดีชาวคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์  ผู้เคร่งศาสนา พ่อแม่ตายด้วยโรคระบาดเมื่อตอนเขาเป็นหนุ่มคุณลุงซึ่งเป็นบิชอปแห่ง Patara ได้อุปการะแทนและต่อมาท่านได้บวชเป็นนักบวชคริสต์

ท่านเดินทางจาริกแสวงบุญไปในดินแดนของอิยิปต์และอิสราเอล สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู หลังจากกลับมาท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบิชอปหรือสังฆราชแห่งMyra  เมื่ออายุได้ ๔๗ ปี

ผู้เขียนเดินเข้าไปในโบสถ์อายุนับพันปี มีการบูรณะซ่อมแซมมาโดยตลอด แต่ยังคงความเก่าแก่ เห็นซากอิฐ ปูนเปลือยร่องรอยในอดีต ที่สำคัญคือภาพเฟรสโก หรือการเขียนสีลงบนปูนเปียก เมื่อปูนแห้งสีก็จะผนึกลงเป็นเนื้อเดียวกัน กับปูนในการวาดภาพ เป็นงานเขียนสำคัญสมัยไบเซนไทน์ ซึ่งตกทอดมาจนปัจจุบัน

ภาพวาดนักบุญนิโคลัส ไม่ใช่ภาพของผู้ใหญ่เครางาม รูปร่างอ้วนท้วนแบบซานตาคลอส แต่เป็นภาพชายชราหนวดเครารุงรัง หัวล้าน ผอมสูง

ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์กลาสีเรือ พ่อค้า หัวขโมยกลับใจ และเด็ก ๆ

มีตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งเมืองMyra อดอยากมาก พ่อค้าเนื้อสัตวได้ล่อลวงเด็กสามคนมาฆ่าในบ้าน และเตรียมจะทำเนื้อขาย นักบุญนิโคลัสได้มาพบ และชุบชีวิตเด็กทั้งสามคนให้ฟื้นคืนชีพได้

อีกตำนานเล่าว่า ระหว่างความอดอยากครั้งใหญ่ในเมือง Myra ปีค.ศ. ๓๑๑-๓๑๒ เรือลำหนึ่งกำลังจะออกจากท่าเทียบเรือ เพื่อส่งข้าวสาลีไปถวายให้จักรพรรดิคอนสแตนตินโนเปิล ท่านได้บอกกลาสีเรือว่า อย่าบรรทุกข้าวสาลีไปเลย  เพราะชาวเมืองอดอยากมาก ตอนแรกกลาสีเรือไม่สนใจเพราะกลัวขัดโองการจักรพรรดิ แต่นักบุญนิโคลัสบอกว่าพวกเขาจะมีข้าวสาลีตามน้ำหนักเหมือนเดิม เมื่อเดินทางไปถึงเมืองหลวง กลาสีเรือยอมตกลง และเมื่อเรือไปถึง ภายในเรือก็มีข้าวสาลีตามน้ำหนักเดิมราวปาฏิหารย์ ข้าวสาลีนำมาแจกจ่ายให้กับชาวเมืองได้ถึงสองปีและยังนำมาเพาะพันธุ์เป็นเมล็ดข้าวด้วย

อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ตอนเป็นหนุ่ม นักบุญนิโคลัสได้จาริกแสวงบุญขึ้นเรือไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ บ้านเกิดของพระเยซู ระหว่างทางเขาฝันว่าจะเกิดพายุใหญ่กลางทะเล เมื่อตื่นขึ้นมา เขาเตือนกลาสีเรือว่า พายุใหญ่กำลังมาแต่พวกลูกเรือไม่กลัว บอกว่า “พระเจ้าจะคุ้มครองเรา”

ทันใดนั้นท้องฟ้ามืดครึ้มและพายุได้พัดกระหน่ำเรือเกิดคลื่นยักษ์ เรือสูญเสียการควบคุมลูกเรือกลัวตายกลางทะเล พากันมาวิงวอนให้นิโคลัสสวดมนต์ขอให้พระเจ้าช่วย มีลูกเรือคนหนึ่งปีนขึ้นไปผูกเชือกบนยอดเสากระโดงเรือ ไม่ให้หักลงมาพังดาดฟ้าเรือจนสำเร็จ แต่ระหว่างปีนลงมาได้เกิดพลัดตกลงมาตาย  ขณะที่นิโคลัสได้สวดมนต์จนพายุสงบ อันตรายผ่านพ้นไป แต่บรรดาลูกเรือเสียใจต่อความกล้าหาญของเพื่อนที่เสี่ยงตายจนเสียชีวิต นิโคลัสได้สวดมนต์จนกลับคืนชีวิตให้เขาผู้นั้นราวกับว่าเขาเพิ่งตื่นจากการนอนหลับ ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใด ๆ และเมื่อเรือแล่นไปถึงจุดหมายท่านได้ลงเรือไปจาริกแสวงบุญ ตามเส้นทางที่พระเยซูเคยเดินผ่าน

จากนั้นเป็นต้นมา นิโคลัสจึงเป็นนักบุญของบรรดากลาสี นักเดินเรือชาวคริสต์ทั่วโลก

แต่เรื่องที่มีชื่อเสียงสุด จนกลายเป็นตำนานของขวัญแห่งซานตาคลอสคือ ท่านได้ช่วยเหลือครอบครัวยากจนที่มีลูกสาวสามคนให้มีสินสอด เวลานั้นหญิงที่ไม่แต่งงานอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็นโสเภณี

ท่านได้แอบไปที่บ้านและหย่อนถุงใส่เหรียญทองไว้ตรงปล่องเตาผิง เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ลูกสาวได้ตากถุงเท้าไว้ตรงเตาผิง ถุงทองเลยหล่นใส่ถุงเท้า พอตื่นเช้ามาเด็กสาวก็เจอของขวัญทอง กลายเป็นที่มาของการตากถุงเท้าไว้เตาผิง เชื่อว่าซานตาคลอสจะมาหย่อนของขวัญให้ในวันคริสต์มาสเป็นที่รักของเด็ก ๆ ทั่วโลก

ภายหลังการสิ้นชีวิตของท่านหลุมฝังศพได้กลายเป็นสถานที่ชาวคริสต์จำนวนมากเดินทางมาจาริกแสวงบุญ ต่อมาดินแดนแถบนี้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกมุสลิมเติร์ก บรรดาชาวคริสต์คิดว่าอัฐิของท่านอาจจะไม่ปลอดภัย ในปี ๑๐๘๗ พ่อค้าอิตาเลียนได้ขโมยกระโหลกครึ่งหนึ่งของท่านจากหลุมฝังศพไปไว้ที่ Basilica di San Nicola เมือง Bari

ต่อมาลูกเรือชาวเวนิสได้มาเอากระโหลกที่เหลือไปในช่วงสงครามครูเสด ปัจจุบันอยู่ที่เมืองเวนิส The church of San Nicolò al Lido นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่ากระโหลกสองซีกสองเมืองนี้มาจากกระโหลกเดียวกัน

และโบสถ์หลายแห่งในยุโรป อเมริกา รัสเซียก็อ้างว่า ได้เก็บอัฐิชิ้นเล็ก อาทิ ฟัน กระดูกนิ้ว

เวลาผ่านไปหลายร้อยปี ราวค.ศ.๑๘๗๐ ชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งที่อพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกาก็ยังจัดงานฉลองนักบุญนิโคลัสทุกวันที่ ๖ ธันวาคม มีการแจกของขวัญให้เด็ก และประเพณีนี้ก็แพร่หลายไปทั่วดินแดน และจากนิโคลัส ก็กลายเป็น”ซินเตอร์คลาส” ในภาษาฮอลแลนด์ จนเป็น ซานตาคลอส

จากชายชราผอมสูง ก็กลายเป็นชายชราอ้วนท้วน ท่าทางใจดี ในชุดแดงมีเลื่อนกวางเรนเดียร์ โลดแล่นไปหาความสุข เติมเต็มความฝันอันแสนงามให้กับผู้คนในโลก ที่หาความสุขจากชีวิตจริงได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ

สารคดี ธค.๒๕๕๙

ใส่ความเห็น

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.