5 มีนาคมที่ผ่านมา ครบรอบหนึ่งเดือนของคดีล่าสัตว์อันโด่งดังครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อนายเปรมชัย กรรณสูต พร้อมพวกได้ถูกเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชจับกุม ขณะตั้งแคมป์ล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตกพร้อมของกลาง คือปืนไรเฟิล ปืนลูกซองและซากเสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา
คดีนี้สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้คนในสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ มีการโพสต์ข้อความแสดงความโศกเศร้า ต่อการยิงเสือดำอย่างโหดร้ายทารุณ จากน้ำมือของคนมีอิทธิพล
ภาพวาดและถ้อยคำจำนวนมาก สะท้อนความเสียใจ ความสงสาร ที่เสือดำถูกมนุษย์ใจร้ายทำลาย
“เค้าอยู่ของเค้าเฉย ๆ ในป่า มาพรากชีวิตเค้าไปทำไม”
ที่น่าสนใจคือ ภาพลักษณ์ของเสือในสายตาของคนไทยจำนวนมาก ที่เคยถูกวาดให้เป็นสัตว์ปาดุร้าย น่ากลัว ป่าเถื่อน ต้องไล่ล่า ได้ถูกเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง
เสือกลายเป็นสัตว์ไร้เดียงสา น่าทะนุถนอม ให้คงอยู่คู่กับโลกไปนาน ๆ
เสือดำ มีลักษณะลำตัวรวมถึงลวดลายเป็นสีดำตลอดทั้งลำตัว เกิดขึ้นได้ในเสือหลายชนิด โดยเฉพาะเสือดาว อันเกิดจากความผิดปกติในเม็ดสีที่เรียกว่าเมลานิซึม ส่งผลให้เสือที่เกิดมานั้นเป็นสีดำตลอดทั้งลำตัว
แม่เสือดาวหนึ่งตัวจะให้ลูกที่เป็นเสือดำในอัตรา 3/1 ลูกเสือที่เป็นเสือดำมักจะอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่รวมฝูงหรือเดินร่วมกับเสือดาวจึงทำให้อ่อนแอและเป็นจุดอ่อนเพราะมีอัตราการรอดตายน้อยกว่าเสือดาว
เสือดำได้กลายเป็นสัญญลักษณ์ของการอนุรักษ์ธรรมชาติครั้งใหญ่ของผู้คนในปัจจุบันอย่างไม่ตั้งใจไปแล้ว
แต่อีกด้านหนึ่ง เสือดำก็สะท้อนปัญหาความยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำหรือ การเลือกปฏิบัติในสังคมไทยได้เป็นอย่างดี
คดีนี้หากเป็นชาวบ้านธรรมดา คงถูกจับติดคุกไปนานแล้ว แต่เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นประธานบริษัทอิตาเลียนไทย เจ้าของกิจการระดับแสนล้านมีเส้นสายในแวดวงผู้มีอำนาจในสังคมมาทุกยุคทุกสมัยดูแลทุกฝ่ายตั้งแต่นักการเมือง ทหาร ตำรวจ ข้าราชการระดับสูงมายาวนานตั้งแตรุ่นพ่อ และเพิ่งประมูลรับเหมาก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าหลายหมื่นล้านกับรัฐบาลชุดนี้ คดีนี้จึงเป็นที่จับตาดูว่า จะพลิกไปพลิกมาอย่างไร
คนทั่วไปค่อนข้างเห็นใจเจ้าหน้าที่อุทยานฯและตำรวจระดับปฏิบัติงาน ที่ทำงานแบบมืออาชีพเต็มที่ ในการแสวงหาหลักฐาน ข้อเท็จจริง หวังเอาผู้ต้องหามาลงโทษให้ได้ หากเป็นคนธรรมดาคดีนี้คงสรุปสำนวนส่งอัยการไปแล้ว แต่คดีนี้ผู้ต้องหาเส้นใหญ่ถึงใหญ่มาก จึงต้องดูผู้มีอำนาจเบื้องบนก่อนว่าจะกำหนดให้ไปทิศทางใด
แต่ความโชคดีของคดีนี้คือ คนส่วนใหญ่ต่างไม่พอใจมากต่ออภิสิทธิ์ชนที่สามารถทำอะไรเหนือกฎหมายมานานแล้ว โยงไปถึงเรื่องการเลือกปฏิบัติของผู้รักษากฎหมาย
และเสือดำ เป็นสัตว์ที่ถูกกระทำอย่างโหดร้ายเพียงฝ่ายเดียวอย่างไม่มีทางสู้ ไม่มีเรื่องการเมือง หรือสีเสื้อเข้ามาเกี่ยวข้อง
ผู้คนค่อนประเทศจึงพร้อมใจกันทวงความยุติธรรมมาให้เสือดำ
กระแสของผู้คนในโลกออนไลน์จึงจับตาดูคดีทุกฝีก้าว บีบให้คดีนี้ไม่ง่ายในการกระทำอะไรที่หมิ่นเหม่ต่อหลักฐานและข้อเท็จจริง จะขยับอะไรก็ลำบาก เพราะทุกคนจ้องจับผิดหมด
แม้กระทั่งการที่นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ยกมือไหว้ผู้ต้องหาก็เป็นประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์ได้
หนึ่งเดือนผ่านไป สำนวนคดีก็ยังสอบไม่เสร็จ ท่ามกลางข่าวที่ออกมาว่า หลักฐานอ่อน หรือไม่พอเพียงในการฟ้อง ในขณะที่ ผู้ต้องหาปฏิเสธทุกข้อหา แต่ได้รับประกันตัว
เชื่อว่าคดีนี้ สุดท้ายผู้ต้องหาไม่หนี ตำรวจคงส่งฟ้องทุกคดีอย่างเต็มที่ เพื่อลดแรงกดดันของสังคม แต่การพิจารณาคดีคงใช้เวลานานหลายปี จนกระแสสังคมจางหายไป
เมื่อปี 2516 กรณีข้าราชการทหารล่าสัตว์ป่าที่ทุ่งใหญ่นเรศวร จำเลยทั้ง 9 คน ถูกส่งฟ้องศาล และมีคำพิพากษาให้จำคุก 4 เดิอนจำเลยคนที่ 9 คือนายพรานที่รับสารภาพในชั้นสอบสวน ส่วนที่เหลือถูกปล่อยตัวหมด เพราะ “โจทย์ไม่มีประจักษ์พยานมานำสืบให้เห็นว่า จำเลยล่าสัตว์”
ปี 2561 ล่าสัตว์ในทุ่งใหญ่นเรศวร คดีจะเป็นอย่างไร ติตตามต่อไปด้วยใจระทึก
กรุงเทพธุรกิจ 15 มีค.2561