มีคนตั้งคำถามว่า ระหว่าง ไข้หวัดนก ไข้หวัดมรณะ หรือซาร์ส ที่ระบาดไปทั่วโลกเมื่อห้าหกปีก่อน กับไข้หวัดใหญ่ 2009 อะไรน่ากลัวกว่ากัน
และตอนที่โรคซาร์สแพร่ระบาดไปทั่วโลกเป็นข่าวที่น่ากลัวมาก แต่เหตุใดโรคซาร์สมันถึงมาเร็วและไปเร็วกว่าไข้หวัดใหญ่2009 ซึ่งเรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน คือเกิดขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับไข้หวัดใหญ่ 2009
นักระบาดวิทยาตั้งข้อสังเกตว่า
ไข้หวัดนก เป็นไข้หวัดใหญ่ที่เกิดกับสัตว์ปีก แต่เป็นไวรัสคนละชนิดกับไข้หวัดใหญ่ในคน (H 5 N 1) ไข้หวัดนกติดจากสัตว์สู่คนได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่ง (อุจจาระ น้ำมูก น้ำตา น้ำลาย) ของสัตว์ป่วย หรือติดต่อทางลมหายใจจากเชื้อไข้หวัดนกกระจายฟุ้งไปในอากาศ เมื่อรับเชื้อจะมีอาการภายใน 1-7 วัน อาการเหมือนโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นมากจะมีปอดบวม การหายใจล้มเหลว โอกาสเสียชีวิตมีสูงถึงร้อยละ 70 แต่พระเจ้ายังเมตตาตรงที่การติดต่อจากคนสู่คนยังไม่มีหลักฐานชัดเจน
ส่วนไข้หวัดซาร์ส เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (Sars-CoV) ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในประเทศจีน ติดมาจากสัตว์ป่าซึ่งอาจจะเป็นตัวชะมด ที่คนจีนนำมาเป็นอาหารเปิดพิสดาร โดยการสัมผัสอย่างใกล้ชิด เมื่อรับเชื้อจะมีอาการภายใน 2-10 วัน อาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ ต่อมา ระบบหายใจจะล้มเหลว โอกาสเสียชีวิตมีสูงถึงร้อยละ 50 และที่สำคัญคือติดต่อจากคนสู่คนได้
ตอนเกิดโรคระบาดทั้งสองชนิดนี้ใหม่ ๆ จึงมีการป้องกันอย่างเข้มงวด เพราะอัตราการตายสูงมาก หลายคนยังจำได้ดีว่า การป้องกันไข้หวัดนก คือฆ่าเป็ด ฆ่าไก่กันแบบยกเล้าตายกันเป็นแสนตัว เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของโรค
ตอนนั้นผู้คนพร้อมใจใส่ผ้าคาดจมูกกันตามที่ชุมชน ศูนย์การค้า ในโรงเรียน โรงพยาบาล ทั้งคนป่วยและคนไม่ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
ในสนามบินดอนเมืองผู้โดยสารคนใดเดินผ่านเครื่องเทอร์โมสแกนแล้วเจอไข้สูง ต้องโดนกักตัวดูอาการอย่างเด็ดขาด
ไข้หวัดนกเป็นแล้วรอดยาก แต่โอกาสติดน้อย เพราะติดจากสัตว์ปีกสู่คน ขณะที่ไข้ซาร์สติดจากคนสู่คนได้ โอกาสรอดห้าสิบห้าสิบ ทำให้ผู้คนในสังคมตื่นตัวกันมาก ให้ความร่วมมืออย่างดีในการป้องกัน เพราะกลัวติดโรค ใครป่วยถูกกักกันบริเวณอย่างเด็ดขาด
เมื่อคนในสังคมตื่นตัวกันหมด การจำกัดบริเวณของโรคจึงทำได้ง่าย และเชื้อโรคก็ค่อย ๆ หมดไปในเวลาอันรวดเร็ว
ส่วนโรคหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งแต่เดิมเรียกว่าไข้หวัดหมู เป็นโรคที่แพร่ติดต่อระหว่างคนสู่คน เริ่มพบเป็นครั้งแรกในประเทศเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกา ต่อมาได้แพร่ออกไปยังอีกหลายประเทศ เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดA/H1N1 ซึ่งเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ตัวใหม่ ที่ไม่เคยพบมาก่อน เกิดจากการผสมสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ของคน สุกร และนก
เมื่อเกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 นี้ องค์การอนามัยโลกได้ออกมาปลอบใจว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้ ไม่ร้ายแรงมากไปกว่าไข้หวัดใหญ่ธรรมดา เพราะอัตราการติดตายต่ำมาก เพียงแค่ 4 % เท่านั้น
ถ้าเปรียบเทียบกับโรคซาร์สหรือหวัดนกแล้ว หวัดใหญ่ 2009 สบายกว่ากันเยอะเลยเพื่อนเอ๋ย
แม้โรคนี้จะติดต่อจากคนสู่คนได้ ก็ไม่หนักหนาอะไรมาก ซึ่งทำให้มาตรการป้องกันโรคนี้จึงไม่จริงจัง หรือซีเรียสอะไรมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับสองโรคที่ผ่านมา
ในสนามบินสุวรรณภูมิ เราจึงเห็นเครื่องเทอร์โมสแกนทำหน้าที่ตรวจอุณหภูมิของผู้โดยสารแบบไม่ค่อยซีเรียสอะไรมากนัก ทำกันพอเป็นพิธี เพราะรัฐบาลกลัวการท่องเที่ยวจะทรุดลงไปหนักกว่านี้ หลังจากที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์สงกรานต์เลือดกันมาหยก ๆ
ผู้โดยสารบางคนมีไข้ก็เอาน้ำเช็ดตัว ลูบหัวให้ไข้ลดลง ก่อนเดินผ่านเครื่องตรวจ ผ่านแบบสบาย ๆ
ไม่นานนักเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่อยู่ไกลจากเมืองนอกก็แห่กันเข้ามาเมืองไทยอย่างชิว ๆ ฟักตัวไม่นาน และออกล่าเหยื่อโจมตีผู้คนในมหานครอย่างพร้อมเพรียงกัน
ประกอบกับโรคนี้ป่วยแล้วตายยาก ทำให้คนที่รู้ตัวว่าเป็นโรคยังสามารถปฏิบัติตัวเหมือนปรกติได้ ไม่ว่าจะไปทำงาน เรียนหนังสือ ไปตามแหล่งที่ชุมชน แทนที่จะพักรักษาตัว หรือหยุดอยู่กับบ้าน การแพร่กระจายของโรคจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
รัฐบาลเองก็มึนกับโรคนี้อย่างหนัก ตอนแรกก็เชื่อองค์การอนามัยโลกว่าไม่รุนแรง หมอในกระทรวงและนอกกระทรวงก็ยังมีความเห็นขัดแย้งกันหลายฝ่ายว่ารุนแรงหรือไม่รุนแรง รัฐมนตรีผู้มีอำนาจก็ไม่กล้าใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเหมือนคราวที่ผ่านมา เพราะกลัวผู้คนในสังคมจะตื่นตูมเกินไป กลัวการท่องเที่ยว กลัวเศรษฐกิจไม่ฟื้น จึงใช้วิธีบอกว่า เป็นโรคไม่ร้ายแรง แต่ดันแถลงข่าวยอดผู้ป่วยผู้ตายให้คนตกใจได้ทุกวัน เป็นเหยื่อของกองทัพนักข่าวที่ไล่จิกข่าวแทบทุกชั่วโมง จนประชาชนชักสงสัยว่ามันเป็นโรคระบาดร้ายแรงจริงหรือไม่จริง
พอมีผู้คนล้มป่วยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำลายสถิติเดิมทุกวัน ประชาชนก็ตื่นตระหนกว่าทำไมมันแพร่ระบาดได้รวดเร็วปานกามนิตหนุ่มเช่นนี้
ต้องยอมรับว่าสาเหตุประการหนึ่งที่เชื้อโรคหวัดใหญ่ 2009 ระบาดได้อย่างรวดเร็ว เพราะมันเป็นเชื้อโรคชนิดใหม่ ไม่เคยอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์มาก่อน ทำให้มนุษยชาติไม่มีภูมิคุ้มกัน พอเกิดการระบาดแล้วจึงห้ามไม่อยู่ เช่นเดียวกันหากทุกวันนี้เกิดไข้หวัดใหญ่สเปนที่คร่าชีวิตมนุษย์ทั่วโลกไปถึง 40-50 ล้านคนเมื่อ 90 ปีก่อน กลับมาระบาดใหม่ก็จะไม่ทำอันตรายมากนัก เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันเชื้อโรคชนิดนี้แล้ว
เมื่อประชาชนตื่นตระหนกมาก ๆ รัฐบาลก็ลังเลว่าจะจัดการปัญหานี้ตามกระแสสังคม หรือแก้ปัญหาตามข้อเท็จจริง อย่าลืมว่า นักวิชาการด้านระบาดวิทยายังเห็นไม่ตรงกันว่า โรคนี้คนในสังคมตื่นกลัวเกินเหตุหรือไม่ คิดจะปิดโรงเรียน ปิดศูนย์การค้า ปิดโรงหนัง งดคอนเสร์ตทั่วประเทศก็คิดหนักว่าเป็นการแก้ปัญหาถูกทางหรือเปล่า หรือประเทศจะพังยับมากกว่านี้
ทุกวันนี้จึงแก้ปัญหาแบบปิด ๆ เปิด ๆ อาทิโรงเรียนสังกัดกทม.ปิด โรงเรียนกระทรวงศึกษาธิการไม่ปิด
มีข้อสังเกตว่าในประเทศที่มีการสาธารณสุขดีกว่าบ้านเรา อย่างอังกฤษ ออสเตรเลียและญี่ปุ่นนั้น ปัจจุบันอัตราการตายและเจ็บป่วยกลับสูงขึ้นจนน่าตกใจ
แต่ความจริงประการหนึ่งที่เรา ๆท่าน ๆ ต้องยอมรับคือ โรคหวัดใหญ่ 2009 คงจะอยู่กับโลกนี้ไปอีกนาน หนทางที่ดีที่สุดคือการพึ่งตัวเอง ให้ห่างไกลจากเชื้อโรคมากที่สุด ทำอย่างไรที่เราจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันแบบสงบสุข ต่างคนต่างอยู่ในโลกใบนี้ อย่ามายุ่งกันเลย
หนทางที่ดีที่สุดคือการใช้หน้ากากอนามัยคาดปากและจมูก ใส่ให้เป็นเรื่องปรกติ เหมือนคนญี่ปุ่น ที่คาดผ้าทุกครั้งเมื่อเป็นหวัดธรรมดา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของหวัด
หากเราทุกคนร่วมกันสร้างค่านิยมใหม่ว่า การคาดหน้ากากอนามัยในที่ชุมชน และการล้างมือบ่อย ๆ เป็นเรื่องปรกติ เพื่อช่วยกันจำกัดการแพร่ระบาดของโรคหวัดใหญ่ 2009 และทุกโรคที่จะตามมาในอนาคต
ถึงเวลานั้น ก็จะรู้ว่าเมื่อประชาชนพึ่งตัวเองได้ รัฐบาลก็ไม่มีความหมายใด ๆ
มติชน 19 กค. 2552
Comments
สิ่งที่สังเกตเห็นอีกอย่างหนึ่ง บุคคลที่คาดหน้ากากอนามัย ส่วนใหญ่เป็นผู้คนที่ยังแข็งแรงดี ส่วนคนที่ป่วย ไอ จาม กลับไม่คาด… มันเป็นเรื่องที่เซ็งมากที่คนฮัดชิ่วในธนาคาร ส่วนราชการ ฯลฯ ไม่ยอมคาดหน้ากาก และไม่เดินออกไปฮัดชิ้วข้างนอกที่อากาศถ่ายเทกว่าอ่ะคับ…
ลป. (ลืมปัย) ได้ข่าวว่านักเขียนการ์ตูนระดับเทพของโอเคเนชั่น ได้มีโอกาสโชว์ฝีไม้ลายมือในนิตยสารของพี่นะคับ… ดีจัย ๆ ๆ ๆ…
ปกติไม่ค่อยเป็นสมาชิกนิตยสารเท่าไหร่ คือชอบอ่าน แต่ไม่ชอบเก็บน่ะคับ มันรกบ้าน แต่สงสัยถ้าคุณ GPEN มีคอลัมภ์ประจำในนิตยสารของพี่ มุกกี้คงต้องเป็นสมาชิกเสียแล้ว… 😉
http://www.oknation.net/blog/dreamline/2009/07/19/entry-1/
ฝากไว้ เผื่อพี่จอบมีเวลาแวะไป คุณ “นาฬิกาลืมเวลา” เป็นอีกบุคคลมีคุณภาพของชุมชนของเราฮะ… 😆
เฮ้อๆ ไข้หวัดนก็มีเเล้ว ไข้หวัดหมูก็มีเเล้ว เเละต่อไปจะมีไข้หวัดสัตว์ชนิดไหนโผล่มาอีกนี่ เราๆทุกคน คงต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้เเข็งเเรง Up n’down ทุกๆวัน พึ่งตัวเองไว้ก่อนคงจะดีที่สุด