จากกรุงเทพมหานครใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วโมง ข้ามมหาสมุทรอินเดีย เข้าสู่อ่าวเบงกอล ผมสามารถมาเดินเล่นอยู่กลางเมืองหลวงของชาวทมิฬ ในดินแดนอินเดียใต้ที่เรียกว่า รัฐทมิฬนาฑู
เมืองหลวงแห่งนี้ชื่อว่า เมืองเจนไน หรือ ชื่อเดิมว่า มัทราส ผมได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิตตอนเป็นนักเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก เพราะบรรดาบราเดอร์ของโรงเรียนมักจะถูกส่งมาศึกษาต่อที่สำนักนักบวชคาทอลิกในเมืองมัทราส และจำได้ว่าอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ศิษย์เก่าอัสสัมชัญเมื่อครั้งเป็นเสรีไทยมาฝึกรบที่ประเทศอินเดียช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก็เคยมาเยี่ยมบรรดาบราเดอร์ที่ลี้ภัยจากกรุงเทพมาอยู่เมืองมัทราส
เจนไนและกรุงเทพฯ มีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง คือ ร้อน และอากาศเป็นพิษจากการจราจรติดอันดับโลก
อันที่จริงเจนไนเป็นเพียงเมืองผ่าน ผมเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังตอนใต้ของชมพูทวีปเป็นแหลมที่อยู่เกือบติดกับประเทศศรีลังกา เรียกว่าแหลมราเมชวาราม ที่คนโบราณเชื่อกันว่าคือสะพานที่พระรามและกองทัพลิงช่วยกันสร้างเพื่อมุ่งหน้าไปเกาะลังกา ไปช่วยนางสีดาที่ถูกทศกันฐ์ลักพาตัวมา จนเรียกว่าสะพานของพระราม
หากไม่ใช่คนพื้นเมือง แหลมแห่งนี้คงไม่ค่อยมีคนรู้จัก เพราะห่างไกลและไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่กลางเดือนมกราคม แหลมราเมชวารามเป็นที่รู้จักของคนในวงการดาราศาสตร์ เพราะเป็นสถานที่ไม่กี่แห่งในโลกที่จะได้มีโอกาสดูสุริยุปราคาวงแหวนแบบเต็มดวง ช่วงเวลาเที่ยงของวันที่ ๑๕ มกราคม
ผมกับพรรคพวกอีกสามสี่คนคงเป็นคนไทยกลุ่มเดียวที่ดั้นด้นมาดูสุริยุปราคาวงแหวนถึงที่นี่ และก่อนมาหลายเดือนได้จองโรงแรมตากอากาศแห่งเดียวของที่เป็นของรัฐบาล เพื่อรับประกันว่าจะมีที่ซุกหัวนอน แต่โชคร้ายก่อนมาเพียงวันเดียว ทางโรงแรมได้ยกเลิกการจองกระทันหัน บอกว่าต้องสำรองห้องพักให้กับผู้ว่าราชการรัฐทมิฬนาฑูและผู้ติดตามที่จะมาดูสุริยุปราคาวงแหวนที่นี่
โดยไม่สนใจว่าเราจะพักที่ไหน
เราแปลกใจกับระบบเจ้าขุนมูลนาย ระบบอภิสิทธิ์ชน ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับประเทศที่เรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยจ๋าแห่งหนึ่งของโลก แต่สุดท้ายพรรคพวกที่ไปด้วยได้เจรจาต่อรอง จนได้ห้องพักเก่า ๆ สกปรก จนต้องไปซื้อน้ำยาทำความสะอาดมาล้างห้องกันขนานใหญ่
เย็นก่อนหน้าการเกิดสุริยุปราคาวงแหวน เมืองเล็ก ๆแห่งนี้เต็มไปด้วยตำรวจและทหารหลายร้อยนายที่มาอารักขาผู้ว่าฯท่านนี้ ตามตลาดถนนหนทาง มีตำรวจยืนยามเป็นระยะ คอยกั้น คอยโบกรถไม่ให้ขวางทางขบวนของท่านผู้ทรงเกียรติ
ยิ่งใกล้เวลา ตำรวจบางคนถือไม้คอยยืนไล่คนให้พ้นทาง หน้าโรงแรมมีวงดุริยางค์ กองเกียรติยศตั้งแถวต้อนรับ ผมอุตส่าห์แอบลงไปดูกับเขาด้วย แต่สุดท้ายแขกวีไอพีกลับเป็นเพียงบรรดาญาตินักการเมืองที่เพิ่งทราบข่าวว่าจะมีสุริยุปราคา จึงแห่กันมาดูถึงที่นี่
ส่วนท่านผู้ว่าฯ ไม่ต้องลำบากมาค้างแรมถึงเมืองเล็กห่างไกลความเจริญ เช้าวันที่มีสุริยุปราคา ก็นั่งเฮลิคอปเตอร์มาลงแถวนั้น และมาต่อรถพร้อมขบวนผู้ติดตามจำนวนมากมาดูปรากฏการณ์ธรรมชาติบริเวณหน้าโรงแรม
นักการเมืองทั่วโลกดูจะเหมือนกันหมด ก่อนการเลือกตั้งอ้างประชาชน อ้างมวลชน เห็นใจคนยากคนจน พอมีอำนาจเป็นฝ่ายรัฐบาล ก็ไม่เห็นหัวประชาชน กลายเป็นอภิสิทธิ์ชน ไม่ว่าจะเป็นสีใด หรือพรรคใด
เที่ยงวันนั้นผมมาเดินออกจากโรงแรม ที่มีแต่ท่านผู้ทรงเกียรติคุ้มกันด้วยทหารตำรวจ ออกมาดูสุริยุปราคากับชาวบ้านริมชายหาด ผมแบ่งแว่นดูดวงอาทิตย์ที่นำติดตัวมาจากเมืองไทยให้กับชาวบ้านที่ทางการอินเดียแทบจะไม่เคยบอกกล่าวให้พวกเขาทราบว่า วันนี้มีความพิเศษอย่างใด
ผมสุขใจที่ได้ช่วยทำให้เพื่อนชาวทมิฬหลายสิบคนได้มีโอกาสดูสุริยุปราคาวงแหวนที่กินเวลายาวนานสิบกว่านาที ยาวนานที่สุดในรอบหนึ่งพันปี
ผมแบ่งแว่นให้ตำรวจที่ยืนยามกลางแดดร้อนจัด ได้มีโอกาสเห็นสิ่งที่เจ้านายของเขาได้ดูเช่นกัน พวกเขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความดีใจที่ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต และขอบคุณในความกรุณาของมิตรจากแดนไกล
มองขึ้นท้องฟ้า ทุกคนยังมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการเห็นสุริยุปราคา
ธรรมชาติให้ความเท่าเทียมมานานแล้ว
จากนิตยสาร สารคดี ฉบับที่ 300 กพ.2553
Comments
แปลกใจจริงๆ ที่คนไทย (อย่างคุณวัน ตัน) ยังแปลกใจกับระบบเจ้าขุนมูลนาย
และระบบอภิสิทธิ์ชนที่คุณไปเจอมาในอินเดีย
เพราะเรื่องปิดถนน หรือเรื่องที่พักสำหรับอภิสิทธิ์ชน
เมืองไทยติดอันดับต้นๆ ของโลกอย่างแน่นอนและโจ่งแจ้งที่สุดแล้วล่ะ
ทั้งในด้านปิดถี่ ปิดนาน ปิดสนิททุกเลน ไม่ให้แม้แต่รถพยาบาลฉุกเฉินผ่านได้
มีวันไหนบ้าง ที่ถนนในกรุงเทพฯ ไม่ถูกปิดสักวัน อยากทราบจริงๆ
เหมือนที่คุณวันชัยเคยสอนไว้
ตอนที่มาเป็นวิทยากรให้ A team junior 7
“ถ้าเรารู้สึกว่าตัวเองใหญ่โตเมื่อไหร่ เมื่อนั้นให้ไปนอนดูดาว”
🙂
” ทุกคนยังมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการเห็นสุริยุปราคา ”
ชื่นชมจริงๆค่ะ
เอาเถอะ ก็เหมือนกับการเห็นสุริยุปราคานั่นแหละ ไม่ใช่ทุกแห่งจะเห็นได้เหมือนกันหรอกใช่ไหม ในยุคนี้ถ้าท่านผู้นำเกิดลืมเรื่องความเท่าเทียมไปบ้าง แต่ยังใส่ใจเรื่องความเป็นธรรมอยู่ ก็น่าให้อภัยใช่ไหม ท่านอภิสิทธิ์