นานมาแล้ว ผู้ใหญ่ที่นับถือคนหนึ่งเคยบอกกับผู้เขียนว่า หากมีโอกาสทำธุรกิจและอยากรวยเร็ว ให้ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มชูกำลัง
น้ำไม่เคยสร้างความผิดหวังให้กับใคร
ลองหันมาดูบรรดาเจ้าสัว อภิมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆของบ้านเรา ส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าของธุรกิจด้านเครื่องดื่มกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเหล้า เบียร์ เครื่องดื่มชูกำลัง ชาเขียว และน้ำดื่มบรรจุขวด
ธุรกิจที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก จะสร้างกำไรมหาศาลให้กับเจ้าของ เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตต่ำมาก สามารถไปขายได้กำไรหลายเท่าตัว
ในต่างประเทศตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด ซึ่งรวมถึงน้ำแร่ด้วยได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในชั่วเวลาไม่กี่สิบปี และสร้างปรากฎการณ์ทางการตลาดอย่างเหลือเชื่อ
ยอดขายน้ำดื่มบรรจุขวดในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น 170 เปอร์เซนต์ในระหว่างปี ค.ศ.1997-2006 ด้วยมูลค่ายอดขายจาก 132,000 ล้านบาทมาเป็น 356,400 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วโลกอยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท
ในปีค.ศ. 1987 อัตราการดื่มน้ำขวดของชาวอเมริกันคือปีละ 22 ลิตรต่อคน ยี่สิบปีต่อมาเพิ่มเป็น 105 ลิตรต่อคน ยอดขายน้ำดื่มบรรจุขวดได้แซงหน้ายอดขายเบียร์และนมไปเรียบร้อยแล้ว มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2011 ยอดขายน้ำดื่มจะแซงหน้าน้ำอัดลม เครื่องดื่มยอดฮิตตลอดกาลของชาวอเมริกันที่ดื่มมากกว่า 200 ลิตรต่อคนต่อปี
ธุรกิจน้ำดื่มบรรจุขวดสามารถทำกำไรมหาศาลให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างไม่น่าเชื่อในชั่วเวลาไม่กี่ปี ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเนสท์เล่ หรือบริษัทเป๊ปซี่-โคล่า ที่ได้กำไรปีละหลายหมื่นล้านบาท บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกล้วนกระโจนลงมาผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด เพราะต้นทุนต่ำแต่กำไรมหาศาล
เบื้องหลังความสำเร็จ ปัจจัยสำคัญมาจากการโฆษณาอย่างต่อเนื่อง ได้ทำให้การดื่มน้ำขวดเป็นเรื่องจำเป็นในชีวิตที่คนอเมริกันยอมจ่ายเงิน จากเดิมที่เคยดื่มน้ำฟรีจากน้ำก๊อก ซึ่งไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
ความสำเร็จจากการโฆษณาที่ใช้บรรดาเซเล็บ หรือดารา นักแสดงชื่อดังทำท่าดื่มน้ำขวดใสปิ๊งมีพรายฟอง เป็นเครื่องรับประกันว่าน้ำบรรจุขวดมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใสสะอาด มีประโยชน์ต่อสุขภาพและยังมีเกลือแร่มากกว่าการดื่มน้ำประปาฟรีตามก๊อกน้ำ และที่สำคัญคือดื่มน้ำจากขวดใสปิ๊ง ทำให้เรากลายเป็นคนทันสมัย เก๋ เท่กว่าดื่มน้ำก๊อกแสนเชย
โฆษณาทำนองนี้ที่ออกตามสื่อบ่อย ๆ ได้ซึมเข้าไปจนแทบจะกลายเป็นค่านิยมของคนเมืองและระบาดไปถึงคนชนบท ทำให้ผู้คนยอมควักเงินซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดอย่างถล่มทลาย สร้างความร่ำรวยมหาศาลให้กับเจ้าของกิจการ และผู้บริโภคยังหลงเชื่อว่าน้ำขวดสะอาดกว่าน้ำประปาที่ได้รับการรับรองจากทางการมานานแล้วว่าปลอดภัย
เมื่อเร็ว ๆ นี้มีหนังสือขายดีเล่มหนึ่งชื่อ BOTTLEMANIA (สำนักพิมพ์โพสต์บุ๊ก กำลังแปลเป็นไทย ) ได้เปิดเผยคือเรื่องราวของน้ำดื่มบรรจุขวดในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีเบื้องหลังการผลิตและการก่อกำเนิดไม่ใสบริสุทธิ์ สะอาดทุกขั้นตอนเหมือนกับคำโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ
ผลการวิจัยจำนวนมากพบว่าน้ำบรรจุขวดยี่ห้อดังหลายแห่ง อาจปนเปื้อนด้วยแบคทีเรียและสกปรกกว่าน้ำประปา จากกระบวนการผลิตและแหล่งน้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน
แต่ปัญหาที่ซับซ้อนไปกว่านั้นคือสงครามแย่งชิงน้ำกำลังเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เมื่อบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่กำลังกว้านซื้อแหล่งน้ำใต้ดิน หนอง บึง ตามธรรมชาติ หรืออ่างเก็บน้ำมาเป็นของตัวเอง หรือเช่าระยะยาวจากทางการ เพื่อมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำขวดทั้งน้ำเปล่าและน้ำแร่ สร้างความขัดแย้งให้กับประชาชนในท้องถิ่นที่เริ่มขาดแคลนน้ำประปา หรือไม่ก็ต้องจ่ายค่าน้ำในราคาที่แพงกว่าให้กับบริษัทน้ำดื่มเหล่านี้ และอีกไม่นานแหล่งน้ำสำคัญในสหรัฐอเมริกากำลังถูกผูกขาดจากบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่บริษัท
น้ำดื่มบรรจุขวดยังสร้างปัญหาขยะขวดพลาสติกปีละหลายหมื่นล้านใบที่ถูกทิ้งไปทั่วประเทศ ไม่นับปัญหาจากกระบวนการผลิต และการขนส่งที่ล้วนปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
อ่านหนังสือเล่มนี้ก็คงคล้ายกับเรากำลังอยู่ในสมรภูมิ ดูสงครามระหว่างน้ำขวดกับน้ำก๊อก สงครามระหว่างการทำกำไรของบริษัทยักษ์ใหญ่กับผลประโยชน์ของคนท้องถิ่นที่ถูกแย่งชิงไป
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า อีกไม่นานแหล่งน้ำดื่มของคนทั่วโลกกำลังจะตกอยู่ในมือของบริษัทข้ามชาติเพียงไม่กี่บริษัท ทำให้คนทั่วไปต้องดื่มน้ำในราคาแพงขึ้นมาก
นับวันน้ำจะกลายเป็นของหายาก และเป็นวัตถุดิบที่มีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกวันนี้ภูเขาน้ำแข็งแถบขั้วโลกขนาดพื้นที่ใหญ่กว่ากรุงเทพฯ ก็ถูกบริษัทยักษ์ใหญ่จับจองสัมปทานกันไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อผลิตน้ำแร่ราคาแพงลิตรละสองพันกว่าบาท
หันกลับมามองที่บ้านเรา จากสถิติพบว่า คนไทยดื่มน้ำขวดไม่ต่ำกว่าปีละ 4,000 ล้านขวด แทรกซึมเข้าไปทุกพื้นที่ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยอดดอย ป่าลึกหรือใต้ทะเล ก็เห็นขวดน้ำดื่มทิ้งกันเกลื่อน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกปีตามกระแสการตลาดและคำโฆษณา ยักษ์ใหญ่วงการน้ำอัดลม เบียร์ เหล้าและเครื่องดื่มชูในประเทศกำลังต่างหันมาเปิดตลาดน้ำดื่มกันเต็มที่ และสัดส่วนของกำไรในฟากน้ำดื่มบรรจุขวดกำลังเติบโตรวดเร็วอย่างน่าใจหาย โดยทุกวันนี้ตลาดน้ำดื่มบรรจุขวดมียอดขายปีละประมาณ 20,000 หมื่นล้านบาท
เช่นเดียวกับตลาดน้ำแร่ของบ้านเราก็เติบโตอย่างรวดเร็ว มีการทุ่มเงินโฆษณามูลค่าหลายร้อยล้านบาท เอาดาราวัยรุ่นเป็นพรีเซนเตอร์ จับกลุ่มผู้หญิงวัยทำงานใส่ใจสุขภาพ และรูปลักษณ์ ความสวยงาม ต้องการให้ตัวเองดูดี จากภายในสู่ภายนอก
การตลาดและโฆษณายุคใหม่พยายามสร้างภาพเพื่อดูดเงินจากกระเป๋าเราว่า น้ำแร่เป็นน้ำบริสุทธิ์ อุดมด้วยแร่ธาตุ มีประโยชน์แก่ร่างกาย บ้างก็โฆษณาว่าสามารถล้างพิษในร่างกาย ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ทั้ง ๆ ที่วงการแพทย์ก็รู้ดีว่า ทุกวันนี้เราก็ได้เกลือแร่อยู่แล้วจากอาหาร เนื้อ ผัก ผลไม้ที่รับประทานเข้าไปเป็นประจำ
และหากต้องการดื่มน้ำแร่เพื่อเติมแร่ธาตุที่ร่างกายขาดไป เราจะต้องดื่มน้ำแร่เป็นปริมาณมากต่อวัน ซึ่งอาจไม่จำเป็น หากร่างกายคุณได้รับแร่ธาตุจากอาหารเพียงพอแล้ว แร่ธาตุส่วนเกินที่ถูกดื่มเข้าไปก็จะถูกขับออกในรูปของเสียของร่างกาย
ยังไม่มีการสำรวจจริงจังว่า แหล่งผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดในบ้านเรา ไปแย่งชิงแหล่งน้ำจากชาวบ้านในท้องถิ่น หรือไปฮุบเอาบริเวณป่าต้นน้ำมาครอบครองเพื่อผลิตน้ำแร่บรรจุขวด
แต่ที่แน่ ๆก็คือ
น้ำฝนแช่เย็นในตุ่มหม้อดินตามหน้าบ้านในชนบทที่ให้ผู้เดินทางผ่านไปมาได้ดื่มฟรีแก้กระหาย ได้กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันของน้ำใจคนไทย
น้ำดื่มฟรีไม่มีในโลกสีน้ำเงินอีกต่อไป
มติชน 1 สิงหาคม 2553
Comments
Pingback: Tweets that mention สงครามน้ำขวดกับการแย่งชิงแหล่งน้ำ | -- Topsy.com
Water is Life.
น้ำคือชีวิต
รักษ์น้ำ..รักชีวิต
รู้น้ำ..รู้ชีวิต…มองลำธารผ่านความคิด
…มองชีวิตอย่างพอเพียง
ไหลตามกระแสน้ำ กับนโยบายน้ำขวด ห้ามขายเกิน 7 บาทด้วยคน แต่ถ้าจะให้ดีน่าจะไม่เกิน 5 บาทนะ
แค่ออกแบบฉลาก/รูปทรงขวดสวยๆ ขายแพงกว่าราคาน้ำมันอีก (แพงขวด … ขอ ขวด ของเรา?)