ภาพ พรุอ่างกา จากบทความ
"เข้าห้องน้ำ สะเทือนทั้ง ดงดอย"
นิโร โยโกตา ตลาดน้ำในเงาสีน้ำ
|
.....ขณะเขียนบทบรรณาธิการอยู่นี้
อยู่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม
หุ้นไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ กระทิงดุอีกครั้งหนึ่ง
ดัชนีปรับตัวขึ้น อย่างรวดเร็ว จากระดับ ๓๐๐
กว่าจุด ในช่วงก่อนสงกรานต์ มาอยู่ที่ ๕๐๐ กว่าจุด
ปริมาณการซื้อขาย พุ่งกระฉูดถึงวันละ ๒
หมื่นกว่าล้านบาท
ซึ่งถือว่าเป็นการซื้อขายสูงสุดในรอบห้าปีทีเดียว
.....ในฐานะศิษย์เก่าชาวหุ้น ก็ขอแสดงความยินดีกับ บรรดาแมลงเม่า ที่บินเข้าไป ทำกำไร กันก่อนหน้านี้
.....สาเหตุสำคัญที่ทำให้หุ้นพุ่งขึ้น
มาจากการที่สถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำหรือ
มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ซึ่งเป็นบริษัท
ที่ให้คำปรึกษา ด้านการลงทุนแก่ฝรั่ง ในประเทศต่าง
ๆ ได้ประกาศ ปรับมุมมองเครดิต ของประเทศไทย
เป็นบวก
คือในส่วนของ ตราสารหนี้ระยะยาว ที่เป็นเงินตรา ต่างประเทศ อยู่ที่ระดับ
Ba1 และตราสารเงินฝาก
ที่เป็นเงินตรา ต่างประเทศ อยู่ที่ระดับ B1
จนบรรดา นักวิเคราะห์ทั้งหลาย คิดว่าเศรษฐกิจไทย เริ่มโงหัวขึ้นแล้ว
.....หากย้อนกลับไปในช่วงที่เศรษฐกิจฟองสบู่ของประเทศกำลังแตก
เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๐ มูดีส์ฯ
ประกาศ ลดเครดิต ประเทศไทย โดยจัดอันดับเป็นลบ
อยู่ต่ำกว่าระดับที่น่าลงทุน โดยอ้าง เหตุผลถึง
ปัญหาสถาบันการเงิน ของไทย คำประกาศนั้น
เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่เป็นตัวเร่งให้ เศรษฐกิจ ของไทย เริ่มดิ่งนรก
ตลาดหุ้นพังทลาย ทำให้คน ๓ ล้านคนตกงาน
และท้ายสุดที่ คนไทย ต้องเป็นหนี้ต่างชาติ ๑.๒
ล้านล้านบาท เพราะรัฐบาล ไปกู้เงินมาแก้ปัญหา
สถาบันการเงิน
.....ย้อนกลับไป ก่อนหน้านั้นอีก เมื่อสามสี่ปีก่อน
ช่วงที่เศรษฐกิจไทย กำลังเริงร่าเต็มที่
บริษัทจัดอันดับ บริษัทนี้ ไม่เคย ติดเบรก
ส่งสัญญาณ เตือนภัยเศรษฐกิจไทยแต่อย่างใด
และยังจัดอันดับ ประเทศไทยว่า เป็นประเทศที่
น่าลงทุนมาก อยู่ในระดับ A ด้วยซ้ำไป
ซึ่งมีผลทำให้ ฟองสบู่ของเศรษฐกิจไทย แตกเร็วยิ่งขึ้น
.....ที่เขียนมานี้เพื่อจะบอกว่า
มูดีส์ฯ
ซึ่งเป็นเพียง บริษัทสัญชาติอเมริกัน แห่งหนึ่ง
ได้กลายเป็น พระเจ้าองค์ใหม่
ของประเทศโลกที่สาม ไปเสียแล้ว
เพราะแถลงอะไรออกมา
ก็มีอิทธิพล ชี้นำ เศรษฐกิจ ของประเทศนั้น ๆ
.....ดังนั้น
เมื่อรัฐบาลไทย ยอมมอบตัว
เข้าเป็นนักเรียนความประพฤติดี
ของคุณครูไอเอ็มเอฟ หรือกองทุนการเงิน ระหว่าง
ประเทศ (ซึ่งอเมริกา มีอิทธิพลมากที่สุด)
ใช้โปรแกรม การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ตามแบบ ไอเอ็มเอฟ เต็มที่ คือนำเงินภาษีของ
ประชาชนทั้งประเทศ ไปอุ้ม สถาบัน การเงิน
และปล่อยให้ ฝรั่งต่างชาติ
เข้ามากว้านซื้อกิจการ
และหุ้นราคาถูก ได้อย่างอิ่มหมีพีมัน
.....ในขณะเดียวกันดัชนีดาวโจนส์ ที่ทะลุ
๑ หมื่นจุดขึ้นไปแล้วนั้น ก็สะท้อนให้เห็นว่า
เศรษฐกิจ ฟองสบู่ ของ สหรัฐฯ ร้อนแรง เกินไปแล้ว
กองทุนขนาดใหญ่ ของสหรัฐฯ
ต้องการ กระจาย ความเสี่ยง ในการลงทุน จึงโยกเงิน
มาหากำไรจาก การลงทุนกว้านซื้อหุ้นถูก ๆ ในเอเชีย
.....เมื่อทุกอย่างพร้อม
และฝรั่งเข้ามากว้านซื้อหุ้น ราคาถูก ๆ ไปหมดแล้ว
บริษัทจัดอันดับ ความน่าเชื่อถือ ก็เลื่อนอันดับ
ประเทศไทยเป็นบวก
จุดพลุ ให้คนไทยเชื่อว่า เศรษฐกิจ ของประเทศดีขึ้นแล้ว
หุ้นพุ่งกระฉูดทันที ชนชั้นกลางเมืองไทย
ที่ไม่เคย สรุปบทเรียน
ก็กลายร่างเป็น แมลงเม่า บินเข้ากองไฟ
.....แต่ดูเหมือนคนที่ยิ้มเริงร่าได้ผลประโยชน์มากที่สุดในขณะนี้
คงจะมีแต่บรรดานายธนาคาร เศรษฐี ชนชั้นนำ
ของประเทศ ในขณะที่คนตกงานมหาศาล
และคนยากคนจนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศยังไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
.....ห่างจากกรุงเทพฯ
ไปทางภาคอีสาน ที่บริเวณ เขื่อนปากมูล
จังหวัดอุบลราชธานี ชาวบ้าน ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ คน
รวมตัวประท้วงกันอย่างเงียบ ๆ
ไม่มีสื่อมวลชนสนใจไปทำข่าว
.....ชาวบ้านปากมูลซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพจับปลามาหลายชั่วอายุคนไม่สามารถจับปลาได้อีกต่อไป
เพราะ เขื่อนปากมูล
ขวางกั้นปลาจำนวนมากที่จะเข้ามาในแม่น้ำมูล
.....บันไดปลาโจน
ที่คุยนักคุยหนาว่า ปลาพันธุ์ต่าง ๆ
จะกระโดดขึ้นมาได้ ก็มีรายงานออกมาว่า ปลา จำนวน
มากกว่า ๑๔๗ ชนิด ไม่สามารถขึ้นบันไดปลาโจนได้
มีเพียงไม่กี่ชนิด
ที่กระโดดค้ำถ่อขึ้นมาได้สำเร็จ
.....เมื่อไม่มีปลาให้จับ
ชาวบ้านที่ยากจนอยู่แล้ว ก็ยากจนซ้ำซ้อนเข้าอีก
พอชาวบ้านร้องขอ ค่าชดเชย จากรัฐ โดยขอเป็น ที่ดิน
ครอบครัวละ ๑๕ ไร่ คำตอบที่ได้คือ ความเงียบ
และการถูก กล่าวหาว่า เป็นม็อบรับจ้าง
ที่ประท้วงแล้ว ประท้วงอีก
.....แต่รัฐบาล
เอาเงินภาษีของประชาชน และลูกหลานในอนาคต
นับล้านล้านบาท ไปค้ำประกัน และไปใช้หนี้ แทน
เจ้าหนี้ต่างชาติ ได้ทันใจดีแท้
จนบรรดาบริษัทฝรั่ง
ที่จัดอันดับ ความน่าเชื่อถือ การลงทุนทั้งหลาย
ต้องให้ คะแนน ประเทศไทยเพิ่มขึ้น ด้วยความชอบใจวันชัย
ตันติวิทยาพิทักษ์
vanchait@hotmail.com |