๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๓ เครื่อง ATR ของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ เหินฟ้าออกจากท่าอากาศยานดอนเมือง นำคณะศิลปินไทย ๒๐ คน มุ่งหน้าสู่กรุงพนมเปญ ๑ ชั่วโมงเศษ เครื่องบินก็ร่อนลงสู่ท่าอากาศยานโปเชนตง ซึ่งกำลังเร่งก่อสร้างอาคารเป็นการใหญ่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวกัมพูชากันมากขึ้น ภายหลังสงครามกลางเมือง ที่ดำเนินมานานได้ปิดฉากลง เมื่อฮุนเซนสามารถปราบเขมรฝ่ายต่าง ๆ ได้เป็นผลสำเร็จ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว กลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในเวลานี้ การเดินทางมาของคณะศิลปินไทยเป็นข่าวใหญ่พอสมควร เพราะเป็นครั้งแรก ที่มีชาวต่างประเทศให้ความสนใจ ในการฟื้นฟูงานด้านศิลปะ ที่ผ่านมามีเพียงความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และสาธารณสุขเท่านั้น ศิษย์เก่าศิลปากร ที่เป็นศิลปินมีชื่อเสียง อาทิ สวัสดิ์ ตันติสุข, ทวี รัชนีกร, วิโชค มุกดามณี ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี จากเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนเขมร ทุกคนได้รับพวงมาลัยคล้องคอ จากสาวเขมรในชุดนางเทพอัปสรา มีขบวนแห่กลองยาวแบบเขมร มารอรับที่หน้าประตูทางออก
"สวัสดีครับ" พนักงานต้อนรับชาวเขมร ในโรงแรมโรยัลพนมเปญกัมพูชา ทักทายคณะศิลปินด้วยภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ ขณะที่ศิลปินไทยบางคน ทักทายกลับไปด้วยภาษาเขมร ที่มีความหมายเดียวกันว่า "ซัวซะเตย" คนเขมรที่ทำงานในเมือง ต้องขวนขวายเรียนภาษาต่างประเทศ คือ ภาษาอังกฤษ ไทย จีน ญี่ปุ่น คนเขมรรู้ดีว่าในเวลานี้ ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ ให้แก่ชาวเขมรมากที่สุด นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวเขมรนั้น คนไทยครองอันดับหนึ่ง รองลงมา คือ อเมริกัน แคนาดา จีน และญี่ปุ่น สายตาคนเขมรที่มองคนไทย จึงไม่ต่างจากเวลาที่คนไทยมองพี่ยุ่นกระเป๋าหนัก มาเที่ยวหาความสำราญในบ้านเรา ปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเดินทางมากัมพูชาถึง ๓ แสนคน ส่วนใหญ่มุ่งไปชมนครวัด นครธม แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ หลังอิ่มหนำกับอาหารมื้อแรกในกรุงพนมเปญ จากฝีมือกุ๊กไทย คณะศิลปินก็เดินทางไปวัดพนม วัดเก่าแก่ประจำเมืองหลวง ชื่อของกรุงพนมเปญ ได้มาจากภูเขาแห่งนี้นี่เอง พนม แปลว่า ภูเขา ส่วนคำว่า เปญ ตามตำนานเล่าว่า หญิงสาวชื่อ เปญ พบพระพุทธรูปสี่องค์ลอยน้ำมาติดริมฝั่งแม่น้ำโขง จึงอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นมาไว้บนเนินเขาเตี้ย ๆ และสร้างวัดขึ้น เรียกว่าวัดพนม และกลายมาเป็นชื่อเมืองพนมเปญ มีความหมายว่า ภูเขาของเปญ
วันรุ่งขึ้น มีการประชุมศิลปินทั้งสองฝ่ายรวมทั้งหมด ๔๐ คน ณ ศาลาว่าการกรุงพนมเปญ โดยมีนายเจีย โสภรา ผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญเป็นประธาน ที่ประชุมได้ตกลงกันว่า ระยะเวลาสามสี่วัน ที่คณะศิลปินจะเดินทางไปวาดภาพที่นครวัด แต่ละคนจะต้องวาดรูปทั้งหมดสี่รูป คือขนาด ๖๐ x ๘๐ เซนติเมตรสองรูป ขนาด ๘๐ x ๑๐๐ เซนติเมตรหนึ่งรูป และทุกคนจะสร้างงานศิลปะร่วมกัน โดยการวาดภาพขนาด ๕๐ x ๕๐ คนละรูป เพื่อประกอบกันเป็นภาพขนาดใหญ่ ซึ่งภาพวาดทั้งหมดจะนำไปจัดแสดงที่ประเทศไทย และประเทศกัมพูชา ในเดือนกรกฎาคม และธันวาคมที่จะถึงนี้ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนทั้งสองประเทศ หันมาสนใจงานศิลปะ โดยเฉพาะการจัดงาน ณ กรุงพนมเปญในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ถือเป็นงานใหญ่ระดับชาติทีเดียว "นอกเหนือจากการส่งเสริมความร่วมมือทางวัฒนธรรมและศิลปะ ระหว่างสองประเทศแล้ว เราคาดหวังว่าจะได้เงินจากการขายภาพวาด ประมาณ ๒ ล้านบาท เพื่อเป็นทุนในการสร้างอาคารเรียน ให้แก่โรงเรียนประถมศึกษาในกรุงพนมเปญ ซึ่งยังขาดแคลนอยู่อีกมาก" สุรพจน์ ศรีเมืองบูรณ์ นักธุรกิจและผู้ก่อตั้งมูลนิธิศิลปินลุ่มน้ำโขงกล่าว ศิลปินเขมรที่ได้รับคัดเลือกมาร่วมงานครั้งนี้ ส่วนหนึ่งรอดตายมาจากสงคราม เป็ก สง วัย ๕๓ ปี อาจารย์สอนภาพวาดในมหาวิทยาลัยศิลปากรแห่งกัมพูชา เล่าให้ฟังว่า ฝีมือการวาดภาพเหมือนของเขา ทำให้เขารอดตายมาได้ เขาเล่าว่าเมื่อสำเร็จการศึกษา ได้รับราชการอยู่ในกรมศิลปากร พอเขมรแดงยึดประเทศในปี ๒๕๑๘ เขาโดนจับติดคุกอยู่นานสามเดือน ตอนแรกนึกว่าตัวเองคงจะถูกฆ่าตายแน่แล้ว แต่สุดท้ายเขมรแดงก็ไว้ชีวิต เพราะเขาวาดรูปเก่ง