สุรัตน์ โหราชัยกุล
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
-
การจัดระเบียบสังคม
มีจุดมุ่งหมายอย่างไรกันแน่
และจะกระทบต่อเสรีภาพ
ของประชาชน มากน้อยแค่ไหน
-
คนหลายอาชีพ
ได้รับความเดือดร้อน
-
มาตรการจัดระเบียบสังคม
ถือเป็นการบั่นทอนวัฒนธรรม
ทางความคิดของเยาวชน
-
การแก้ปัญหา ต้องคิดถึง
สภาพความเป็นจริง มีทางออก
ให้แก่คนที่ได้รับผลกระทบ
เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย
ให้ชัดเจน พิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ
|
|
"การจัดระเบียบสังคมของท่านปุระชัย เริ่มจากเป้าหมายที่ต้องการจะแก้ไขปัญหายาเสพย์ติด แต่ขณะนี้ได้ขยายไปยังปัญหาเยาวชน และทำ ๆ ไปก็ลามไปถึงกิจกรรมของผู้ใหญ่อีกด้วย จึงเกิดคำถามว่า
การจัดระเบียบสังคมที่ทำอยู่ในขณะนี้
มีจุดมุ่งหมายอย่างไรกันแน่
และในระบอบเสรีประชาธิปไตย
คงจะมีคำถามตามมาว่า
การจัดระเบียบสังคม
มีผลกระทบต่อเสรีภาพของประชาชนมากน้อยแค่ไหน
และเราจะหาจุดสมดุลระหว่างการมีเสรีภาพ
กับการรักษาความสงบเรียบร้อย
และศีลธรรมอันดีของสังคมอย่างไร นอกจากนี้การมุ่งแก้ไขปัญหาแต่เพียงด้านเดียว อาจทำให้เกิดผลกระทบและปัญหาตามมาอีกมาก
"กฎหมายมีความสำคัญ แต่ใช่ว่าจะสามารถแก้ไขทุกปัญหาได้
การจัดระเบียบสังคมของท่านปุระชัย
ส่งผลกระทบต่อคนหลายอาชีพ สำหรับตำรวจก็คือ ต่อไปนี้ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นจะได้รับโทษ ประเทศไทยมีตำรวจแค่ ๒ แสนกว่านาย แต่ผับในซอกซอยมีจำนวนมหาศาล มีผับที่เปิดหลังตีสองอยู่ทั่วไป ตำรวจทำได้เพียงสุ่มจับเท่านั้นเอง พอตำรวจพบว่าในท้องที่ใดมีสถานบริการเปิดหลังตีสอง หรือมีเยาวชนเข้าไปใช้บริการ ก็ถือว่าเป็นความผิดของตำรวจท้องที่ เราคงได้เห็นกันตามสื่อต่าง ๆ ว่ามีคำสั่งย้ายทั้งโรงพัก ทั้งที่บางทีตำรวจอาจจะไม่จงใจละเลยการปฏิบัติหน้าที่ก็ได้
นโยบายจัดระเบียบสังคม
มีผลกระทบต่อตำรวจมาก ทุกวันนี้ตำรวจไทยถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชัน แต่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้ก็คือ
ตำรวจได้รับงบประมาณค่าใช้จ่าย
ในการปฏิบัติงานน้อยมาก สถานีตำรวจในกรุงเทพฯ นั้นได้รับงบประมาณ ๕ แสนกว่าบาทต่อหนึ่งไตรมาส เงินจำนวนนี้ต้องนำไปเป็นค่าใช้จ่าย เช่น ค่าน้ำมันให้สายตรวจ ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ อีกมาก
ดังนั้นเงินที่นำมาชดเชย
ในส่วนที่รัฐบาลไม่สามารถจัดหาให้ได้ ก็ได้มาจากสถานบริการต่าง ๆ นั่นเอง เมื่ออยู่ ๆ มีคำสั่งออกมาปุบปับเช่นนี้ จะถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาหรือเปล่า อย่าไปมองว่าตำรวจทุกคนเลวหมด
"นโยบายจัดระเบียบสังคม
ยังส่งผลกระทบต่อบรรดากิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านข้าวต้มซึ่งต้องรอให้ผับปิดก่อน จึงจะมีลูกค้าเข้าร้าน พอมีนโยบายนี้ออกมา เขาต้องประสบปัญหามากมาย บางร้านปรับตัวไม่ได้ก็เดือดร้อน กลุ่มกิจการนี้อาจจะไม่ใหญ่พอ และรวมตัวกันไม่ได้ ถือเป็นกลุ่มที่น่าสงสาร
ใครจะไปรู้ว่าทำกิจการนี้มาตั้งนาน
แต่วันดีคืนดีก็ต้องเลิกกิจการไป เพราะนโยบายจัดระเบียบสังคม ท่านปุระชัยคงมีคำตอบที่ชัดเจนว่า "มันมีกฎหมายเขียนไว้อยู่แล้ว" ถ้าจะอ้างกฎหมายแล้ว ผมว่ากฎหมายก็เขียนไว้ครอบคลุมทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องค้าประเวณี เสพยาเสพย์ติด แค่คุณเอาหนังสือไปถ่ายเอกสารก็ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์แล้ว ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ท่านจะเลือกใช้กฎหมายกับเรื่องใด เวลาไหน
"หลายครั้งที่ผมได้ยินท่านยกตัวอย่างประเทศตะวันตก
ที่สนับสนุนนโยบายจัดระเบียบสังคม แต่สิ่งที่ท่านพูดถึงเป็นเพียงด้านที่สวยงามเท่านั้น
ประเทศตะวันตกโดยส่วนใหญ่แล้ว
มีสวัสดิการรัฐที่ค่อนข้างดี เพียงพอต่อความต้องการ
ฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประเทศเหล่านั้น
จะสามารถห้ามไม่ให้เยาวชนออกจากบ้านในยามวิกาล แต่ในทางตรงกันข้าม หากท่านคิดที่จะนำกฎหมายคณะปฏิวัติมาใช้
ท่านจะต้องคำนึงถึงเยาวชนอีกมากมาย
ที่มีความจำเป็นต้องทำงาน เช่น เด็กขนของในตลาดโต้รุ่ง เป็นต้น ถ้าถามว่าเด็กทำงานในเวลาดังกล่าวผิดไหม ก็คงจะตอบได้ทันทีว่าผิด แต่ถามว่าไม่ทำงานแล้วจะมีกินไหม ก็คงตอบได้ทันทีเหมือนกันว่าไม่มีกิน
"กรณีปิดสถานบริการเวลาตีสองก็เหมือนกัน มาตรการนี้ไม่อาจหยุดยั้งเยาวชนไม่ให้มั่วสุมได้ ผมเห็นด้วยว่าเด็กไม่ควรสูบบุหรี่หรือดื่มสุรา แต่การนำเวลาตีสองมาเป็นตัวกำหนด ก็ไม่ได้หมายความว่าเยาวชนไทยจะไม่มั่วสุมในเวลาอื่น ๆ มาตรการนี้จึงไม่ได้แก้ไขปัญหาโดยตรง
"การแก้ไขปัญหาต้องชัดเจนว่า เราจะเจาะไปที่ไหน เด็กกลุ่มไหน และมีปัจจัยอะไรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ปัญหาทั้งหมดที่เราประสบพบเจอนั้น
เราต้องเข้าใจว่าเป็นปัญหาที่อยู่ในประเทศที่มีระบอบเสรีประชาธิปไตย เราต้องมองปัญหาในบริบทของระบอบ ตัวอย่างที่ชัดเจนอันหนึ่งก็คือ การค้ายาเสพย์ติดมีทั้ง supply และ demand กลุ่ม supply ก็ต้องการหารายได้อย่างง่าย ๆ เหตุผลในการค้าก็มีมากมาย ความยากลำบากในการทำมาหากิน ความโลภ และอื่น ๆ ส่วนกลุ่ม demand ก็คงมีกลุ่มที่หมดหวังกับอนาคต กลุ่มครอบครัวแตกร้าว บวกกับความคิดที่ว่าเรียนไปก็คงจะไม่มีอะไรดีขึ้น และคงมีบางกลุ่มที่อยากเสพยาเพื่อความมัน ตรงนี้ผมว่าท่านปุระชัยไม่ชัดเจน ถ้าท่านชัดเจนท่านคงไม่คิดทำแบบเหมารวม
"การนำมาตรการนี้มาบังคับใช้ มีผลเสียต่อสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง คือเป็นการบั่นทอนวัฒนธรรมทางความคิดของเยาวชน
เราอยากให้เยาวชนได้ตระหนักรู้
และมีความคิดที่จะจัดการชีวิตด้วยตัวเขาเอง หรือสิ่งที่ผมเรียกว่า self-organization
โดยมีผู้ปกครอง
หรือครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้แนะ
ให้ข้อมูลข่าวสาร นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเขา การแก้ไขปัญหาน่าจะเริ่มต้นที่การศึกษา การศึกษาที่มีคุณภาพ
ที่สอนให้เยาวชนคิดที่จะรับผิดชอบ
กับสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำ สอนให้เยาวชนรักษาสิทธิของตัวเอง บวกกับหน้าที่ในการรักษาสิทธิผู้อื่นในเวลาเดียวกัน การเรียนการสอนที่ทำให้เยาวชนไม่หลงติดอยู่กับวัตถุจนเกินไป สิ่งเหล่านี้ต้องทำควบคู่กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วย เพราะตราบใดที่ปัญหาเศรษฐกิจยังไม่ได้รับการแก้ไข นโยบายอื่น ๆ ก็อาจจะได้ผลในขอบเขตจำกัด ที่ผ่านมาใช้การแก้ไขแบบด้านเดียว การแก้ไขต้องอย่าไปหยิบยกส่วนใดส่วนหนึ่งของตะวันตกมา เพราะในบริบทนั้นมันมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแฝงอยู่มากมาย
"ประเทศไทยอาจจะมีปัญหาอยู่มากมาย แต่หลายสิ่งหลายอย่างมันก็ดีขึ้นนะครับ เราอย่าไปตระหนกตกใจกับมันมาก ยิ่งไปตกใจมาก
พวกขายยาเสพย์ติด
ยิ่งได้ประโยชน์จากการจำหน่ายยาเสพย์ติด
ในราคาที่สูงขึ้น
ถึงอย่างไรการค้า
และการเสพยาเสพย์ติดก็ไม่หมดไปแน่ เราเคยอยู่กับปัญหานี้ในอดีต เรากำลังอยู่กับมันในปัจจุบัน และเราก็ต้องอยู่กับมันอีกต่อไปในอนาคต
ประเด็นอยู่ที่ว่า
การค้าอาจจะเปลี่ยนรูปแบบไป สินค้าอาจจะเปลี่ยนรูปแบบไป
จำนวนผู้ขายและผู้เสพ
อาจจะเปลี่ยนไป
แต่การค้าและการเสพยาเสพย์ติด
คือหนึ่งในสัจธรรม
ของระบอบเสรีประชาธิปไตย
เพียงแต่สถิติของแต่ละประเทศ
ขึ้นอยู่กับตัวแปรอื่น ๆ
"ผมคิดว่าไหน ๆ ท่านปุระชัยก็เคยเป็นนักวิชาการมาก่อน ก็อยากจะแนะนำให้ท่านได้หยิบตำราของ Edmund Burke ที่เขียนเรื่อง Reflections on the Revolution in France มาอ่านอีกสักครั้ง ข้อคิดที่ชัดเจนก็คือ จะทำอะไรก็ต้องค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำ และค่อย ๆ เปลี่ยน
การจัดการการเปลี่ยนแปลงที่ผิดพลาดนั้น
จะนำมาถึงผลเสีย"
|