สารคดี ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๒๑๐ เดือน สิงหาคม ๒๕๔๕
สารคดี ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๒๑๐ เดือน สิงหาคม ๒๕๔๕ " เปิดแฟ้มคดีมด "
นิตยสารสารคดี Feature Magazine ISSN 0857-1538
  ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๒๑๐ เดือน สิงหาคม ๒๕๔๕  
คั ด ค้ า น

อ้อย
อายุ ๑๙ ปี นักศึกษาชั้นปีที่ ๓ วิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง 
  • การที่เด็กสมัยนี้ จะเก็บ หรือไม่เก็บพรหมจรรย์ ผู้ใหญ่คิดไปเองว่า มันเป็นปัญหา แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ปัญหา เป็นเรื่องธรรมดามาก ไม่ใช่เรื่อง ที่จะมาแตกตื่นกันอีกต่อไป

  • การเปิดใจยอมรับเรื่องนี้ พูดกันอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้เด็กกล้าเข้ามาปรึกษา กล้าถามเรื่องที่อยากรู้ การห้ามไม่ให้เด็ก มีอะไรกันโดยไม่ให้ข้อมูล จะสร้างปัญหามากกว่า

  • ผู้หญิงมีค่า มากกว่าเรื่องพรหมจรรย์ พรหมจรรย์เป็นแค่ เรื่องทางกาย ความเป็นคนดี ขึ้นอยู่กับจิตใจ

หยุดเซ็กซ์ เก็บพรหมจรรย์ : ในวันที่ "ใคร ๆ เขาก็ทำกัน"
(ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณ คลิกที่นี่)
เกษร สิทธิหนิ้ว : รายงาน / ฝ่ายภาพ สารคดี : ภาพ


     "การที่เด็กจะมีเพศสัมพันธ์ เด็กจะไม่เก็บพรหมจรรย์ มันเป็นปัญหาเหมือนการก่ออาชญากรรมหรือ ? ผู้ใหญ่คิดไปเองว่ามันมีปัญหา แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ปัญหา มันเป็นความรักของคนสองคน มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ และเป็นเรื่องธรรมดามาก ไม่เห็นคนที่มีแฟนจะไม่มีเรื่องอย่างนี้เลย เพื่อน ๆ ที่คบมาในโรงเรียน ตอนอายุ ๑๕-๑๖ ยังเรียนอยู่พาณิชย์ ปี ๑ เช้ามาเพื่อนถามเลย เฮ้ยวันนี้กี่ยก เริ่มมาเล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องธรรมดา เป็นคำพูดเฉย ๆ เหมือนสวัสดี ซึ่งมันทำให้สามารถที่จะเปิดอกคุยกันได้ ที่พูดกันว่าเด็กสมัยนี้มีเพศสัมพันธ์กันเร็วขึ้น ง่ายขึ้น มากขึ้น เป็นเพราะว่าโลกมันพัฒนา มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ประกอบกับการนำเสนอของสื่อ เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาแตกตื่นอีกต่อไป
     "ในหมู่วัยรุ่นด้วยกันเขามีการแบ่งเป็นหลายกลุ่ม กลุ่มเด็กเดฟ กลุ่มเด็กช่าง กลุ่มเด็กฮิปฮอป กลุ่มสเกตบอร์ด กลุ่มเด็กเรียน เด็กพังก์ แต่ละกลุ่มจะแตกต่างกันไปทั้งฐานะ พื้นฐานครอบครัว วิถีชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ มันมีกันทั้งนั้น วัยรุ่นห้ามเรื่องอย่างนี้ยาก
     "การที่สื่อเสนอข่าวว่าเด็กมีเซ็กซ์กันมากขึ้น เร็วขึ้น อะไรพวกนี้ มันก็จริงของเขา ข่าวไม่ได้มีผลกับการตัดสินใจของเด็กหรือทำให้เด็กมีเซ็กซ์กันง่ายขึ้นหรอก เพราะมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ที่คุณสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ พูดว่าเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ล้ำหน้าถึงขนาดจดบันทึกว่าไปนอนกับใครมาบ้าง คุณสุดารัตน์รู้ได้อย่างไร อยากรู้ว่าทำไมถึงพูดออกไปอย่างนั้น เหมือนพูดให้เด็กต่ำลง หนูว่าเด็กเขามีความสำนึกเหมือนกัน เด็กที่หนูเคยเจอมา ไม่ว่าจะชั่วจะดีแค่ไหน หรือแม้แต่เพื่อนที่ขายตัว เขาก็ไม่เคยที่จะจดบันทึกว่า ไปนอนกับใครมาบ้างแล้วเอามาอวดกัน ไม่มีหรอก 
     "หนูผ่านเรื่องพวกนี้มาเยอะ องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับปัญหาเพศศึกษา ปัญหาวัยรุ่น จะมาชวนให้ไปเป็นวิทยากร ไปพูดหลายเวที หนูก็พูดในสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นความจริงที่ว่าวัยรุ่นกับเซ็กซ์มันเป็นเรื่องธรรมดา มันไม่ใช่ปัญหา พอพูดเสร็จ หลังเวทีจะมีเด็กหลายคน ส่วนมากเป็นเด็กอายุ ๑๔-๑๖ มาบอกว่า พี่เยี่ยมมากเลย หนูก็คิดแบบพี่ แต่หนูไม่กล้าพูด 
     "ในเมื่อทุกวันนี้สภาพสังคมเปลี่ยนไป คนแต่งงานกันช้าลง สมัยก่อนคนแต่งงานกันเร็วมาก อายุ ๑๕-๑๖ เท่านั้น แม่หนูแต่งตอนอายุ ๑๘ ถ้าบอกว่าเด็กสมัยนี้มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ก่อนหน้านั้นไม่ยิ่งมากกว่าตอนนี้อีกหรือ เพียงแต่ว่าเขาไม่พูดกัน เขาอายที่จะเอามาพูดกันมากกว่า แต่เด็กสมัยนี้กล้าพูดกล้าคิด กล้าที่จะพูดเรื่องนี้มากขึ้น พอผู้ใหญ่ได้ยินเข้าก็เลยคิดว่ามันเป็นปัญหา การที่ผู้ใหญ่มาบอกว่าให้เก็บพรหมจรรย์ไว้จะได้ไม่เกิดปัญหาต่าง ๆ วิธีนี้มันไม่ได้ผลแล้ว ผู้ใหญ่คงบอกได้ แต่เด็กทำไม่ได้หรอก ได้แต่โกหก ถ้าคุณต้องการคำโกหกจากเด็ก โอเค หนูก็บอกได้เหมือนกันว่าหนูไม่มีอะไรกับใคร หนูบริสุทธิ์ แต่ถ้าเกิดว่าคุณอยากรู้ว่าเด็กของคุณเป็นอย่างไร คุณต้องเปิดใจรับเขาก่อน ถ้าคุณยอมรับเขา คุณก็จะได้ความจริง 
     "การที่เด็กผู้หญิงสักคนมีอะไรกับแฟน กับคนที่รักกัน ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เสียหาย ถ้าจะเสียก็ในแง่ที่สังคมมองว่าเสียมากกว่า หนูมีอะไรกับผู้ชายครั้งแรกตอนอายุ ๑๔ เป็นเพราะหนูคิดว่าไม่มีใครรักหนู มีแฟนคนเดียวที่รักหนู เขาช่วยเหลือตลอด เรื่องแค่นี้ทำไมเราจะให้เขาไม่ได้ เราสองคนรักกัน ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ยังไงหนูก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียหาย และเพื่อนเกือบทุกคนก็คิดแบบนี้ 
     "ถ้าผู้ชายแคร์ว่าผู้หญิงคนนี้ยังมีพรหมจรรย์อยู่หรือเปล่า หนูว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ผู้ชาย เราก็คนเหมือนกัน ผู้ชายทำได้ ผู้หญิงทำไมจะทำไม่ได้ ผู้ชายเก็บได้หรือเปล่าล่ะ ถ้าผู้ชายเก็บได้ ผู้หญิงก็จะยอมเก็บให้ ส่วนตัวหนูไม่แคร์ และไม่เห็นว่าจะต้องแคร์เรื่องนี้ไปทำไม ผู้ใหญ่ที่ไปตัดสินเด็กที่มีอะไรกับแฟนว่าเป็นเรื่องผิด หนูว่าหัวโบราณมาก ชาวต่างชาติที่เขาเจริญขึ้นมาได้ไม่ใช่เพราะพรหมจรรย์เลย ขึ้นอยู่กับความสามารถและการกล้าแสดงออก และผู้ใหญ่ของเขาเปิดกว้างทางความคิด ซึ่งตรงข้ามกับผู้ใหญ่ของเรา 
     "เรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องส่วนตัวมาก ๆ คนเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะเก็บไว้หรือเปล่า ถ้าพรหมจรรย์ทำให้หนูประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในทุก ๆ เรื่องหนูจะเก็บไว้ ที่คิดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเพราะหนูเคยผ่านประสบการณ์เรื่องความรัก ผ่านเรื่องร้ายมาเยอะ เพราะถึงจะไม่ผ่านเรื่องร้ายมาและไม่ผ่านการมีอะไรมาก่อน มีพื้นฐานดี ครอบครัวดีทุกอย่าง หนูก็ไม่คิดว่าต้องเก็บอยู่ดี ก็ทำไมละ คนรักกัน วัยรุ่นมันมีการเปลี่ยนแปลง มีความอยากรู้อยากลอง มีความต้องการ หนูไม่เชื่อหรอกว่า คนที่เคยมีเซ็กซ์แล้วจะไม่ชอบเซ็กซ์ มันเกิดกับคนที่เรารักไม่ใช่ว่ากับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเคยเสียพรหมจรรย์หรือยังไม่เคยเสีย ก็ไม่เห็นต้องเก็บรักษาไว้เลย คนที่เก็บไว้ได้ คือคนที่ยังไม่เจอความรัก ถ้ามีแฟน เขาจะไม่เคยอยู่ด้วยกันเลยหรือ ผู้หญิงผู้ชายที่รักกัน อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ทนได้หรือที่จะไม่มีอะไรกัน 
     "ในเมื่อมันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นจริง ก็ควรเปิดอกพูดคุยกันอย่างธรรมดาได้แล้ว ไม่ใช่มัวไปบอกให้เด็กเก็บพรหมจรรย์ไว้อยู่อีก การเปิดใจยอมรับ พูดกันอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้เด็กกล้าที่จะเข้ามาปรึกษา ปัญหา กล้าถามเรื่องที่เราอยากจะรู้ ไม่ว่าเรื่องเพศสัมพันธ์ เพศศึกษา ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้คือเด็กส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องเพศศึกษา สองสามวันก่อน เพื่อนหนูยังมาเถียงกันเรื่องยาคุมกำเนิด ว่าต้องกินตอนไหน ซึ่งเรื่องอย่างนี้ควรจะมีผู้ใหญ่ให้คำแนะนำ
     "ปัญหาที่จะตามมาซึ่งผู้ใหญ่กังวลกันว่า การที่เด็กมีอะไรกันจะทำให้มีปัญหาเรื่องท้อง เรื่องทำแท้ง เรื่องโรค ถ้าเรามีสื่อที่ดีให้ข้อมูลเรื่องนี้กับเขา หนูคิดว่ามันป้องกันได้ ให้ข้อมูลโดยไม่ต้องห้ามเลยดีกว่า แล้วเขาจะคิดได้เองว่าเขาควรจะทำหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ให้ข้อมูลและห้ามไม่ให้เด็กมีอะไรกันไปเลย โอกาสท้อง โอกาสพลาดเพราะไม่รู้ จะมีมากกว่า
     "การที่คุณสุดารัตน์พาเด็กไปสาบานว่าจะเก็บพรหมจรรย์ไว้จนวันแต่งงาน มันเป็นความคิดที่โง่มาก ทำไม่ได้หรอกถ้ามีแฟนนะ พูดตรง ๆ เด็กบางคนชอบโกหก ไม่ชอบพูดความจริง บางคนเคยให้สัมภาษณ์ทำนองว่า ทำไมเด็กสมัยนี้ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่เป็นคนดีของพ่อแม่ ชอบพูดให้ผู้ใหญ่มองว่าตัวเองดี แต่หนูรู้จักเขาและเห็นชัด ๆ ว่าโกหก ความเข้าใจ การเปิดใจกว้าง มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทำให้เราได้พูดอะไรออกมาอย่างจริงใจ ไม่ใช่ว่าไปบังคับเด็กให้มาสาบาน ส่วนเด็กบางคนที่ไม่เคยมีจริง ๆ หนูคิดว่าเขาต้องไม่เคยมีแฟนมาแน่ ๆ และต้องโดนบังคับมา ไม่ได้มาสาบานด้วยความเต็มใจ ยังไงก็ห้ามไม่ให้เด็กมีอะไรกันไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมต้องเอาเขาไปสาบานอย่างนั้นด้วย เขาทำได้จริงหรือ นี่ต่างหากที่จะสร้างปัญหามากกว่า "ความคิดของท่านรัฐมนตรีปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ห้ามเด็กอายุต่ำว่า ๑๘ เข้าเธคก็เหมือนกัน คิดหรือว่าเด็กจะไม่มีทางออก ตามบ้านเพื่อนก็มี บ้านเพื่อนนี่แหล่งมั่วสุมอย่างดีเลย ที่หอพักก็เยอะแยะไป เขาสามารถจะไปนั่งกินเหล้า เปิดเพลงแดนซ์กันยิ่งกว่าผับอีก ผับโล่งโจ้งอย่างนั้นใครจะไปทำอะไรกัน ผู้ใหญ่ชอบคิดไปไกลว่า หลังจากเที่ยวอาร์ซีเอแล้วเด็กจะไปทำอะไรกันต่อ มันแล้วแต่คน หนูคิดว่าการทำอย่างนั้นมันเป็นการจำกัดสิทธิกันเกินไป แล้วทำไมเพิ่งมาทำตอนนี้ ทุกเรื่องเลย เหมือนกับว่าทำไมไม่พัฒนาตั้งแต่แรก 
     "การที่เขาทำอย่างนี้ ทั้งพาเด็กไปสาบาน จัดระเบียบสังคม ยิ่งทำให้หนูเกลียดรัฐบาล ทำให้รู้สึกว่าในเมื่อรัฐบาลเป็นอย่างนี้ จะเอาข้อมูลที่เป็นข้อมูลจริง ๆ มาจากไหน เด็กมันก็ได้แต่โกหก พูดอย่างที่คุณอยากให้เขาพูด แต่ลับหลังเขาไปทำอะไรคุณจะรู้ไหม เด็กจะกล้าพูดความจริงหรือถ้าไม่เห็นว่าคุณเป็นผู้ใหญ่ที่เปิดใจกว้าง จริง ๆ แล้วเด็กวัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการผู้ใหญ่ ที่พร้อมจะเข้าใจเขามากกว่าเด็กเล็ก ๆ อีก
     "ผู้หญิงมีค่ามากกว่าแค่เรื่องพรหมจรรย์นะคะ และหนูก็คิดว่าตัวเองมีค่าในทุก ๆ เรื่อง หนูไม่ได้ทำอะไรผิด หนูมั่นใจว่าหนูเป็นคนดีของสังคม หนูไม่ได้ไปเสพยาบ้า พรหมจรรย์ไม่ได้ทำให้หนูทำงานได้ดีขึ้น ไม่ได้ทำให้หนูประสบความสำเร็จในชีวิต ผู้ใหญ่ทุก ๆ คนในสังคมควรจะบอกและเน้นย้ำกับเด็กของคุณว่า ควรจะเก็บความดีไว้มากกว่าเก็บพรหมจรรย์ เพราะพรหมจรรย์มันเป็นแค่เรื่องทางกาย ความเป็นคนดีมันขึ้นอยู่กับจิตใจ และนิสัยของคนมากกว่า"


 แสดงความคิดที่ สารคดีกระดานข่าว (Sarakadee Board) เนตรชนก ภิญโญทรัพย์ 
นักศึกษาชั้นปีที่ ๔ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

click hereอ่าน (ฝ่ายสนับสนุน) คลิกที่นี่

แล้วคุณล่ะ สนับสนุน หรือ คัดค้าน !
ต้องการ แสดงความคิดเห็นเพิ่ม คลิกที่นี่

ชื่อ-สกุล: *
E-Mail:
แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม: *
*