|
|
เรื่อง : จักรพันธุ์ กังวาฬ
ภาพ : บุญกิจ สุทธิญาณานนท์
|
|
|
|
|
|
|
|
ใครที่อาศัยอยู่แถบย่านเจริญพาศน์ ถนนอิสรภาพ โดยเฉพาะบริเวณใกล้กับโรงพักบุปผาราม ในยามเย็นอาจเคยมองเห็นนกพิราบฝูงใหญ่บินวนอยู่บนท้องฟ้า พิราบฝูงนี้แตกต่างจากนกพิราบสีด่างที่เดินหากินอยู่ทั่วไปตามวัดหรือท้องถนน ไม่เพียงเพราะพวกมันเป็นพิราบพันธุ์สื่อสารที่มีสัญชาตญาณบินกลับรวงรัง แต่ทุกตัวในฝูงมีสีขาวบริสุทธิ์ ไร้สีอื่นเจือปนแม้แต่จุดแต้ม ยามรวมฝูงบินรับแดดอ่อนยามเย็นตัดกับฟ้าสีสด จึงดูเป็นประกายวิบวับงดงาม และหากบังเอิญพวกมันบินร่อนลงมาใกล้ ๆ ก็จะเห็นว่าแต่ละตัวมีดวงตาเป็นสีแดง-ส้ม-เหลือง สดใส
คนในวงการพิราบสื่อสารรู้ดีว่าพิราบขาวเป็นนกหายาก และโดยธรรมชาตินกพิราบขาวจะมีดวงตาสีดำทึบเท่านั้น แต่ด้วยความเพียรพยายาม นพ. สมเกียรติ อธิคมกุลชัย จักษุแพทย์โรงพยาบาลยันฮี
ได้ใช้เวลากว่าสิบปี
ในการพัฒนาสายพันธุ์นกพิราบสื่อสารสีขาวดวงตาสีได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลก และขนานนามพิราบสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า "พิราบขาวสยาม"
|
|
|
|
ในงานวันนักประดิษฐ์ไทย ที่จัดขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ท่ามกลางสิ่งประดิษฐ์จำพวกเครื่องกลและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จัดแสดงอยู่ทั่วไป กลับมีบูทหนึ่งนำนกพิราบสีขาวดวงตาสีมาโชว์ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ สารคดี ได้รู้จักพิราบขาวสยาม ผลงานสร้างสรรค์ของ นพ. สมเกียรติ
หลายวันต่อมา เรามาถึงเจริญพาศน์คลินิกในตอนบ่ายแก่ ๆ ตามกำหนดนัดหมาย อาคารตึกแถวแห่งนี้เป็นทั้งที่พักอาศัย และสถานที่เลี้ยงนกของ นพ. สมเกียรติ
น้อย--เด็กชายต้นวัยรุ่นที่มาช่วยงานเลี้ยงนก นำเราขึ้นบันไดขึ้นไปถึงดาดฟ้าชั้นห้า
ดาดฟ้าตึกขนาดสี่คูหา
พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าปลูกสร้างกรงนกเล็กใหญ่รอบขอบอาคาร นพ. สมเกียรติกำลังพานักเลี้ยงนกผู้หนึ่งเดินชมนกพิราบในกรง
ปัจจุบัน นพ. สมเกียรติ อายุ ๕๐ ปี เขาเล่าว่าสมัยเด็กอายุสิบกว่าขวบ เคยเลี้ยงพิราบสื่อสารมาก่อน
|
|
|
|
"สมัยก่อนค่าอาหารนกไม่แพงมาก ข้าวโพดกิโลหนึ่ง ๓-๔ บาท เด็กสามารถลงทุนเลี้ยงได้ ใช้พื้นที่ไม่มากในการสร้างกรง สายพันธุ์ก็หาซื้อได้ง่าย ตอนนั้นผมซื้อนกแถวเยาวราช หรือตลาดนัดสนามหลวง อุปกรณ์การเลี้ยงก็หาซื้อง่าย ที่สนใจก็เพราะช่วงนั้นวงการเลี้ยงนกพิราบสื่อสารของไทยกำลังได้รับความนิยม มีผู้เลี้ยงนกแข่งเป็นจำนวนมาก มีการจัดแข่งบินทุกเดือน แบ่งออกเป็นสาย ทังสายเหนือ สายใต้ สายอีสาน สายตะวันออก แต่ต่อมาผมมีภาระหน้าที่มากขึ้น จึงเลิกเลี้ยงเพราะไม่มีเวลาดูแลและฝึกซ้อมบินให้นก กระทั่งถึงทุกวันนี้วงการพิราบแข่งซบเซาลงมากแล้ว และนกพิราบพันธุ์สื่อสารแทบจะสาบสูญไปจากวงการสัตว์เลี้ยงของไทย"
นพ. สมเกียรติเลิกเลี้ยงนกไปนาน กระทั่งวันหนึ่งก็เกิดความคิดที่จะเพาะพันธุ์นกพิราบขาวดวงตาสีขึ้นมา
"ความที่เราเคยเลี้ยงนกพิราบมาก่อน แล้วในระหว่างนั้นเคยเห็นนกพิราบสีขาว ถ้าใครเคยเห็นนกพิราบขาวจะต้องประทับใจ นกพิราบธรรมดาเวลาบินก็ดูธรรมดา แต่เวลาพิราบขาวบิน ลำตัวเขาจะสะท้อนกับแสงแดด เป็นประกายวับ ๆๆ สวยมาก
"ทีนี้นกพิราบขาวปรกติดวงตามันจะดำสนิท ก็เหมือนคนเอเชีย แต่อย่างฝรั่งม่านตาเขาจะเป็นสีฟ้า ฟ้าอ่อน ฟ้าเข้ม สีเขียว เขียวมรกต หรือสีน้ำตาลอ่อน เผอิญผมเป็นหมอตาด้วย ก็มาคิดว่าถ้านกพิราบขาวมีดวงตาเป็นสี มันน่าจะสวยกว่าพิราบขาวทั่วไป"
|
|
|
|
นพ. สมเกียรติเริ่มลงมือเพาะสร้างสายพันธุ์นกพิราบขาวตาสีตั้งแต่เมื่อ ๒๐ ปีก่อน โดยใช้นกพิราบสื่อสารสีขาวดวงตาดำ ผสมกับพิราบสื่อสารสีขาวที่มีลาย ทั้งลายจุดดำ ๆ ที่เรียกว่ากริซเซิล (Grizzle) พิราบขาวที่มีสีอื่นปนเป็นปื้น เรียกว่า สแปลช (Splash) และพิราบขาวที่มีแต้มสีโกโก้เจือจาง (Dilute ash-red) นกพิราบเหล่านี้แม้ไม่ใช่สีขาวล้วนแต่มีดวงตาเป็นสี เขาเล่าว่าใช้นกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์เข้าคู่ผสมพันธุ์เป็นจำนวนมาก ประมาณสามปี จึงได้นกพิราบขาวดวงตาสีตัวแรก แต่ยังไม่นับเป็นผลสำเร็จ เพราะนกพิราบตัวนี้ยังไม่ใช่พันธุ์แท้ที่ "นิ่ง" จนสามารถสืบทอดลูกหลานที่มีลักษณะเดียวกันได้ตลอดไป
"สมมุติคุณไปซื้อนกพิราบขาวล้วนมาจากสวนจตุจักร จับตัวผู้ตัวเมียผสมกัน ลูกออกมาจะไม่ใช่สีขาวล้วน อาจเป็นสีเทา หรือสีกระดำกระด่าง เพราะพ่อแม่ไม่ใช่สีขาวพันธุ์แท้ ฉะนั้นการสร้างสายพันธุ์จึงมีสองประเด็นหลัก ประเด็นแรกต้องให้ได้พิราบสีขาวล้วน ประเด็นที่สองจากขาวล้วนต้องให้ได้ตาสี แล้วค่อยพัฒนาให้เป็นพันธุ์แท้ที่นิ่ง"
คุณหมอเล่าว่าจากจุดเริ่มต้น ใช้เวลาเพาะพันธุ์ ๕ ปี จึงได้นกพิราบขาวตาสีที่เป็นพันธุ์แท้ จากการจับคู่ผสมพันธุ์ตามหลักวิชาพันธุศาสตร์ มีทั้งการอินบรีด (inbreed) หรือให้ลูกผสมกับพ่อแม่ของตัวเอง ครอสบรีด (crossbreed) คือผสมข้ามสายตระกูล และไลน์บรีด (linebreed) ด้วยการนำหลานย้อนกลับมาผสมกับปู่หรือย่าของมัน
|
|
|
|
นพ. สมเกียรติอธิบายว่า ไม่เหมือนกับการโคลนนิ่งที่ทำให้ได้สัตว์ตัวใหม่ที่เหมือนตัวเดิมทุกประการ แต่การผสมพันธุ์โดยธรรมชาตินั้น ยิ่งใช้พ่อแม่พันธุ์จำนวนมาก ลูกที่เกิดมาจะยิ่งมีโอกาสผ่าเหล่าผ่ากอ เกิดตัวใหม่ที่มีลักษณะเด่น แปลกใหม่ มากขึ้น หน้าที่ของเขาก็คือ คัดตัวที่มีลักษณะบกพร่องออก เลือกตัวที่ลักษณะตามต้องการไว้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ต่อไป หรือนกตัวไหนที่ผ่าเหล่าออกมามีลักษณะที่น่าสนใจ ก็นำมาพัฒนาให้เป็นพันธุ์แท้ต่อไป
ระยะเวลา ๒๐ ปีที่ผ่านมา นพ. สมเกียรติเผยว่า เขาจับคู่ระหว่างนกพ่อพันธุ์กับแม่พันธุ์มาแล้วร่วมพันตัว ในปัจจุบันกรงนกแต่ละกรงบนดาดฟ้าชั้น ๕ แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยพิราบขาวดวงตาหลากสี
"ช่วงแรกได้ดวงตาสีหม่นก่อน สีออกโทนน้ำตาลอมแดง คือเพิ่งจางลงจากสีดำ ภายหลังค่อยสดใสขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อน สีแดง สีส้ม สีเหลือง แล้วก็สีส้มอมเงิน สีชมพู มีความหลากหลาย"
ทุกวันนี้ นพ. สมเกียรติมีนกพิราบตาสีที่เขาเพาะคัดขึ้นเป็นพ่อแม่พันธุ์อยู่ ๒๐๐ ตัว ยังไม่รวมถึงลูกนกอ่อน นกรุ่น ไข่ที่รอการฟักเป็นตัว และนกฟักไข่อีกจำนวนหนึ่ง
|
|
|
|
นพ. สมเกียรติพาเราเดินชมนกในแต่ละกรง ระหว่างนั้น น้อยและเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันก็กำลังทำหน้าที่ของตนง่วนอยู่
เด็กชายหญิงทั้งสี่มาช่วยงานเลี้ยงนกพิราบเพื่อหารายได้พิเศษ พวกเขามาที่นี่ทุกวันในตอนเย็น ช่วยกันทำความสะอาด กวาด และขูดขี้นกออกจากกรง นาน ๆ จึงล้างกรงสักครั้งหนึ่ง ให้อาหารนกด้วยธัญพืชชนิดต่าง ๆ เช่น ข้าวโพด ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง ข้าวฟ่าง เมล็ดทานตะวัน ถั่ว บางเย็นพวกเขาจะปล่อยนกออกจากกรง ให้ขึ้นบินบนท้องฟ้า
นพ. สมเกียรติกล่าวว่า เมื่อเลี้ยงนกเป็นจำนวนมากเช่นนี้ การทำความสะอาดกรงทุกวันเป็นเรื่องจำเป็น ไม่เช่นนั้นอาจเกิดโรคระบาด ดังเช่นเมื่อ ๕ ปีก่อนนกของเขาติดโรคท้องร่วง ตายไปเกือบ ๕๐ ตัว
เรามาถึงกรงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กรงแรก เป็นกรงเหล็กสร้างอย่างมั่นคงถาวร กรุแผงลวดตาข่าย สูงประมาณ ๒ เมตร พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมลึก ๒.๕ เมตร กว้าง ๕ เมตร กั้นแบ่งเป็นสองฝั่ง พ่อพันธุ์พิราบขาว ๕๐ ตัวอยู่ทางฝั่งซ้าย ส่วนแม่พันธุ์จำนวนเท่ากันอยู่ฝั่งขวา
ส่วนกรงเข้าคู่หรือกรงผสมพันธุ์มีสองกรง กรงแรกเป็นกรงไม้ขนาดย่อม แบ่งเป็นสี่ช่อง รองรับพ่อแม่พันธุ์ได้สี่คู่ อีกกรงมีขนาดเล็ก แบ่งออกเป็นสองช่อง ใส่นกได้สองคู่
หลังนกพ่อแม่พันธุ์อยู่ด้วยกันในกรงเข้าคู่ประมาณ ๑๐ วัน ตัวเมียจะออกไข่ โดยธรรมชาตินกพิราบจะออกไข่ครั้งละสองฟอง จากนั้นภาระของพวกมันถือว่าสิ้นสุด ไม่ต้องเหนื่อยยากกกและฟักไข่ให้เป็นตัว เพราะหน้าที่นี้เป็นของนกฟัก
|
|
|
|
"ผมไม่ให้นกพ่อแม่พันธุ์ฟักไข่และเลี้ยงลูกเอง เดี๋ยวจะโทรม"
นพ. สมเกียรติบอกว่า นกฟักคือพิราบสีธรรมดา หรือนกขาวที่ถูกคัดทิ้ง เพราะไม่เหมาะจะเป็นพ่อแม่พันธุ์ กรงเข้าคู่สำหรับนกฟักมีอยู่ ๒๐ กรง นกฟักจะถูกจับคู่ผสมพันธุ์สลับสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ออกไข่ในช่วงเวลาเดียวกับนกแม่พันธุ์ ผู้เลี้ยงจะนำไข่นกฟักออกไป แล้วนำไข่นกแม่พันธุ์ทั้งสองฟอง มาให้มันฟักแทน
นกฟักทั้งตัวผู้ตัวเมียจะช่วยกันฟักไข่ภายในกรงขนาดเล็ก ซึ่งจะถูกนำไปไว้ในกรงขนาดใหญ่กรุมุ้งลวดอย่างดีเพื่อกันยุง กระทั่งลูกนกฟักเป็นตัว พ่อแม่นกจะป้อนอาหารจนลูกนกอายุประมาณ ๑ เดือน ซึ่งจะมีขนขึ้นคลุมเต็มตัวแล้ว จึงแยกนกฟักออก ลูกนกในวัย'นกอ่อน'ยังอยู่ในกรงมุ้งลวดอีกประมาณ ๑ เดือน จึงแยกไปอยู่กรงธรรมดา เพื่อรอคัดแยกให้เป็นนกพ่อแม่พันธุ์ หรือเป็นนกคัดทิ้ง
|
|
พิราบสื่อสารตาดำ
ในธรรมชาติ
|
|
นกที่จะถูกคัดไปเป็นพ่อแม่พันธุ์ต้องมีลักษณะสมบูรณ์ รูปร่างดี ขนสีขาวล้วนไม่มีสีอื่นเจือปน ที่สำคัญคือดวงตาสี
"พิราบขาวตาสีที่เพาะได้ส่วนใหญ่จะมีดวงตาโทนสีส้มแดง สีของดวงตาจะมีอยู่สองลักษณะ คือดวงตาที่มีสีโทนเดียว กับดวงตาที่ไล่สี เช่น ตรงขอบดวงตาเป็นสีแดงเข้ม แล้วจางลงเรื่อย ๆ จนใกล้รูม่านตาเป็นสีเงิน หรือขอบนอกเป็นสีส้ม แล้วก็ไล่เป็นสีเหลืองตรงกลาง" นพ. สมเกียรติกล่าว
"ทีนี้ผมมีพ่อแม่พันธุ์เยอะ ก็เลยทดลองไปเรื่อย ๆ จับตัวนั้นเข้าคู่กับตัวนี้ สายนี้กับสายนั้น ข้ามไปข้ามมา พอลูกนกออกมาเราจะใส่ห่วงขาให้ นกทุกตัวจะมีห่วงขาติดเลขรหัส เปรียบเหมือนบัตรประชาชน เราจะจดบันทึกประวัตินกทุกตัวลงสมุด ว่าตัวนี้ พ่อแม่ ปู่ย่าตายายคือใคร ย้อนกลับไปได้สิบกว่าปี เมื่อลูกนกเติบโตขึ้น เราจะติดตามเขาตลอด ดูว่าลักษณะเป็นอย่างไร ขนขาวล้วนไหม ดูโครงสร้างร่างกาย เช่น ปีกยาวหรือสั้น หัวกลมมนสวยหรือเล็กหลิม ปากยาวตรงหรืองุ้มเบี้ยว ส่วนสีตาจะแสดงออกชัดเจนเมื่อลูกนกอายุประมาณ ๒-๓ เดือน รายละเอียดทั้งหมดจะเป็นตัวประมวลที่บ่งว่า พ่อแม่ลักษณะนี้จะให้ลูกลักษณะอย่างไร เพื่อเป็นบทเรียน ผมเก็บข้อมูลตลอดเวลา"
เรื่องที่ชวนให้ตื่นเต้นยินดีสำหรับนักเพาะพันธุ์พิราบอย่าง นพ. สมเกียรติก็คือ ได้เห็นลูกนกเกิดใหม่ผ่าเหล่ามามีลักษณะเด่น แปลกต่างจากนกที่มีอยู่เดิม
|
|
พิราบวงนอกแดง วงในเหลือง
|
|
ดังเช่น ๓ ปีก่อน มีลูกนกตาสีเหลืองตัวแรกเกิดขึ้นมา จนทุกวันนี้ นพ. สมเกียรติมีพิราบขาวตาสีเหลืองอยู่สิบกว่าตัวแล้ว ที่ผ่านการพัฒนาจนเป็นพันธุ์แท้เรียบร้อยแล้ว
แต่ที่น่าตื้นเต้นมากกว่าก็คือ เมื่อครั้งที่คุณหมอพบว่าลูกนกที่เพิ่งเกิดไม่นานตัวหนึ่งมีดวงตาเป็นสีเงิน
นพ. สมเกียรติกล่าวว่า นกพิราบขาวตาเงินเป็นนกที่เพาะยาก หลายปีที่ผ่านมามีลูกนกตาสีเงินเกิดขึ้นหลายตัว แต่ทุกตัวเป็นตัวผู้ เมื่อลองจับคู่ผสมพันธุ์กับนกดวงตาสีอื่น ก็ไม่ได้ลูกนกตาสีเงินเลย จนกระทั่งวันหนึ่งมีลูกนกตาเงินเพศเมียเกิดขึ้น คุณหมอจึงเกิดความหวังในการพัฒนาให้พิราบขาวตาเงินเป็นพันธุ์แท้
"น้อย จับตาเงินตัวนั้นออกมาหน่อย" นพ. สมเกียรติบอกเด็กจับพิราบตาเงินออกจากกรงมาให้เราดูใกล้ ๆ
น้อยเปิดกรงไม้สำหรับเข้าคู่ ล้วงมือจับพิราบขาวมาตัวหนึ่ง คุณหมอรับนกมาส่องกับแดด เราเข้าไปดูใกล้ ๆ เห็นดวงตาของมันเป็นสีขาวอมเงินใส ขอบนอกมีสีแดงเรื่อ รูม่านตาสีดำกลางดวงตายามต้องแสงหดตัวเหลือเพียงจุดเล็ก ๆ
"ตัวนี้รหัส ๕๒๖๑๔ พ่อของเขาดวงตาสีเงิน แม่ก็ดวงตาสีเงิน เขาเลยออกมาดวงตาสีเงิน ตัวนี้เคยนำไปแสดงในงานสัตว์เลี้ยงที่สวนสามพรานเมื่อปลายปีที่แล้ว คนมาเลเซียมาขอซื้อให้ราคาหมื่นบาท แต่เราไม่ขาย เพราะจะเก็บไว้สร้างสายพันธุ์แท้" นพ. สมเกียรติกล่าว
|
|
พิราบตาสีส้มเหลือง
|
|
"ตัวนี้เป็นตัวผู้ อายุปีกว่า เกือบจะเป็นพันธุ์แท้แล้ว ตอนนี้ผมกำลังให้เขาจับคู่ผสมพันธุ์กับแม่ของตัวเอง หรือ
'อินบรีด' เพื่อให้เกิดลูกที่มีสายเลือดตาเงินเข้มข้นยิ่งขึ้น"
เรามองเข้าไปในกรงไม้ตรงช่องที่น้อยจับนกออกมาเมื่อครู่ เห็นยังมีพิราบขาวเดินไปเดินมาอยู่อีกตัว นพ. สมเกียรติบอกว่านั่นคือพิราบขาวตาเงินเพศเมียตัวแรกที่เกิดขึ้นมา มันเป็นทั้งแม่และคู่ผสมพันธุ์ของพิราบขาวตาเงินที่คุณหมอจับให้ดู
"ลูกนกที่ได้จากขั้นตอนอินบรีด เราจะนำไปผสมกับนกตาเงินจากสายอื่น เรียกว่าครอสบรีด ลูกที่ได้จะเป็นพันธุ์แท้แล้ว และในอนาคตยังต้องทำไลน์บรีด คือเอาหลานย้อนกลับมาเข้าคู่กับปู่ย่า ทั้งหมดก็คือขบวนการสร้างสายพันธุ์แท้ เทคนิคพวกนี้ผมศึกษามาจากทั้งในตำรา และจากเวบไซต์เกี่ยวกับนกของต่างประเทศ"
|
|
พิราบตาสีแดง
|
|
ปัจจุบัน นพ.สมเกียรติมีนกพิราบขาวตาเงินอยู่เก้าตัว และล่าสุด มีลูกนกเกิดใหม่ที่ผ่าเหล่า มีลักษณะแปลกใหม่อีกสองตัว ตัวหนึ่งถูกเด็กเลี้ยงนกขนานนามว่า "ตาไฟ"
"น้อย ลองจับตัวที่บอกว่าตาไฟมาดูหน่อย"
น้อยเข้าไปในกรงนกรุ่นซึ่งมีขนาดใหญ่ พิราบในกรงบินพรึ่บ คนไม่คุ้นเคยอาจแยกไม่ออก แต่ นพ. สมเกียรติชี้บอกให้น้อยจับนกตัวหนึ่งออกมา เขาจับนกยื่นให้เราดู ดวงตาของมันมีสีเหลืองเป็นพื้น ปกคลุมด้วยละอองเม็ดสีแดงเล็กละเอียด เป็นประกายแพรวพราวยามต้องแสงแดด
"ตัวนี้รหัส ๕๒๖๐๗ เพศเมีย อายุได้ ๑ ปีแล้ว พ่อแม่เขาเป็นพวกตาสีส้มแดง แต่ดวงตาเขาเป็นสีเหลือง แล้วมีเม็ดสีแดงเป็นจุด ๆ เวลาเจอแสงจะหักเหแสงมาก ทำให้ดูสดใสระยิบ" นพ. สมเกียรติหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
อีกตัวหนึ่งที่น้อยจับมาให้ดู รหัส ๕๒๖๖๕ เพศผู้ อายุเกือบครบปี ลักษณะเด่นก็คือ ขอบวงกลมรอบดวงตาเป็นสีชมพู แต่ตรงกลางมีกลุ่มเม็ดสีเงินรัศมีแตกเป็นแฉกวนออกไปโดยรอบ คล้ายกงจักร เด็ก ๆ จึงเรียกมันว่า "ตากงจักร"
ในอนาคต นพ. สมเกียรติตั้งใจจะจับคู่ผสมพันธุ์ระหว่าง "ตาไฟ" กับ "ตากงจักร" เขาคาดว่าจะได้ลูกที่มีดวงตาเป็นเม็ดสีเช่นเดียวกับพ่อแม่ ซึ่งสามารถพัฒนาให้เป็นพันธุ์แท้ได้ต่อไป
|
|
พิราบตาสีทับทิม (วงนอกแดง
วงในเงิน)
|
|
หลังจากสร้างสายพันธุ์พิราบขาวตาสีได้สำเร็จ นพ. สมเกียรติได้เปิดเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลนกพิราบของตน
"ผมสร้างเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ต เผยแพร่ข้อมูลนกพิราบตาสีของตัวเองเป็นภาษาอังกฤษมา ๓ ปีกว่าแล้ว" นพ. สมเกียรติกล่าว "สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะ อยากตรวจสอบด้วยว่าต่างประเทศที่เป็นต้นตำรับเพาะพันธุ์นกพิราบสื่อสาร เช่น เบลเยียม เขาพัฒนาสายพันธุ์แบบนี้หรือยัง ก็ได้รับความสนใจจากผู้เลี้ยงนกพิราบชาวต่างประเทศจำนวนมาก คนหนึ่งถามว่าสายพันธุ์ของผมเหมือนสายพันธุ์เพลติงกซ์ (Pletinckx) ซึ่งเป็นพิราบขาวที่เพาะโดยชาวเบลเยีpมหรือเปล่า ผมจึงสอบถามไปยังเจ้าของ เขาบอกว่าเป็นพิราบขาวตาดำ เราได้ค้นคว้าในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับนกพิราบจากทั่วโลก ก็ไม่พบว่ามีใครเพาะพิราบขาวตาสี และระยะเวลา ๓ ปีที่เราเผยแพร่ ก็ไม่มีใครออกมาอ้างว่ามีพันธุ์แท้นกพิราบลักษณะนี้ เมื่อสรุปได้อย่างนี้ ผมจึงตั้งชื่อว่า พิราบขาวสยาม
"คนที่เลี้ยงนกพิราบสื่อสาร ถ้ามาเจอนกพิราบขาว แล้วมีดวงตาสี เขาจะอยากได้ เพราะรู้ว่ามีคุณค่า ที่ผ่านมามีผู้เลี้ยงพิราบชาวต่างประเทศติดต่อขอซื้อเข้ามาในเว็บไซต์ร้อยกว่าคน แต่เรายังไม่ขาย เพราะไม่พร้อมในหลาย ๆ เรื่อง ยังไม่มีกำลังเพียงพอที่จะเพาะลูกนกจำนวนมาก คิดว่าตัวเองกำลังทำวิจัยอยู่มากกว่า
|
|
|
|
"แต่ตอนนี้เราเริ่มขายลูกนกให้คนไทยแล้ว และขายได้เยอะพอสมควร คือผมอยากให้คนไทยเลี้ยงกันให้แพร่หลายก่อนต่างชาติ ให้มันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยเสียก่อน และเมื่อมีคนเลี้ยงจำนวนมาก ก็จะสามารถร่วมกันผลิตและส่งออกเป็นสัตว์เศรษฐกิจ เพราะตลาดโดยตรงของนกพิราบสายพันธุ์นี้คือ ผู้เพาะเลี้ยงนกพิราบพันธุ์สื่อสารและพันธุ์สวยงามจำนวนนับล้านคนทั่วโลก ตลาดที่ใหญ่มากน่าจะเป็นประเทศจีนและญี่ปุ่น โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นชอบพิราบสื่อสารสีขาวมาก"
นพ. สมเกียรติให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า "แต่เนื่องจากพิราบขาวสยามเป็นสัตว์เลี้ยงสายพันธุ์ใหม่ของโลก การทำตลาดในต่างประเทศยังมีปัญหาและอุปสรรคอยู่สองประการคือ หนึ่ง ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีการรับจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ หากมีการขายพิราบขาวสยามเผยแพร่สายพันธุ์สู่ต่างประเทศแล้ว อาจถูกแอบอ้างถือสิทธิ์ได้ในอนาคต ดังเช่นที่เคยเกิดปัญหากับพันธุ์ข้าวหอมมะลิของไทย และสอง ถึงแม้นกพิราบสื่อสารจะไม่ใช่สัตว์สงวนในการควบคุมของไซเตส แต่การส่งออกสัตว์มีชีวิตไปยังต่างประเทศ ยังมีข้อจำกัดและความยุ่งยากที่จำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่นเดียวกับการส่งออกปลาสวยงามที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นอย่างดี จนสามารถส่องออกนำเงินตราเข้าประเทศมากมายในปัจจุบัน"
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตข้างหน้า พิราบขาวสยามยังสามารถพัฒนาสายพันธุ์ทั้งด้านรูปร่างลักษณะ การบิน และทำให้ดวงตามีสีสันหลากหลายยิ่งขึ้น" นพ. สมเกียรติกล่าวอย่างมีความหวัง
|
|