Contact Us
สาระเพื่อนักเดินทาง และการท่องเที่ยว อย่างเข้าใจและรอบรู้
www.Thaitraveler.com
ดูนก ชมประวัติศาสตร์ที่ป้อมพระจุลฯ
หน้าฝนอย่างนี้เอาแน่ไม่ได้กับดินฟ้าอากาศ จะวางแผนไปเที่ยวไหนต้องตรวจสอบลมฝนให้แน่ใจก่อนเดินทาง เดือนนี้ "นายรอบรู้" จะพาไปเที่ยวป้อมพระจุลฯจอมเกล้า หรือที่คนทั่วไปอาจจะเคยได้ยินชื่อจากเพลงลูกทุ่งรุ่นเก๋า มีเนื้อเพลงตอนหนึ่งว่า "...ป้อมพระจุลฯไกลบ้านห่างน้อง เมื่อฝนมาฟากฟ้าคะนอง ได้ยินถึงน้องหรือไม่..." หลายคนคงสงสัยว่าป้อมนี้อยู่ที่ไหน มีความสำคัญอย่างไร
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมแห่งนี้ขึ้นเมื่อปี ๒๔๓๖ ซึ่งขณะนั้น ลัทธิการล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตก กำลังแผ่ขยายอำนาจเข้ายึดครองประเทศแถบเอเชีย เมื่อสร้างป้อมสำเร็จแล้ว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงทำพิธีเปิดป้อมด้วยพระองค์เอง พระราชทานนามป้อมแห่งนี้ว่าป้อมพระจุลฯจอมเกล้า หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ไทยก็เกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสส่งเรือรบสองลำ ใช้เรือสินค้าเป็นเรือนำร่องเข้ามาในปากแม่น้ำเจ้าพระยา การกระทำดังกล่าวเป็นการล่วงล้ำอธิปไตยของสยาม ทหารที่รักษาป้อมพระจุลฯ และป้อมผีเสื้อสมุทรจึงได้ยิงเรือฝรั่งเศสที่ล่วงล้ำเข้ามา เรือรบไทยกับฝรั่งเศสยิงต่อสู้กัน ทว่าในที่สุดเรือรบฝรั่งเศสก็สามารถฝ่าด่านป้องกันเข้ามาได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้ทำให้ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ป้อมพระจุลฯ ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย
บริเวณป้อมพระจุลฯ มีพื้นที่กว้างขวาง ตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวไทย มีสภาพแวดล้อมร่มรื่นด้วยพรรณไม้ ปัจจุบันกองทัพเรือได้ปรับปรุงบริเวณป้อมพระจุลฯ ให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ มีอาคารสถานที่ที่น่าสนใจหลายแหล่งที่ควรชมดังนี้
เริ่มจากอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์ในชุดจอมทัพเรือ เป็นที่เคารพศรัทธาของคนทั่วไป ดังจะเห็นได้จากจำนวนดอกไม้ธูปเทียนที่มีคนน้ำมาบูชาจำนวนมาก
หากเดินทางลงไปทางบันได ใต้ฐานอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะพบกับห้องจัดแสดงนิทรรศการ เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ นิทรรศการที่จัดแสดงนั้นน่าตื่นตาตื่นใจ มีการนำภาพถ่าย แผนที่ประกอบข้อมูลที่หาชมได้ยาก แถมยังมีไฟส่องส่ว่างไสวมองเห็นป้ายนิทรรศการชัดเจนไม่เบื่อในการเดินชม เรื่องราวที่จัดแสดงนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของป้อมพระจุลฯ และที่สำคัญนักท่องเที่ยวจะได้ชมภาพพร้อมข้อมมูลในเหตุการณ์ รศ. ๑๑๒ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์วิกฤตครั้งหนึ่งของสยามในช่วงรัชกาลที่ ๕ ก็ว่าได้
ใกล้กับอนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๕ เป็นที่ตั้งปืนเสือหมอบ จำนวนเจ็ดกระบอก ตั้งเรียงรายอยู่ในหลุมหลบภัยซึ่งเป็นคอนกรีตมั่นคงแข็งแรง ปากปืนหันออกไปทางปากทะเล เพื่อสกัดยิงข้าศึกที่จะล้ำเจ้ามาน่านน้ำไทยได้อย่างถนัดถนี่ ปืนเสือหมอบเป็นปืนใหญ่แบบยิงเร็วที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เมื่อจะยิง ตัวปืนจะโผล่ขึ้นมาเหนือหลุมหลบภัย และเมื่อยิงเสร็จแล้วก็จะลดระดับลงสู่หลุมโดยอัตโนมัต ลักษณะคล้ายคนค่อยๆ หมอบลง และนี่คือที่มาของชื่อปืนเสือหมอบ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปชมบริเวณที่ตั้งปืนเสือบหมอบได้อย่างไกล้ชิด เพราะแต่ละหลุมมีทางเดินเชื่อมถึงกันตลอด
ใกล้กับบริเวรปืนเสือหมอบ ด้านประชิดริมน้ำเป็นที่ตั้งของเรือรบขนาดใหญ่ มองจากระยะไกลเข้าใจว่าเรือรบลำนี้อยู่ในน้ำ พอเข้าไปใกล้ๆ จึงรู้ว่าเรือลำนี้ตั้งอยู่อยู่บนฝั่ง เรือรบหลวงลำนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เรือรบหลวงแม่กลอง ซึ่งมีอายุเก่าแก่เป็นอันดับ ๒ ของโลก ในอดีตถือเป็นเรือรบหลวงขนาดใหญ่ ใช้ประจำการป้องกันอริศัตรูที่รุกล้ำเข้าเขตน่านน้ำทะเลไทย เป็นเรือครูให้นายทหารเรือชั้นสัญญาบัตร และนายทหารเรือชั้นประทวนใช้เป็นเป็นที่เรียนรู้การอาวุธและยุทธวิธีต่างๆ เมื่อเรือรบหลวงลำนี้ปลดประจำการในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน มีพระราชดำริให้อนุรักษ์เรือรบหลวงที่ปลดประจำการแล้ว เพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทหาร เผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป
สำหรับเรือหลวงแม่กลอง มีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ให้เหมือนเมื่อครั้งเรือรบลำนี้ยังใช้ประจำการอยู่ เช่น มีการจัดห้องสะพานเดินเรือ ห้องควบคุมการทำงานของเรือ ห้องครัว ห้องบังคับผู้บังคับการเรือ ห้องโถงนายทหาร ที่ในอดีตใช้เป็นห้องประชุมของนายทหารชั้นสัญญาบัตร ปัจจุบันได้ใช้เป็นห้องจัดแสดงประวัติความเป็นมาของเรือรบหลวงลำนี้ สำหรับผู้ไม่สนใจอ่านข้อมูลจากบอร์ดนิทรรศการ ที่ห้องเรียนของนักเรียนนายเรือ มีบริการฉายวิดีทัศน์ประวัติของเรือลำนี้เช่นกัน นอกจากนี้มีอาวุธชนิดต่างๆ เครื่องบินทะเลที่อยู่บริเวณด้านนอกลำเรือให้เดินชมอีกด้วย
สำหรับคนที่ชอบอาวุธยุทโธปกรณ์ ขอแนะนำให้เดินข้ามจากเรือรบหลวงแม่กลอง มายังพิพิธภัณฑ์ปืนซึ่งจัดแสดงปืนโบราณสมัยต่างๆ มีทั้งที่จัดแสดงภายในอาคารและภายนอกอาคาร มีทั้งอาวุธที่เคยใช้ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ อาวุธที่ใช้ในสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม เป็นต้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้เองอย่างสะดวก เพราะมีข้อมูลบรรยายประกอบปืนแต่ละชนิด
เนื่องจากป้อมพระพระจุลตั้งอบู่บริเวณปากอ่าว มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลออกทะเลทางด้านนี้ บริเวณนี้จึงเป็นบริเวณที่น้ำจืดกับน้ำเค็มมาพบกัน เกิดเป็นน้ำกร่อยเหมาะแก่การเจริญเติบโตของป่าชายเลน ป่าชายเลนในป้อมพพระจุลเคยอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม ต่อมาทางกองทัพเรือได้มีการปรับปรุงดูแลจนเป็นป่าชายเลนที่สมบูรณ์ อุดมไปด้วยไม้ชายเลนนานาชนิด เช่น แสม โพทะเล โกงกาง ตะบูน เป็นต้น
ป่าชายเลนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของสัว์น้ำนานาชนิดทั้งกุ้งหอยปูปลา นอกจากจะเป็นภักษาาหารที่สำคัญของมนุษย์แล้ว กุ้งหอยปูปลาตัวเล็ๆ ยังเป็นอาหารสำคัญของนกน้ำ นกป่าชายเลนนนาชนิด บริเวณป่าชายเลนในป้อมพระจุลฯ จึงมีเส้นทางสร้างเป็นสะพานไม้ทอดพาดผ่านเข้าไปในป่าชายเลน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เดินศึกษาป่าชายเลน ดูนกไปด้วย นกที่พบเห็นได้ในบริเวณป่าชายเลนแถบนี้ เช่น นกยางเปีย นกกาน้ำเล็ก นกกินเปี้ยว นกกระเ๖็นหัวดำ นกกระเต็นน้อยธรรมดา เป็นต้น
ปิดท้ายด้วยอาหารมื้อเย็นที่ร้านท้ายเรือ ซึ่งตั้งอยู่ภายในป้อมพระจุลฯนั่นเอง เป็นร้านสวัสดิการของทหารเรือ ท่ามกลางบรรยากาศลมโชยเย็นสบายริมทะเลปากอ่าวไทย เมนูเด็ดที่ไม่ควรพลาดอาหารทะเลสด ทั้งปิ้ง ต้ม ย่าง ยำรสชาติเด็ดอย่างบอกใครเชียว
หมายเหตุ
- เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา ๐๘.๐๐-๒๐.๐๐ น. ชมฟรี โทร. ๐-๒๔๗๕-๖๑๐๐
- การเดินทาง
รถยนต์ส่วนตัวไปยังป้อมพระจุลฯไปได้สองทาง คือ ถ้ามาทางวงเวียนใหญ่ ให้ใช้ถนนสุขสวัสดิ์ไปจนสุดถนน หากขึ้นทางด่วน เมื่อข้ามสะพานพระราม ๙ ให้ชิดซ้ายเพื่อลงทางด่วนที่ถนนสุขสวัสดิ์ จากนั้นขับรถตรงไปจนสุดถนน ซึ่งจะไปยังปากอ่าวไทย อันเป็นที่ตั้งป้อมพระจุลฯ
หรือจะมาเลือกใช้เส้นทางสุขุมวิท ให้ขับไปทางสำโรง เข้าถนนปู่เจ้าสมิงพราย แล้วลงแพขนานยนต์ข้ามฟากไปฝั่งพระประแดง จากนั้นให้ขับตรงไปถึงสามแยกพระประแดง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุขสวัสดิ์จนสุดทางเช่นเดียวกับเส้นทางแรก
- รถเมล์ สาย 20 มีทั้งรถธธรรมดา และปรับอากาศ ขึ้นรถที่วงเวียนใหญ่ รถไปสุดทางที่ป้อมพระจุลฯ