...ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
เป็นยา ที่มีส่วนประกอบ
เหมือนยาคุมกำเนิด แบบธรรมดา
แต่มีปริมาณยา มากกว่า มีสองแบบ
คือ แบบฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งมี ฮอร์โมนโปรเจสติน
เพียงอย่างเดียว
และแบบฮอร์โมนผสม
ซึ่งประกอบด้วย ฮอร์โมนเอสโตรเจน
และโปรเจสติน รวมกัน
แบบฮอร์โมนเดี่ยว มีข้อดีคือ
มีประสิทธิภาพ ในการป้องกัน
การตั้งครรภ์ได้ ๘๕ เปอร์เซ็นต์
ซึ่งมากกว่า แบบฮอร์โมนผสม
ซึ่งมี ประสิทธิภาพ เพียง ๗๕
เปอร์เซ็นต์ และมีผลข้างเคียง
(เช่น คลื่นไส้อาเจียน) น้อยกว่า
ในตลาดยาบ้านเรา มีเฉพาะ
ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
แบบฮอร์โมนเดี่ยว อาจารย์กฤตยา
อธิบายกลไกการทำงาน
ของยาคุมฉุกเฉินว่า
."ยาคุมตัวนี้
จะเข้าไปขัดขวาง การตกไข่
หรือทำให้ การตกไข่ช้า
ไปกว่าเดิม และอาจมีผล
ทำให้เนื้อเยื่อ ของผนังมดลูก
ที่กำลังก่อตัวหนาขึ้น
เพื่อเตรียมรับการฝังตัวของไข่
อ่อนแอลง รวมทั้ง มีผลอื่น ๆ
ที่จะไปขัดขวาง
การผสมระหว่างไข่
กับอสุจิโดยตรง พูดง่าย ๆ
ว่ามันจะทำงาน ตั้งแต่ตัวอ่อน
ยังไม่เกิด ถ้าตัวอ่อนเกิดแล้ว
มันจะไม่ไปขัดขวาง การพัฒนา
ของตัวอ่อนเลย ดังนั้น ยาตัวนี้
จึงไม่ใช่ยาทำแท้ง"
...โดยทั่วไป
เมื่อเกิดกรณีฉุกเฉิน เช่น
คุมกำเนิดผิดพลาด ถูกข่มขืน ฯลฯ
ผู้ใช้ จะต้องกินยาเม็ด
คุมกำเนิดฉุกเฉิน เม็ดแรกภายใน
๗๒ ชั่วโมง หรือภายในสามวัน
และกินเม็ดที่ ๒ หลังจากนั้นอีก
๑๒ ชั่วโมง ซึ่งวิธีนี้
ได้รับการยืนยัน ผลจากงานวิจัย
ในหลายประเทศ ว่าสามารถ
ป้องกันการตั้งครรภ์ ได้ถึง ๗๕-๘๕
เปอร์เซ็นต์ แต่ปัญหา
ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็คือ
ได้มีผู้หัน มานิยมใช้
ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
แทนการคุมกำเนิด แบบปรกติ
ซึ่งวิธีดังกล่าว
เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์
ทั้งยังเป็นอันตราย
ต่อผู้ใช้มากกว่า ที่สำคัญ
ผู้ใช้ส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้
เกี่ยวกับ การใช้ยาเม็ด
คุมกำเนิดฉุกเฉิน มากพอ
และข้อมูล ในใบกำกับยา
เองก็ยังเป็นปัญหา การตั้งครรภ์
ไม่พึงประสงค์ และปัญหาสุขภาพ
ด้านอื่น ๆ จึงเกิดขึ้นตามมา ...เภสัชกรสามิตร
เหลียวเจริญ กล่าวถึงปัญหา
ของกลุ่มผู้หญิง
ที่ไม่พร้อมตั้งครรภ์ว่า
...ทุกวันนี้
มีผู้หญิงที่ไม่พร้อม ตั้งครรภ์
มาขอคำปรึกษา ที่ร้านของผม
มากขึ้นเรื่อย ๆ พอถามว่า
ทำไมถึงปล่อย ให้เกิดภาวะ
อย่างนี้ คำตอบ ที่ได้รับ
ทำให้รู้ว่า ผู้หญิงหลายคน
ขาดความรู้ เรื่องการคุมกำเนิด
ที่ถูกต้อง และบางคน
ก็ได้รับข้อมูล ที่คลาดเคลื่อน
เกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน เช่น
เข้าใจว่ายาคุมฉุกเฉิน
มีประสิทธิภาพ
เทียบเท่ายาคุมธรรมดา
โดยจะกินกี่ครั้งก็ได้
แต่ต้องกินหนึ่งเม็ด
ภายในหนึ่งชั่วโมง
หลังมีเพศสัมพันธ์
ความเข้าใจผิด
เหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญ
ที่ทำให้ ผู้หญิงตั้งครรภ์
ไม่พึงประสงค์
...ขณะที่ผลงานวิจัย
ในหลายประเทศ ระบุว่า ต้องกินยา
ทั้งหมดสองครั้ง
ครั้งละหนึ่งเม็ด แต่ข้อมูล
ในใบกำกับยา ที่มีขาย ในบ้านเรา
กลับระบุ ให้กินเพียงหนึ่งเม็ด
ภายในหนึ่งชั่วโมง หลังจาก
มีเพศสัมพันธ์
โดยที่ไม่มีผลงานวิจัย
ยืนยันถึงประสิทธิภาพ
ของยาแต่อย่างใด
(ทั้งนี้จากงานวิจัยของ สงวน
ลือเกียรติบัณฑิต
ซึ่งทำการศึกษาปัญหา เกี่ยวกับ
การใช้ยาคุมกำเนิด หลังร่วมเพศ
พบว่า ข้อมูลในใบกำกับยา
ดังกล่าว มาจากงานวิจัย
ของผู้ผลิต
เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น)
ด้วยเหตุนี้ ผู้ใช้ยา ส่วนใหญ่
จึงเข้าใจว่า หากกินยา
หลังร่วมเพศ เกินหนึ่งชั่วโมง
ยาจะไม่ได้ผล หลายคน
จึงปล่อยเลยตามเลย จนแน่ใจ
ว่าตั้งครรภ์แล้ว
ค่อยกินยาขับหรือทำแท้ง ทั้งที่
หากทราบข้อมูล การใช้ยา
ที่ชัดเจน ถูกต้อง เพียงพอ
คือรู้ว่ายาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
สามารถป้องกัน การตั้งครรภ์
ได้ภายในระยะเวลา ๗๒
ชั่วโมงหลังร่วมเพศ
และรู้ถึงวิธีการ
ใช้ยาที่ถูกต้อง
คือต้องกินสองครั้ง
ครั้งละหนึ่งเม็ด
ตามเวลาที่กำหนด ซึ่งจะทำให้
ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ก็จะไม่ก่อ ให้เกิดปัญหา
การตั้งครรภ์ ไม่พึงประสงค์
จนต้องมาจัดการ
แก้ปัญหาเฉพาะหน้า กันภายหลัง
...นอกจาก
การกินยาเม็ด คุมกำเนิดฉุกเฉิน
แล้ว วิธีคุมกำเนิดฉุกเฉิน
อีกแบบหนึ่ง ที่ใช้ได้
เมื่อถึงคราวจำเป็น คือ
การกินยาคุม แบบธรรมดา
แต่เพิ่มปริมาณมากขึ้น อาจารย์รวงทิพย์
ธัญพิสิฐ จากภาควิชา
เภสัชศาสตร์สังคม
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อธิบายถึง วิธีกินยา แบบนี้ว่า
"ตามปรกติ
ยาคุมแบบธรรมดา จะมีฮอร์โมน
อยู่ในระดับต่ำ แต่สามารถ
ป้องกันการตั้งครรภ์ได้
โดยต้องกินทุกวัน ถ้าต้องการกิน
เพื่อคุมกำเนิด แบบฉุกเฉิน
จะต้อง เพิ่มปริมาณยา เป็นสอง
หรือสามเม็ด เพื่อให้
ปริมาณฮอร์โมน สูงเท่า ๆ กับ
ยาคุมฉุกเฉิน แบบเม็ดเดียว
แต่ผู้ใช้ยา ควรศึกษา ให้ดีก่อน
เพิ่มปริมาณยา เพราะ
ยาคุมแบบธรรมดา แต่ละยี่ห้อ
มีปริมาณฮอร์โมน ในยาแต่ละเม็ด
ไม่เท่ากัน"
ปัญหาที่น่าเป็นห่วง
ในขณะนี้ คือ จำนวนผู้ใช้ยา
ผิดวัตถุประสงค์ หรือไม่ได้ใช้
ในกรณีฉุกเฉิน เพิ่มมากขึ้น
อย่างเห็นได้ชัด จากงานวิจัย ของ สงวน ลือเกียรติบัณฑิต
ซึ่งทำการสอบถาม ผู้ใช้ยา
จำนวน ๖๐ คน พบว่า กลุ่มตัวอย่าง
ใช้ยาเฉลี่ย เดือนละ ๓.๖ เม็ด
ซึ่งแสดงว่า กลุ่มตัวอย่าง ใช้ยา
อยู่เป็นประจำ ไม่ได้ใช้
ในกรณีฉุกเฉิน ตามที่ควรจะเป็น
นายแพทย์มงคล ณ สงขลา
กล่าวถึงสถานการณ์การใช้ยาคุมฉุกเฉินในปัจจุบันว่า
"เพื่อนหลายคน
ที่เปิดร้านขายยา เล่าให้ฟังว่า
ทุกวันนี้ มีคนใช้ยาตัวนี้
กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ
ในหมู่วัยรุ่น ที่น่าตกใจ ก็คือ
คนซื้อกลับเป็นผู้ชาย
ซึ่งไม่ใช่คนกิน ส่วนผู้หญิง
ซึ่งเป็นคนกิน กลับไม่ได้ซื้อ"
สาเหตุหนึ่ง
ที่ผู้ชายจำนวนมาก หันมาซื้อ
ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
ให้คู่นอนของตน
มาจากทัศนคติไม่ดี
เกี่ยวกับถุงยางอนามัย ที่ว่า "ใช้แล้วไม่เป็นธรรมชาติ"
หรือ "ถุงยาง
เหมาะสำหรับโสเภณี"
บ้างก็อ้างว่า ถุงยางอนามัย
เป็นสัญลักษณ์
ของความไม่ไว้เนื้อ เชื่อใจกัน
แต่จากประสบการณ์
ของอดีตนักเที่ยว
ซึ่งเข้าร่วมสัมมนา
ครั้งนี้ด้วย พบว่า เหตุผลหนึ่ง
ที่ผู้ชาย นิยมใช้วิธีนี้ ก็คือ
สะดวกดี
ผลจากทัศนคติดังกล่าว ผู้หญิง
จึงตกอยู่ในอันตราย
โดยไม่รู้ตัว เพราะ
การกินยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน
บ่อยครั้ง
ทำให้ผู้หญิงได้รับฮอร์โมน
บางตัวสูงเกินไป ซึ่งก่อให้เกิด
ผลข้างเคียง มากมาย
และการมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ใช้
ถุงยางอนามัย ยังทำให้เสี่ยง
ต่อการติดเชื้อเอดส์
ง่ายขึ้นด้วย ผู้เข้าร่วมสัมมนา
ท่านหนึ่ง เล่าประสบการณ์
จากการทำงาน
กับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
ในโรงงานให้ฟังว่า
"เดี๋ยวนี้ แฟชั่นยอดฮิต
ของผู้ชาย ในโรงงาน คือ
พกยาคุมฉุกเฉิน ติดกระเป๋า
ตลอดเวลา เขาบอกว่า เพศสัมพันธ์
เกิดขึ้นได้ โดยไม่คาดฝัน
ไม่เลือกสถานที่
และไม่เลือกเวลา ดิฉันถามเขาว่า
เวลาให้ผู้หญิงกิน
พูดว่าอย่างไร เขาบอกว่า
จะอ้างว่า เป็นยาบำรุง พอให้กิน
บ่อยครั้งผู้หญิงเริ่มสงสัย
ก็เปลี่ยนเป็น ใช้วิธีอื่นแทน"
อาจารย์สำลี ใจดี จากกลุ่มศึกษาปัญหายา
กล่าวถึงผลข้างเคียง
ที่จะเกิดขึ้น กับผู้ใช้ยาว่า
..."งานวิจัย
เมื่อปีที่แล้ว ได้ผลออกมาว่า ยาตัวนี้
มีผลข้างเคียงมากมาย
ทั้งคลื่นไส้อาเจียน ปวดหัว
ประจำเดือนมามาก หรือน้อยเกินไป
ซึม ง่วง ท้องเสีย ทั้งยังพบว่า
มีอัตราเสี่ยงที่จะเกิด
มะเร็งเต้านมด้วย ผู้หญิง
ที่กินยาตัวนี้ มากเกินไป
อาจเป็นอันตราย อย่างคาดไม่ถึง
เพราะยาตัวนี้ ผลิตขึ้นมา
สำหรับกรณีฉุกเฉิน ไม่ใช่สำหรับ
ใช้เป็นประจำ"
...ในงานสัมมนาครั้งนี้
วิทยากรได้สรุป
แนวทางการแก้ไขปัญหา
เกี่ยวกับเม็ดยาคุมกำเนิดฉุกเฉินว่า
ควรเรียกร้อง ให้สำนักงาน
คณะกรรมการ อาหาร และยา แก้ไข
ใบกำกับยา ให้ถูกต้อง
โดยเร็วที่สุด และองค์กร ต่าง ๆ
ทั้งภาครัฐ และเอกชน อาทิ กระทรวง
สาธารณสุข องค์กรพัฒนาเอกชน
ร้านขายยา และสื่อมวลชน
จะต้องช่วยกัน เผยแพร่ข้อมูล
ที่ถูกต้อง สู่ประชาชน
เพื่อลดอันตราย
จากการใช้ยาพร่ำเพรื่อ
รวมทั้งเผยแพร่
ยานี้ให้เป็นที่รู้จัก ในฐานะ
ที่เป็นทางเลือกหนึ่ง
สำหรับผู้หญิง
ที่ไม่พร้อมตั้งครรภ์ แต่อยู่ใน
กรณีฉุกเฉินจริง ๆ
|