ตลอดแนวชายแดนไทย-พม่ากว่า ๒,๐๐๐ กิโลเมตร ตั้งแต่จังหวัดเชียงราย ลงมาถึงระนอง เป็นพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยมากมายหลายเผ่า ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยใหญ่หรือคนไต ชาวว้า ชาวคะยาห์ ชาวกะเหรี่ยง หรือชาวมอญ นับตั้งแต่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ แผ่นดินของชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ เริ่มถูกพม่ายึดครอง ผู้คนถูกเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เหล่าชนกลุ่มน้อย จึงจับปืนลุกขึ้นสู้ เพื่อเรียกร้องเอกราช ในการปกครองตนเอง แม้ว่าปัจจุบันชนกลุ่มน้อยบางกลุ่ม จะเปลี่ยนวิถีทางการต่อสู้จากการสู้รบ มาเป็นการเจรจาหยุดยิง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า สันติภาพจะบังเกิด และเสียงปืนจะสงบลงตลอดไป เพราะตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ไข ปัญหาทางการเมือง และยังไม่มีใครเชื่อใจรัฐบาลพม่า ตราบนั้น เสียงปืนก็จะดังขึ้นได้เสมอ ที่ชายแดนไทย-พม่า การต่อสู้ของชนกลุ่มน้อยยังคงดำเนินต่อไป...
อดีตเจ้าไทยใหญ่ท่านหนึ่ง วิเคราะห์การต่อสู้เพื่อเอกราช ของคนไทยใหญ่ตลอดเวลากว่า ๕๐ ปีว่า "สาเหตุที่คนไทยใหญ่ ยังไม่สามารถกู้ชาติได้ เพราะขาดความเป็นเอกภาพ ตั้งแต่ต่อสู้กันมา คนไทยใหญ่ ไม่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ต่างคนต่างลุกขึ้นมาต่อสู้ แตกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย รวมตัวกันลำบาก และนี่คงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ภาพการต่อสู้ของชาวไทยใหญ่ ไม่ชัดเจนในสายตาคนภายนอก ผิดกับกะเหรี่ยง หรือมอญ ซึ่งมีองค์กรทางการเมือง ที่โดดเด่นในการสู้รบ แม้ว่าช่วงเวลาหนึ่ง ทั่วโลกจะเคยได้ยินชื่อ ขุนส่า และกองทัพเมืองไต หรือ MTA (Mong Tai Army) ในฐานะองค์กรทางการเมือง ชาวไทยใหญ่ที่มีกองกำลังติดอาวุธ ทันสมัยที่สุด และเป็นศัตรูอันดับต้น ๆ ของกองทัพพม่า แต่ชื่อเสียงดังกล่าว ก็โด่งดังเพียงชั่วเวลาไม่นาน เพราะขุนส่าหันไปจับมือ กับรัฐบาลพม่าในภายหลัง ขุนส่าจึงเป็นได้แค่ "ราชาเฮโรอีน" มิใช่นักรบกู้ชาติชาวไทยใหญ่ อย่างที่เคยประกาศเจตนารมณ์ไว้ หลังจากกองทัพเมืองไตล่มสลาย เรื่องราวของนักรบไทยใหญ่ ก็เงียบหายไปจากความรับรู้ ของคนภายนอกอีกครั้ง แม้ว่าวันนี้ แผ่นดินรัฐฉาน ยังคงมีนักรบไทยใหญ่ ต่อสู้อย่างเข้มแข็งอยู่ในราวป่าก็ตาม บนแผ่นดินรัฐฉาน การต่อสู้ของนักรบไทยใหญ่ ดำเนินมายาวนานเกือบ ๕๐ ปี และยังดำเนินต่อไปอีกยาวนาน จนกว่าชาวไทยใหญ่จะได้รับอิสรภาพ ประวัติศาสตร์การสู้รบของชาวไทยใหญ่ เปิดฉากในปีแรก ตั้งแต่รัฐฉาน ครบกำหนดแยกตัวเป็นรัฐอิสระ ตามสนธิสัญญาปางหลวงปี ๒๕๐๑ หลังจากรัฐบาลพม่าไม่ทำตามข้อตกลง แถมส่งกองทัพพม่า เข้ามายึดครองแผ่นดินรัฐฉาน ชาวไทยใหญ่ จึงจับอาวุธลุกขึ้นต่อต้าน กลุ่มแรกสุด คือ หนุ่มศึกหาญ (Noom Suk Harn) ภายใต้การนำของเจ้าหยั่นต๊ะ เริ่มทำการสู้รบอยู่แถว ๆ ชายแดนไทย-พม่า ในปีต่อมา โบ หม่อง นายตำรวจชาวว้า และเจ้า ส่าน ทูน เจ้าฟ้าไทยใหญ่ ได้นำกำลังพล เข้าร่วมกับกลุ่มหนุ่มศึกหาญ ช่วยกันรบจนสามารถเอาชนะกองทัพพม่าที่เมืองตั้งยาน ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของรัฐฉาน การรบครั้งนี้สร้างขวัญ และกำลังใจให้แก่ชาวไทยใหญ่มากขึ้น แต่น่าเสียดายที่หลังจากร่วมกันรบเพียงหนึ่งปี บรรดาแกนนำ เริ่มมีความคิดไม่ลงรอยกัน จึงแยกออกไปตั้งกลุ่มใหม่อีกหลายกลุ่ม ต่างคนต่างต่อสู้ตามแนวทางของตน จนกระทั่งปี ๒๕๐๗ มหาเทวีเฮือนคำ แห่งแคว้นยองห้วย วีรสตรีเหล็กของชาวไทยใหญ่เห็นว่าองค์กรไทยใหญ่ กำลังขาดเอกภาพในการสู้รบ จึงพยายามรวบรวมองค์กร ที่กระจายอยู่ทั่วรัฐฉาน ให้กลับมาต่อสู้ร่วมกันในนาม SSA (Shan State Army) โดยมีขุน จ่า นุ และเจ้าช้าง ณ ยองห้วย เป็นผู้นำ
บนเทือกเขาระหว่างแม่น้ำสาละวิน กับแม่น้ำโขงบนแผ่นดินรัฐฉานตอนบน มีชนกลุ่มน้อย ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นนักรบที่ดุร้ายที่สุด อาศัยอยู่มานานหลายศตวรรษ ดินแดนแห่งนี้ ไม่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองครองใคร ไม่มีใครอยากสู้รบกับพวกเขา แม้แต่ทหารพม่า ที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมต่อชนกลุ่มน้อยมากที่สุด ก็ยัง "เข่าอ่อน" เมื่อเจอนักรบกลุ่มนี้เดินผ่าน เพราะพวกเขาคือ ว้าแดง -- อดีตนักล่าหัวมนุษย์ แห่งลุ่มน้ำสาละวิน ชาวว้ามีขนบธรรมเนียมประจำเผ่า ที่เด่นมากสองอย่าง อย่างแรก คือการปลูก และพึ่งพาฝิ่น ในทางเศรษฐกิจ อย่างที่ ๒ คือธรรมเนียมการล่าหัวมนุษย์ ซึ่งเป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวว้า พวกเขาเชื่อว่าหัวมนุษย์ มีอำนาจ และความพิเศษ หากเกิดภัยแล้ง หรืออาเพศขึ้น บนแผ่นดินว้า ชาวว้าจะออกล่าหัวมนุษย์ เพื่อให้แผ่นดิน กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง (ปัจจุบันประเพณีนี้ยกเลิกไปแล้ว แต่ยังมีกะโหลกมนุษย์ให้เห็นอยู่บนหิ้งผีตามบ้าน) "ผลดี ของการล่าหัวมนุษย์ ที่ชาวว้าได้รับ นอกเหนือจากการแก้ปัญหาอาเพศ ตามความเชื่อของชนเผ่า ก็คือ ภาพความดุร้าย กล้าหาญ จนใครอื่นไม่กล้าย่างกราย เข้ามาปกครองดินแดนแห่งนี้ แม้กระทั่งพม่ากับจีน ยังเกี่ยงกันว่า ใครจะรวมดินแดนว้าไว้ ในเขตปกครองของตน ท้ายที่สุด จีนก็ยกดินแดนแห่งนี้ ให้อยู่อังกฤษดูแล (ขณะนั้นพม่า ยังอยู่ภายใต้การปกครอง ของอังกฤษ ปี ๒๔๒๘) แต่อังกฤษดูจะไม่ชอบใจเท่าไร เพราะเคยส่งทหารอังกฤษ ไปสำรวจดินแดน เพื่อเตรียมปกครอง แต่ปรากฏว่าทหารอังกฤษ ถูกนักรบชาวว้า ล่าหัวไปสังเวยอาเพศหลายครั้ง เมื่อถูกล่าหัว หนักเข้า ในที่สุด อังกฤษก็เลือก ที่จะเก็บหัวนายทหารอังกฤษไว้บนบ่า มากกว่าอยากเข้าปกครองดินแดนว้า ชาวว้าจึงมีอิสระ จากการปกครองของทุกฝ่าย มาจนถึงวันนี้ ในช่วงสงครามระหว่างรัฐบาลพม่า กับพรรคคอมมิวนิสต์พม่า พรรคคอมมิวนิสต์พม่า พ่ายแพ้ต่อพม่า ในการรบแถวภาคกลาง จึงถอยร่นขึ้นไปอยู่ แถวรัฐฉานตอนเหนือ เพราะต้องการหาที่พึ่ง จากพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคคอมมิวนิสต์พม่า เข้าไปสร้างฐานบัญชาการ ในอาณาบริเวณที่ว้าอาศัยอยู่ และเกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นทหาร ในเวลานั้นชาวว้า เคยแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเข้าข้างรัฐบาล อีกฝ่ายเข้าข้างคอมมิวนิสต์ ก่อนพรรคคอมมิวนิสต์ล่มสลายไม่นาน ปี ๒๕๓๒ ทหารว้าก่อกบฏ พรรคคอมมิวนิสต์พม่า จนผู้นำอาวุโส ต้องหนีเข้าไปอยู่ในเมืองจีน หลังจากนั้นชาวว้า ก็ตั้งสหพันธรัฐว้า - UWSP (United Wa State Party) ขึ้น เพื่อเรียกร้องอำนาจ ในการปกครองตนเอง เช่นเดียวกับชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในประเทศพม่า ซึ่งชาวว้าต้องจ่ายค่าภาษีอากร ให้แก่สหพันธรัฐว้า เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับติดอาวุธกองทหารว้า เพื่อภารกิจนี้ด้วย
อ่านต่อคลิกที่นี่
สำนักพิมพ์ สารคดี | สำนักพิมพ์ เมืองโบราณ | วารสาร เมืองโบราณ | นิตยสาร สารคดี [ วิริยะบุคส์ | มีอะไรใหม่ | เช่าสไลด์ | ๑๐๘ ซองคำถาม | สมาชิก/สั่งซื้อหนังสือ | WallPaper ]