|
|
|
อัมพร
จิรัฐติกร |
|
|
|
กล่าวได้ว่าในบรรดาประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สิงคโปร์เป็นประเทศที่พัฒนาก้าวหน้า
ผู้คนมีคุณภาพและมีการศึกษามากที่สุด
และผู้หญิงสิงคโปร์เองก็มักจะถูกมองว่า
เป็นผู้หญิงทำงาน ทันสมัย
มีสถานภาพ
ความเป็นอยู่และการศึกษา "ดี"
กว่าผู้หญิงในประเทศอื่น ๆ
|
|
|
แต่ลองดูตัวอย่างโฆษณาสองชิ้นที่ยกมานี้
โฆษณาเรื่องของ "ผู้ยิ้ง
ผู้หญิง"
ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ Strait Times--
หนังสือพิมพ์ที่ถือได้ว่าเป็นกระบอกเสียงอันสำคัญของรัฐบาล
แล้วลองบอกสิว่า
คุณรู้สึกอย่างไรกับผู้หญิงสิงคโปร์
โฆษณาชิ้นแรกเป็นภาพหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าหุ่นดีที่สุดในสิงคโปร์
"มิสซูเปอร์บอดี" ปี ๑๙๙๙
ในชุดชั้นในโชว์เรือนร่างงาม
(ที่สุดในประเทศ)
กำลังใช้เนกไทจับชายหนุ่มหุ่นดีที่สุดในสิงคโปร์
"มิสเตอร์ซูเปอร์บอดี้"
แล้วร้องบอกว่า
look what I caught
...ดูสิว่าฉันจับอะไรได้ !
มันบอกอย่างไม่ต้องสงสัยว่า
เป็นโฆษณาสถานบริหารร่างกาย The
Slimming Sanctuary
ที่จะช่วยสร้างให้คุณมีเรือนร่างงดงามได้อย่างเธอ
ส่วนโฆษณาอีกชิ้นหนึ่งเขียนคำโต
ๆ ว่า Bigger, Better, Stronger
ประกอบภาพหญิงสาวกำลังยกดัมเบลส์
เพื่อให้ร่างกายส่วนบนของเธอ bigger
(อันหมายถึง better
และหมายถึงอะไรที่ตามมาอีกหลาย
ๆ อย่าง)
โฆษณาชิ้นนี้เป็นโฆษณาของฟิตเนสเซ็นเตอร์แห่งหนึ่ง
ตีพิมพ์อยู่ในหน้า
"ผู้หญิงวันนี้"
ของหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์
ซึ่งเสนอสกู๊ปพิเศษ Millennium Hope
ของผู้หญิงสิงคโปร์ในวาระที่จะก้าวเข้าสู่ปี
๒๐๐๐
เมื่อโฆษณาชิ้นนี้ถูกนำมาวางเคียงข้างอยู่กับสกู๊ป
Millienium Hope นี้แล้ว
มันจึงดูราวกับจะบอกว่า
ความหวังของผู้หญิงสิงคโปร์ในสหัสวรรษใหม่ก็คือ
การมีหน้าอกที่ใหญ่ขึ้น !
เพราะเหตุใดจึงมีโฆษณาแบบนี้ลงให้เห็นอย่างหนาตาในหนังสือพิมพ์ของสิงคโปร์
โฆษณาที่สื่อสารอย่างชัดเจนว่า
"ดูสิ
เพราะหุ่นสวยๆอย่างนี้แหละ
ที่ทำให้ 'จับ' ผู้ชายได้" หรือ
"(อก) ใหญ่กว่า ย่อมดีกว่า"
และหากใครที่ได้เคยใช้ชีวิตอยู่ในสิงคโปร์
ได้มีโอกาสดูทีวีของเมืองนี้อยู่บ่อย
ๆ แล้ว ก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่า
เหตุใดทีวีสิงคโปร์จึงแพร่ภาพโฆษณาประเภท
เครื่องบริหารหน้าท้อง
ทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้น
โฆษณาสถานบริหารร่างกาย
เพื่อให้มีหุ่นดึงดูดใจชาย
ซึ่งเป็นโฆษณาชนิด "ขายตรง"
มากกว่าโฆษณาสินค้า "ผู้หญิง"
ของไทยอย่างเครื่องสำอาง
ครีมหน้าขาว
หรือโรลล์ออนดับกลิ่น (เต่า)
มากมาย |
|
|
ดูจากโฆษณาเหล่านี้แล้ว
ก็คงเป็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อย
ที่จะลองหันมาทำความรู้จักกับผู้หญิงสิงคโปร์กันบ้าง
แต่ก่อนที่จะเข้าใจ
และรู้จักผู้หญิงสิงคโปร์
รับรู้ทัศนคติเกี่ยวกับเรือนร่าง
และการเลือกคู่ของพวกเธอ
เราคงจะต้องมาทำความรู้จัก
กับสังคมสิงคโปร์กันก่อนสักเล็กน้อย
ประเทศที่มีเนื้อที่เล็กกว่าเกาะภูเก็ตอย่างสิงคโปร์นี้
มีอดีตย้อนหลังไปนับได้ไม่ถึง
๕๐ ปี
เพราะสิงคโปร์เพิ่งแยกตัวออกมา
จากสหพันธรัฐมาเลเซีย
แล้วตั้งเป็นประเทศขึ้นในปี พ.ศ.
๒๕๐๗ มานี้เอง
ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศคือคนจีน
ซึ่งมีอยู่ถึงร้อยละ ๗๗
และนั่นทำให้ผู้หญิงสิงคโปร์ในทศวรรษแรก
ๆ ต้องต่อสู้กับค่านิยมแบบ
"จีน" เรื่องเมียหลวงเมียน้อย
อยู่ไม่ใช่น้อย
พร้อม ๆ
กันกับที่ประเทศกำลังก่อร่างสร้างตัว
ผู้หญิงสิงคโปร์ในสองทศวรรษแรก
ก็มีบทบาทหน้าที่ในการสร้าง
"บ้าน"
สร้างครอบครัวและเลี้ยงดูลูก
ในขณะที่โลกของผู้ชายสิงคโปร์อยู่นอกบ้าน
อยู่ในแวดวงธุรกิจ
และการหาเลี้ยงครอบครัว
จะว่าสิงคโปร์โชคดีที่มีรัฐบาลเก่งก็ว่าได้
ที่ใช้เวลาเพียงไม่นาน
ก็สามารถสร้างประเทศให้เติบโตขึ้น
มั่นคงแข็งแรงในทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันรัฐก็หันมาดูแลชีวิตคนสิงคโปร์ในด้านอื่น
ๆ เพิ่มมากขึ้น อย่างเช่น
การศึกษา ระบบสวัสดิการสังคม
ซึ่งรวมถึงโอกาสที่มากขึ้นสำหรับผู้หญิง
ทั้งโอกาสในการศึกษา
และโอกาสในอาชีพ
ผู้หญิงสิงคโปร์จึงก้าวเข้าสู่การศึกษา
ระดับปริญญามากขึ้น
และออกมาทำงานนอกบ้านกันอย่างมากมาย
แต่ประเทศเล็ก ๆ
ที่มีประชากรแค่ ๓
ล้านคนอย่างสิงคโปร์นี้
กลับเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ในเรื่องของอุดมการณ์ทางความคิด
แม้เศรษฐกิจจะก้าวรุดหน้า
สังคมสิงคโปร์จะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย
ตึกรามบ้านช่องแบบตะวันตก
กินอาหารฟาสต์ฟูดอย่างไรก็ตาม
ค่านิยมที่รัฐบาลลีกวนยูวางไว้ให้แก่คนสิงคโปร์ก็คือ
การสืบทอด "ความเป็นเอเชีย"
และการยึดมั่นในสถาบันครอบครัว
ซึ่งโดยนัยยะนี้
ผู้หญิงแม้จะได้รับการส่งเสริมทั้งด้านการศึกษา
และอาชีพมากแค่ไหน
ก็ยังคงต้องสืบทอดบทบาทดั้งเดิมในครอบครัว
นั่นคือการเป็นเมียและแม่ |
|
|
ลีกวนยูเคยกล่าวแสดงความเสียใจ
(หรือเสียดาย)
เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลเกี่ยวกับผู้หญิงสิงคโปร์ไว้ครั้งหนึ่ง
ในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า
"ด้วยนโยบายการให้การศึกษาและการเปิดโอกาสทางอาชีพที่เท่าเทียมแก่ผู้หญิงสิงคโปร์
รัฐก็ได้ทำลายคุณค่าเดิมของผู้หญิงที่เราเคยมีลงไปด้วย
นั่นก็คือ 'ความเป็นแม่
แต่เอาเถอะ
มันสายเกินไปเสียแล้วที่จะเดินถอยหลังให้ผู้หญิงกลับไปอยู่บ้านอย่างเดิม
และอีกอย่างผู้หญิงก็กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของประเทศไปเสียแล้ว
ทางที่ดีที่สุดที่รัฐบาลจะทำได้ก็คือ
การสนับสนุนให้ผู้หญิงที่มีการศึกษา
ที่ออกไปทำงานนอกบ้าน
ให้แต่งงานและมีลูกมากขึ้น
เพื่อสร้างคนรุ่นต่อไป"
ไม่ว่าสิงคโปร์จะเติบโตก้าวหน้า
เป็นเมืองฝรั่งในเอเชียแค่ไหนก็ตาม
นโยบายให้ผู้หญิงเป็นเมีย
และแม่นี้
ก็ยังคงได้รับการยึดมั่น
จากรัฐบาลอย่างเหนียวแน่น
รัฐพยายามวางกฎ
เพื่อให้ผู้หญิงสิงคโปร์ดำรงสถานะเป็นเมีย
และแม่ในหลาย ๆ ทาง
จนเรียกได้ว่าครอบคลุมอยู่ในชีวิตผู้หญิงสิงคโปร์ทุก
ๆ ด้านเลยทีเดียว
ใครเคยมีโอกาสไปเยือนประเทศสิงคโปร์
คงได้เห็นแฟลตสูงนับสิบชั้นตั้งเรียงรายตลอดสองฟากถนน
แฟลตที่ว่านี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
คนสิงคโปร์เรียกแฟลตแบบนี้ว่า HDB
Flat (Housing Development Board)
ซึ่งรัฐเป็นผู้จัดสร้างเพื่อสนองนโยบาย
ที่จะให้ชาวสิงคโปร์ทุกคนมีที่อยู่อาศัย
แต่นโยบายนี้ก็กลับ
"เลือกปฏิบัติ"
กับผู้หญิงไม่น้อยทีเดียว
เพราะแฟลตนี้จะขายให้แก่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเท่านั้น
หญิงโสดคนใดอยากมีบ้านเป็นของตัวเองก็จะต้องร้องเพลงรอจนกว่าเธอจะขึ้นคานจนถึงอายุเลย
๔๐ ปีไปแล้ว
จึงจะมีสิทธิ์ซื้อแฟลตอยู่ได้
และในขณะที่รัฐไม่อนุญาตให้หญิงโสดอายุต่ำกว่า
๔๐ ปีซื้อบ้านได้
รัฐก็ผ่อนปรนอนุญาตให้หญิงที่มีลูกโดยมิได้แต่งงาน
ไม่มีสามีเป็นตัวเป็นตนให้เห็น
สามารถซื้อแฟลตอยู่ได้
ซึ่งข้อเท็จจริงอันนี้
ทำให้นายกรัฐมนตรีโกะจกตงเดือดร้อนจนถึงกับต้องออกมากล่าวอย่างเป็นทางการ
แสดงความไม่เห็นด้วยว่า
"การอนุญาตให้หญิงไม่ได้แต่งงาน
แต่มีลูกสามารถซื้อบ้านได้นี้
เป็นสิ่ง 'ผิด
เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับแม่ที่มีลูกนอกสมรสว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
ซึ่งถ้าเกิดเรายังทำเช่นนี้ต่อไป
ก็เท่ากับว่าเรากำลังสนับสนุนให้ผู้หญิงมีลูกโดยไม่สมรสมากขึ้น"
|
|
|
นายกรัฐมนตรีโกะจกตงกล่าวคำพูดนี้ในวันชาติสิงคโปร์
ปี พ.ศ. ๒๕๓๗
ซึ่งส่งผลให้นับจากนั้นหญิงใดก็ตามที่มีลูกแต่ไม่มีพ่อ
ถูกปฏิเสธสิทธิ์ที่จะสามารถซื้อแฟลตโดยตรงจากรัฐ
พวกเธอจะซื้อได้ก็จากตลาดมือสองเท่านั้น
แน่นอนในราคาที่แพงกว่าปรกติมาก
ใครจะนึกว่า
เกิดเป็นหญิงสิงคโปร์นั้นแท้จริงแสนลำบาก
ลำบากตรงที่ว่าต้องพยายามหาสามีให้ได้นั่นเอง
ยังมีนโยบายของรัฐอีกหลายอย่างที่สะท้อนถึงการให้ค่าของผู้หญิงก็ต่อเมื่อเธอก้าวเข้าสู่สถานภาพ
"แต่งงานแล้ว" หรือ
"มีลูกแล้ว"
และที่น่าตลกขึ้นไปกว่านั้นก็คือ
"ค่า"
นั้นขึ้นอยู่กับระดับของการศึกษาและการมีลูกมากของเธอ
มีช่วงหนึ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์เกิดกังวลกับอัตราการเกิดที่ต่ำมาก
ผู้หญิงที่มีการศึกษาก็อยู่เป็นโสดมากขึ้น
และคนที่แต่งงานก็มักจะมีลูกแค่หนึ่งคนหรือเลือกที่จะไม่มีลูกเลย
ลีกวนยู
นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นรู้สึกกังวลกับจำนวน
"ผู้หญิงมีการศึกษา"
ที่เข้าสู่การแต่งงานและมีบุตรน้อยลง
ซึ่งหมายถึงจำนวนประชากรที่ฉลาดจะน้อยลงไปด้วย
จึงได้กำหนดนโยบายลดภาษีเป็นจำนวนเงินก้อนใหญ่ขึ้นมาล่อ
โดยกำหนดให้หญิงที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป
เมื่อมีลูกคนที่ ๒ หรือ ๓
พวกเธอก็จะได้รับการลดหย่อนภาษีทันที
พูดอย่างเป็นรูปธรรมคือ
แม่ที่มีลูกคนที่ ๒ หรือ ๓
ก่อนอายุ ๒๘, ๒๙, ๓๐ และ ๓๑ ปี
จะได้รับการลดหย่อนภาษีเป็นจำนวนเงิน
๒๐,๐๐๐ / ๑๕,๐๐๐ / ๑๐,๐๐๐ / ๕,๐๐๐
เหรียญสิงคโปร์ตามลำดับ
แต่ในทางกลับกัน
รัฐก็ไม่อยากให้แม่ที่มีการศึกษาน้อยระดับต่ำกว่าอนุปริญญามีลูกมาก
(เพราะนั่นหมายถึงประชากรที่มีแนวโน้มจะโง่จะเพิ่มมากขึ้น)
จึงเสนอเงินช่วยเหลือ ๑๐,๐๐๐
เหรียญสิงคโปร์
หากแม่ยินยอมที่จะทำหมันหลังจากมีบุตรคนแรกหรือคนที่
๒ เมื่อเธออายุต่ำกว่า ๓๐ ปี
นโยบายเรื่องนี้ทำให้ผู้หญิงหลายคนรู้สึกถูกดูหมิ่นอย่างมาก
จดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนมาถึงหนังสือพิมพ์
สเตรตไทม์
สะท้อนความรู้สึกร่วมของผู้หญิงสิงคโปร์ได้เป็นอย่างดี
เธอบอกว่าเธออายุ ๔๐ ปีแล้ว
ไม่ได้แต่งงาน
แต่ก็ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานและมีความสุขดีกับชีวิตโสดของเธอ
"แต่ฉันกำลังรู้สึกถูกดูหมิ่นอย่างมากจากข้อเสนอของรัฐบาล
ที่เอาเรื่องการเงินมาล่อให้ฉันกระโดดขึ้นเตียงกับผู้ชายน่าสนใจคนแรกที่ฉันพบ
เพื่อจะแต่งงานแล้วก็ 'ผลิต
ลูกที่ฉลาดเฉลียว
เพื่ออนาคตของประเทศสิงคโปร์"
แต่รัฐบาลซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย
(มีผู้หญิงเพียงแค่สี่คนในสภา
มาจากการแต่งตั้งสองคน
อีกสองคนได้รับเลือกตั้งเข้ามา)
ก็ไม่ได้หวั่นไหวไปกับการประท้วงเช่นนี้นัก
แถมยังเดินหน้าสรรหานโยบายต่าง
ๆ
มาให้ผู้หญิงสิงคโปร์รีบมีผัวและมีลูกอยู่ต่อไป |
|
|
ทุกวันนี้รายงานบางชิ้นระบุว่า
ผู้หญิงสิงคโปร์เลือกที่จะอยู่เป็นโสดมากขึ้น
ทั้งที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือต่ำกว่า
ข้อเท็จจริงอันนี้ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์
เกิดอาการหวาดผวากับความเปลี่ยนแปลงของผู้หญิง
เสียจนแทบจะเป็นโรคจิต
จนต้องขวนขวายจัดกิจกรรมประเภทเลือกคู่ขึ้นมาอย่างคึกคัก
โดยตั้งหน่วยงานขึ้นมาเรียกชื่อโก้
ๆ ว่า Social Development Unit
หน่วยงานนี้มีหน้าที่อย่างเดียวคือ
พยายามจับคู่ให้หญิงและชายสิงคโปร์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน
พูดด้วยศัพท์นักวิชาการปากตลาด
ก็คงกล่าวได้ว่า
รัฐบาลกำลังเล่นเกมหาผัวหาเมียให้คนในชาติ
พูดด้วยศัพท์หนังสือพิมพ์
ไทยรัฐ คงกล่าวได้ว่า
รัฐบาลสิงคโปร์กำลังทำตัวเป็นลุงหนวด
วิธีการหาคู่ให้คนในชาติ
ก็คือรับสมัครสมาชิก
และพยายามจัดกิจกรรมตลอดทั้งปี
เพื่อชักจูงหญิงโสดและชายโสดให้มาพบกัน
แต่องค์กรจับคู่นี้จะแยกเป็นสองหน่วย
หน่วยหนึ่งสำหรับจับคู่หญิงชายที่มีการศึกษา
อีกหน่วยหนึ่งจับคู่หญิงชายที่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับอนุปริญญา
ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าหญิงฉลาดกับชายฉลาดจะได้มาเข้าคู่กันเพื่อผลิตลูกที่ฉลาดต่อไป
กิจกรรมขององค์กรก็คือ
จัดทำโบรชัวร์เพื่อบรรจุรูป
เรื่องราวของหญิง
และชายที่เป็นสมาชิก
เรียกว่าเป็น choice match
แล้วส่งไปให้สมาชิกที่กำลังมองหาคู่เลือก
เมื่อเลือกเสร็จสรรพถูกใจแล้วก็จดหมายกลับมาที่หน่วยงานนี้
เพื่อระบุรายชื่อบัญชีหางว่าวที่เขาหรือเธอต้องการจะ
"นัดบอด"
เสร็จแล้วองค์กรก็จะจัดการนัดหมายให้มาพบกันในสถานที่
และบรรยากาศที่อบอุ่นหวานชื่นเป็นพิเศษ
องค์กรจับคู่นี้เขาโฆษณาว่า
ทุกวันนี้มีสมาชิกมากกว่า ๔,๐๐๐
คน ที่มาร่วมเพื่อเสนอตัวเป็น choice
match และทุกอาทิตย์สมาชิกมากกว่า
๑๖๐
คนก็จะได้พบกับคู่นัดบอดของตน
โดยเสียเงินเพียง ๑๕
เหรียญสำหรับการเข้าร่วมเป็นผู้เสนอตัว
และการนัดหมายแต่ละครั้งเสียค่าบริการเพียง
๑๐ เหรียญเท่านั้น
เมื่อดูจากจุดประสงค์ขององค์กรนี้ที่ระบุไว้อย่างเป็นทางการแล้ว
ก็จะเห็นได้ว่า
มันถูกสร้างขึ้นมาสำหรับผู้หญิงจริง
ๆ
วัตถุประสงค์ขององค์กรตามที่ระบุไว้ก็คือ
เพื่อสร้างโอกาสให้หญิงโสด
ที่จบการศึกษาได้พบกับคู่
และเพื่อพยายามอย่างสุดความสามารถ
ที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้คนมีการศึกษา
ก้าวเข้าสู่การแต่งงานและมีลูกมากขึ้น
|
|
|
ผู้เขียนมีเพื่อนชาวสิงคโปร์คนหนึ่ง
ที่อยู่เป็นโสดจนอายุก้าวขึ้นเลข
๔ แล้ว
เธอไม่ได้เป็นสมาชิกองค์กรจับคู่ของรัฐบาล
แต่เคยไปร่วมงานที่รัฐจัดขึ้นเพื่อจับคู่ครั้งหนึ่ง
ที่นั่นเธอได้พบชายคนหนึ่ง
ซึ่งกล่าวกับเธอในเวลาต่อมา
ในทำนองคล้ายจะขอแต่งงานว่า
ข้อหนึ่ง
เขาอยากได้ผู้หญิงที่จะต้องซื่อสัตย์ต่อเขาแต่เพียงผู้เดียว
ข้อสอง
หญิงนั้นจะต้องทำหน้าที่ภรรยาที่ดี
คือดูแลเรื่องในบ้านและดูแลเขาอย่างมิให้ขาดตกบกพร่อง
ข้อสาม
หญิงนั้นจะต้องทำงานไปด้วย
เพื่อจะได้พึ่งพาตัวของเธอเองทางเศรษฐกิจ
ซึ่งเขาจะไม่เป็นผู้หาเลี้ยงเธออย่างเด็ดขาด
แทนที่จะลุกขึ้นตบหน้าผู้ชายคนนี้ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า
จะขอไปเป็นคนใช้หรือเป็นเมียกันแน่
เธอกลับนำข้อเสนอนี้มาคิดใคร่ครวญจนแทบจะตอบตกลงไปหลายครั้ง
เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า
การอยู่เป็นโสดในสิงคโปร์นั้นเป็นเรื่องยาก
เป็นความเหงา
เป็นสังคมที่ไร้เพื่อน
เพราะเพื่อนฝูงต่างก็มีครอบครัวไปหมด
ค่าของผู้หญิงคือการก้าวเข้าสู่การแต่งงาน
และการมีลูกตามนโยบายที่รัฐวางไว้นั้น
จึงส่งผลกระทบกับความเป็นผู้หญิงสิงคโปร์ในทุก
ๆ ด้าน
กล่าวได้ว่าในประเทศสิงคโปร์
การมีสามี
คือการทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งชอบธรรม
ที่จะได้มาซึ่งวัตถุต่าง ๆ
ที่เธอต้องการ ทั้งบ้าน
เครื่องเรือนเฟอร์นิเจอร์
วิถีแบบชนชั้นกลาง
และทางเลือกอื่น ๆ ในชีวิต
ในเมื่อความเป็นหญิงของสิงคโปร์ขึ้น
อยู่กับการแต่งงานเช่นนี้
จึงไม่น่าแปลกใจที่โฆษณาจำนวนมาก
พยายามชักจูงโน้มน้าวใจพวกเธอ
ให้มาซื้อบริการสถานบริหารร่างกายเสริมเรือนร่าง,
ซื้อบริการทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้น
ด้วยสารที่ตรงไปตรงมาเหลือเกิน
ประเภทที่ว่า
"ดูสิฉันจับผู้ชายได้หนึ่งคน
เพราะความสวยงามของเรือนร่างเช่นนี้เอง"
เพราะสิ่งเหล่านี้นี่เองจะเป็นหนทางที่จะทำให้พวกเธอหาสามีได้ง่ายขึ้น
หนังสือพิมพ์สิงคโปร์เองก็ภูมิใจที่จะเสนอข่าวที่ว่า
ผู้หญิงสิงคโปร์ทุกวันนี้
"ใหญ่ขึ้น"...women Singapore today are bigger, going by their
bras. มีบทสัมภาษณ์อย่างชัดเจน
ของดีไซเนอร์ชื่อดังที่ระบุว่า
ผู้หญิงสิงคโปร์ทุกวันนี้ผอมลง
แต่หน้าอกใหญ่ขึ้น |
|
|
"ผู้หญิงสิงคโปร์ทุกวันนี้มีเรือนร่างที่ดูทันสมัย
ผู้หญิงโสดก็จะดูแลและปรุงแต่งเรือนร่างของเธอ
ด้วยความรู้สึกโรแมนติก
ความสวยงาม
และการทำศัลยกรรมเรือนร่างนั้น
เรียกได้ว่าเป็นวิถีทางอัน
'ทันสมัย' ที่จะหาสามี"
นิตยสารสำหรับผู้หญิงก็ตอบสนองแนวคิดเหล่านี้
ด้วยการลงบทสัมภาษณ์ความคิดเห็นของผู้ชายในหัวข้อที่ว่า
"เรือนร่างของเรา
จุดไหนที่ผู้ชายชอบที่สุด"
ซึ่งคำตอบร้อยละ ๘๐ คือหน้าอก
(ที่ใหญ่)
บทสัมภาษณ์ทำนองนี้
จะว่าไปแล้วอย่างน้อยก็มีส่วนช่วยให้ผู้หญิงเรียนรู้
เพื่อที่จะพยายามทำตัวให้เป็นแบบนั้น
ๆ ความต้องการที่จะมีครอบครัว
มีวัตถุ มีชีวิตที่ดีขึ้น
ทำให้ผู้หญิงต้องสวย
มีเรือนร่างดึงดูด
เพื่อที่จะก้าวเข้าสู่สถานะของการมีครอบครัว
เฟมินิสต์คนหนึ่งของสิงคโปร์ถึงกับกล่าวว่า
ผู้หญิงสิงคโปร์ทุกวันนี้
จะว่าไปแล้วก็ถูกคลุมหน้าเหมือนกับผู้หญิงอาหรับ
ต่างกันที่ผ้าคลุมหน้าของผู้หญิงสิงคโปร์ก็คือ
"ครอบครัว"
หากคัมภีร์อัลกรุอานคือบทบัญญัติที่ผู้หญิงอาหรับต้องยึดถือแล้วไซร้
การมีครอบครัว มีสามี มีลูก
ก็คือคัมภีร์ที่ผู้หญิงสิงคโปร์ถูกทำให้ยึดถือเช่นเดียวกัน
แต่ก็ใช่ว่าผู้หญิงสิงคโปร์จะยอมอยู่ใต้การกดกันของรัฐบาลเสียทั้งหมด
ผู้หญิงสิงคโปร์จำนวนมากเลือกที่จะอยู่เป็นโสด
แม้สิทธิที่เธอจะได้รับจะน้อยลงก็ตาม
และผู้หญิงจำนวนมากก็บริหารธุรกิจของเธอไปได้อย่างรุ่งเรืองก้าวหน้า
โดยไม่แยแสความคิดของรัฐที่อยากให้พวกเธอแต่งงานมีลูก
ถามว่าระหว่างผู้หญิงสิงคโปร์กับผู้หญิงไทย
สถานภาพของใครดีเลวกว่ากัน
ก็คงตอบไม่ได้
เพราะต่างบริบททางสังคม
ต่างพัฒนาการความเป็นมา
แต่ที่แน่ ๆ
เป็นสาวโสดขึ้นคานในสังคมไทยนั้นดีกว่าเยอะ
เพราะได้ข่าวว่า
รัฐบาลสิงคโปร์กำลังคิดหาทางให้คนแต่งงานขึ้นมาอีกแล้ว
โดยวิธีรีดภาษีสาวทึนทึก
ใครที่โสดแต่รวย
งานนี้คงแย่แน่ |
|
|
|