นายรอบรู้ชวนเที่ยว : ดูสนุก ดูที่ไหน อ่อนช้อยและพริ้วไหวในงานปูนปั้น
ใครๆ ก็รับรู้ว่าเรื่องอิฐ หิน ปูน นั้นเป็นเรื่องแข็งๆ จะอ่อนช้อย และพริ้วไหวได้อย่างไร จะ มีก็เพียงช่างฝีมือผู้สร้างงานแกะสลัก หรือช่างปั้นเท่านั้นกระมังที่ทำให้งานหินๆ แข็งๆ เหล่านี้ กลาpมาเป็นรูปทรง ลวดลาย อันงดงาม คราวนี้ "นายรอบรู้" จึงอยากจะพาไปเที่ยวชมงานปูนปั้น งานที่ทำให้เรื่องแข็งๆ เป็นเรื่องนุ่มนวลชวนชม ศิลปะงานปูนปั้นของไทยนั้นมีมายาวนานกว่าพันปีแล้ว เป็นผลงานที่รับใช้พระพุทธศาสนา งานปูนปั้นต่างๆ จึงมักปรากฏอยู่ตามเจดีย์ หน้านับโบสถ์ ผนังวิหาร แล้วแต่ว่าช่างฝีมือจะสร้างสรรค์ขึ้นมา อาจแบ่งง่ายได้สองกลุ่มคือ งานปูนปั้นแบบล้านนา และงานปูนปั้นแบบภาคกลาง ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีวิวัฒนาการเป็นของตนเอง ในการสร้างงานปูนปั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือสูตรการทำปูนแบบโบราณ เพราะปูนโบราณมีรูพรุน ไม่อมความชื้น และไม่มีความเค็มที่จะทำให้ปูนสึกกร่อนง่าย แต่ปูนแบบโบราณนั้นมีข้อเสียอยู่ที่แห้งช้า และต้องใช้เวลาในการเตรียมนาน ปูนปั้นล้านนามีสองสูตร คือ สูตรโบราณ ใช้ปูนขาวมาผสมกับทรายละเอียด นำไปหมักทิ้งไว้เกือบปี แล้วจึงนำปูนหมักนั้นมาตากแดด ตำเป็นผงแล้วนำมาผสมน้ำอ้อยเคี่ยว กาวหนังควาย เปลือกไม้ต่างๆ ฟางข้าว รวมถึงกล้วยน้ำว้าสุก นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ครกตำจนละเอียด แล้วจึงนำมาปั้นเป็นรูปต่างๆ ได้ อีกสูตรหนึ่งเป็นสูตรจีน ใช้ปูนขาวผสมกับอิฐเก่าที่ทุบและตำจนละเอียดแล้ว ผสมทรายละเอียด แล้วจึงใช้น้ำมันงาหรือน้ำมันละหุ่งมาคลุกเคล้า ตำจนละเอียดเหนียว เมื่อปั้นแล้วจะผนึกกับผนังโดยใช้ยางรักเป็นตัวประสาน งานปูนปั้นล้านนามีลักษณะเด่นด้วยการสร้างลวดลายลงบนพื้นผนังเรียบ เช่น ฐานเจดีย์ บ้างก็ประดับบนซุ้มจระนำของเจดีย์ ลวดลายจะนูนเด่นออกมาจากพื้น รวมถึงใช้องค์ประกอบแบบเรียบง่าย จึงลงตัวในความคิดและฝีมือช่าง สิ่งที่น่าชมก็คือ การปั้นรูปเทวดาขนาดใหญ่เกือบเท่าคนจริง อย่างที่ปรากฏในวัดเจ็ดยอด จ. เชียงใหม่ นอกจากนี้ยังมีลวดลายประดับอีกหลายแบบ โดยเฉพาะลวดลายดอกไม้ที่ได้รับอิทธิพลจากเครื่องถ้วยของจีนในราชวงศ์หยวนและราชวงศ์หมิง โดยมักปั้นเป็นลายขนาดใหญ่ และช่างเมืองเหนือได้ดัดแปลงเป็นลายประดับขนาดเล็กอยู่ในกรอบ หรือลอยตัว หรือเป็นลายรูปวงเหรียญเรียงต่อกันไปด้วย จุดที่ควรชมในงานปูนปั้นของล้านนานั้น ควรชมลายกาบ คือลายประดับรูปสามเหลี่ยมมุมฉากพับครึ่งอยู่ตามมุมโบสถ์ หรือเสารับซุ้มจระนำ ลายกาบมีสามระดับ คือ ลายกาบบน กาบล่าง ตรงกลางเรียกว่าประจำยามอก ลายกาบมักทำเป็นรูปพรรณพฤกษาเช่นกัน จะมีบางแห่งทำลายกาบล่างพิเศษ เช่นที่เจดีย์วัดป่าสัก อ. เชียงแสน จ. เชียงราย ทำลายกาบล่างเป็นรูปเกียรติมุขหรือหน้ากาล บ้างเป็นรูปมกรคายสิงห์ และมกรคายช้าง ซึ่งรูปแบบนี้ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะพุกาม ส่วนงานปูนปั้นภาคกลางที่มีชื่อเสียงโดดเด่น และเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปก็คืองานปูนปั้นเมืองเพชร จ. เพชรบุรี แต่ก็ยังมีงานปูนปั้นปรากฏอยู่ตามวัดในจังหวัดอื่นๆ ในภาคกลางจำนวนมาก ซึ่งสันนิษฐานจากลวดลายได้ว่าเป็นผลงานของช่างสมัยอยุธยา ผลงานของช่างสมัยอยุธยานั้นมีความงดงามอ่อนหวานและพริ้วไหวมากที่สุดในงานปูนปั้นทั่วไป สังเกตจากลายกระหนกแบบต่างๆ โดยเฉพาะลายช่อหางโต ลายกระหนกเปลว รวมถึงลายพรรณพฤกษา ผลงานปูนปั้นภาคกลางนั้น มักปรากฏอยู่บริเวณหน้าบันโบสถ์ ผนังวิหาร และบริเวณองค์เจดีย์เช่นเดียวกับทางเหนือ แต่ลวดลายจะละเอียด แน่นเต็มทั้งแผ่นผนังหรือหน้าบัน ภาพปูนปั้นสมัยอยุธยาจะมีลักษณะสมมาตร คือมีรูปนารายณ์ทรงสุบรรณ หรือรูปอื่นอยู่ตรงกลาง ซ้ายและขวามีลวดลายปูนปั้นที่เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นลายปูนปั้นแบบเมืองเพชร จะมีลักษณะพิเศษคือเป็นลายที่ไม่สมมาตร มักปั้นเป็นรูปภาพจับ ที่มีลักษณะคล้ายกับตัวโขนกำลังสู้รบกัน และช่างเมืองเพชรนิยมปั้นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ ด้วย งานปั้นปูนเมืองเพชรมีชื่อเสียงมากในเรื่องการสอดแทรกวิถีชีวิตประจำวัน หรือการเมืองเข้าไปในชิ้นงาน ทำให้คนรู้จักกันทั่วไป อย่างไรก็ตามงานปูนปั้นเมืองเพชรก็มีทั้งผลงานสมัยอยุธยาและผลงานร่วมสมัยในปัจจุบัน สำหรับส่วนผสมของปูนเมืองเพชรนั้น จะใช้ปูนขาวแช่น้ำสามสี่วัน ผสมกับกระดาษฟางแช่น้ำยีให้ละเอียด กาวหนัง น้ำตาลทรายแดง นำไปตำในครกจนเหนียว แล้วจึงนำไปปั้นเป็นรูปร่างลวดลายต่างๆ ตามที่ได้เขียนแบบไว้ก่อน