สารคดี :
ตอนที่พระองค์ประทับที่ประเทศอังกฤษ
ทรงเคยมีพระราชดำริว่า
อยากจะกลับมาประทับเมืองไทยอีกหรือไม่
ท่านผู้หญิงพูนศุข :
ได้ยินว่าท่านมีพระราชหัตถเลขาถึงหลวงพิบูลฯ
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะเกิด
ว่าอยากจะนิวัตกลับสู่เมืองไทย
จะมาประทับแถวจังหวัดตรัง
แต่เกิดสงครามโลกเสียก่อนและไม่นานก็สวรรคต
สารคดี :
ตอนเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒
อาจารย์ปรีดีและท่านผู้หญิงพำนักอยู่ที่ไหนครับ
ท่านผู้หญิงพูนศุข :
ตอนแรกอยู่ที่ทำเนียบท่าช้าง
ซึ่งรัฐบาลให้เป็นบ้านพักรับรองของนายปรีดี
ผู้สำเร็จราชการฯ ตอนนั้น
แต่เราไม่ได้ขุดหลุมหลบภัย
ท่าช้างนี่ชั้นล่างอยู่ติดพื้นดิน
แล้วก็ชั้นสอง ชั้นสาม
ก็เอากระสอบทรายมากองสูงท่วมหัวที่ชั้นล่าง
ทำเนียบท่าช้างอยู่ใกล้ ๆ
จุดยุทธศาสตร์
เยื้องสถานีรถไฟบางกอกน้อย
เครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตรบินมาทิ้งระเบิดบ่อยมาก
เวลานั้นลูก ๆ ก็ยังเล็ก
เวลาเครื่องบินมาก็อุ้มลูกจากที่นอนมาหลบที่หลังเนินกระสอบ
ก็เลยอพยพไปอยู่อยุธยาสักพักหนึ่ง
พอการทิ้งระเบิดค่อยเพลาลงไป
ก็กลับมาอยู่กรุงเทพฯ
จ้างครูมาสอนลูกเรียนหนังสือ
ปรากฏว่าพอถึงปี ๒๔๘๘ ปลายสงคราม
เครื่องบินมาทิ้งระเบิดหนักขึ้นอีก
ทั้งตอนกลางคืนและกลางวัน
ตึกรามบ้านช่องพังจำนวนมาก
ต้องวิ่งหนีกัน
เด็กเล็กลูกคนอื่นมาเรียนกับลูกเราด้วยก็ไม่ปลอดภัย
นายปรีดีก็ทูลเชิญสมเด็จพระพันวัสสาฯ
ไปประทับที่พระราชวังบางปะอินเพื่อความปลอดภัย
และเราก็อพยพตามไปถวายการรับใช้ด้วย
นายปรีดีได้ติดต่อกับสัมพันธมิตร
บอกให้ทราบว่าบางปะอินเป็นที่ประทับของเจ้านาย
อย่ามาทิ้งระเบิด
ไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์
แต่บริเวณทำเนียบท่าช้างยังทิ้งระเบิดกัน
นายปรีดียังอยู่ประจำที่นั่น
ทิ้งระเบิดริมน้ำ เขื่อนพังทลาย
แต่ตัวอาคารใหญ่ไม่เป็นอะไร
พอหวอมา
ชาวบ้านแถวนั้นเข้ามาหลบในบ้านเต็มไปหมด
เพราะว่ามีค่ายเชลยอยู่ที่ธรรมศาสตร์
คิดว่าเครื่องบินคงไม่มาทิ้งระเบิดเชลยศึกซึ่งเป็นพวกเดียวกัน
สารคดี :
ตอนที่เป็นเสรีไทยท่านผู้หญิงทำหน้าที่อะไรครับ
ท่านผู้หญิงพูนศุข :
ช่วงนั้นหน้าสิ่วหน้าขวานมากที่สุดเชียว
ทำเนียบท่าช้างเป็นที่บัญชาการของเสรีไทยที่มีนายปรีดีเป็นหัวหน้า
พออยู่มาวันหนึ่ง นายพลโตโจ
นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นก็มาเซ็นชื่อเยี่ยมที่ทำเนียบของนายปรีดี
ผู้สำเร็จราชการฯ
แล้วก็เดินเข้ามาที่ศาลาริมน้ำ
ซึ่งเป็นส่วนที่พวกเสรีไทยใช้เป็นที่ทำงาน
โตโจคงอยากเห็นส่วนที่เราอยู่หมด
น่ากลัวเหมือนกัน
แต่โชคดีที่พวกญี่ปุ่นคงไม่ระแคะระคาย
ส่วนฉันตอนนั้นก็ช่วยทำทุกอย่าง
ช่วยนายปรีดีฟังข่าวติดตามสถานการณ์ต่างประเทศจากวิทยุ
อันที่จริงตอนนั้นทางการห้ามฟังวิทยุสัมพันธมิตร
ต้องมีใบอนุญาตถึงฟังได้
สารคดี :
ท่านผู้หญิงต้องช่วยถอดรหัสหรือเขียนโค้ดด้วยใช่ไหมครับ
ท่านผู้หญิงพูนศุข :
ไม่ได้ถอดรหัส
แต่ใช้วิธีเขียนเป็นตัวหนังสือ
คือฉันเขียนตัวบรรจง
จึงช่วยเขียนรหัสด้วยลายมือ
เป็นภาษาอังกฤษแบบตัวพิมพ์ใหญ่ก่อน
ที่จะนำไปเข้าเป็นโค้ดลับเพื่อเป็นการพรางหลักฐาน
เพราะหากถูกจับได้ก็ไม่รู้ว่าเป็นลายมือใคร
และตอนนั้นใช้พิมพ์ดีดไม่ได้
หากพวกญี่ปุ่นเขาจับได้
สมัยนั้นมันตรวจกันรู้นี่ว่าเป็นพิมพ์ดีดจากไหน
บางครั้งก็เขียนคำสั่งของนายปรีดีที่จะส่งไปต่างประเทศ
ส่วนฝ่ายถอดรหัสนั่นมีพวกเสรีไทยสายอังกฤษหรือสายอเมริกาเป็นคนจัดการ
สารคดี :
นิสัยส่วนตัวของอาจารย์ปรีดีเป็นอย่างไรครับ
ท่านผู้หญิงพูนศุข :
รู้สึกใจร้อนนิดนึง
แต่ไม่ถึงกับหุนหันพลันแล่นหรอก
แต่ว่าทำอะไรก็อยากจะเห็นผลเร็ว
เป็นอย่างนี้ แล้วก็เชื่อคนง่าย
บางทีเราต้องช่วยดูให้
นายปรีดีดูคนไม่ค่อยเป็น
นึกว่าเหมือนตัวเองหมด
สารคดี : หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
อาจารย์ปรีดีเป็นคนไม่ยอมส่งจอมพล
ป.
กับพวกไปให้ศาลอาชญากรสงครามที่โตเกียวตัดสินใช่ไหมครับ
ท่านผู้หญิงพูนศุข :
ได้ตั้งศาลอาชญากรสงครามขึ้นในประเทศไทย
พิจารณาตัดสินคนไทยด้วยกันเอง
ถ้าส่งไปเมืองนอกก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ตอนนั้นโดนจับหลายคน
หลวงวิจิตรฯ เอย ใครต่อใครเอย
เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น
ฆ่ากันไม่ลงหรอก
สารคดี :
ขอความกรุณาท่านผู้หญิงช่วยเล่าเรื่องเหตุการณ์วันที่เกิดรัฐประหาร
๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐
ท่านผู้หญิงพูนศุข :
วันนั้นฉันไม่สบายไปถอนฟัน
ก็ไม่ได้รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
วันนั้นหลวงอดุลฯ (พล.ต.อ. อดุล
อดุลเดชจรัส ผู้บัญชาการทหารบก)
หลวงธำรงฯ (หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
นายกรัฐมนตรี)
มารับประทานอาหารเย็น
ฉันก็เข้านอนก่อนเพราะเป็นไข้
ต่อมาประมาณสองยามฉันก็สังเกตมีแสงไฟสาดเข้ามาในห้องนอน
ทีหลังถึงรู้ว่าเป็นไฟจากรถถังที่จอดอยู่หน้าธรรมศาสตร์
แสงไฟจ้าเชียว แปลกใจ
ก็ลุกขึ้นมา
ลมพัดหนังสือพิมพ์กระจาย
ไม่ใช่พัดลมน่ะ เป็นลมจากแม่น้ำ
แล้วฉันก็ลงไปชั้นล่าง
พบเด็กที่อยู่กับเรา
ยืนอยู่กับตำรวจที่เป็นยามประจำบ้าน
ตอนนั้นยังไม่ได้ยิง
ฉันก็ถามว่าท่านอยู่ไหน
เด็กบอกว่าท่านไปแล้ว
สักครู่หนึ่งทหารก็ยิงเข้ามา
เราก็เลยวิ่งมารวมอยู่ห้องนอนลูกริมแม่น้ำ
สารคดี :
ทหารยิงเข้ามาในบ้านเลยหรือครับ
ท่านผู้หญิงพูนศุข :
ยิงเข้ามาในบ้าน
เจาะเข้ามาในห้องพระ
รูขนาดนกกระจอกทำรังได้
แต่ไม่ทะลุ
เราก็รวบรวมลูกมาอยู่ที่ห้องเดียวกัน
แล้วก็บอกให้ลูกนอนหมอบราบไปบนเตียงนะ
ฉันก็ตะโกนออกไปว่า อย่ายิง
อย่ายิง มีแต่เด็กกับผู้หญิง
เขายิงรัว แหม
รู้สึกว่าหลายสิบนัดนะ
เสียงมันอาจจะสะท้อนด้วย
ฉันยังมีใจเป็นธรรมนะ
คิดว่าไม่ได้ยิงกราด
ผลสุดท้ายเขาก็พังประตูเข้ามา
ฉันก็ลงไปพบ
มีคณะนายทหารที่เราไม่รู้จัก
เขาบอกว่าจะมาเปลี่ยนรัฐบาล
ฉันก็ว่าทำไมมาเปลี่ยนที่นี่
ทำไมไม่ไปเปลี่ยนที่สภาล่ะ
คณะทหารค้นทั่วบ้าน
ไม่มีตัวนายปรีดีแล้วนะ
ท่านลงเรือรับจ้างที่อยู่ข้าง ๆ
ท่าช้างวังหน้าหลบหนีไปแล้ว |