Click here to visit the Website
กลับไปหน้า สารบัญ ยูคาฯ ๗.๕ แสนไร่ : การรุกคืบครั้งใหญ่ของพืชเจ้าปัญหา
อุทัยวรรณ บุญลอย, กุลธิดา สามะพุทธิ : รายงาน
ฝ่ายภาพ สารคดี : ภาพ
  ตัวแทนชาวบ้านภาคอีสานผู้ได้รับบทเรียน และผลกระทบจากการปลูกยูคาลิปตัส ที่เข้าร่วมวงเสวนาเรื่อง "ยูคาฯ ๗.๕ แสนไร่ ผลประโยชน์ตกอยู่ที่ใคร?" เรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่า "พืชผีปอบ" ผีปอบในความหมายที่รับรู้กันก็คือ ผีดีที่ไม่ได้รับการเซ่นถวายของกินของใช้ จึงกลายเป็นผีร้ายเข้าสิงในร่างกายคน สูบและดูดกินอาหารจากร่างนั้นจนไม่เหลือชีวิต
(คลิกดูภาพใหญ่)     การเสวนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่ง ของการลงพื้นที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับผลดีผลเสีย จากการปลูกยูคาลิปตัส ของชมรมผู้สื่อข่าวสิ่งแวดล้อม ระหว่างวันที่ ๕-๖ เมษายน ๒๕๔๓ ที่อำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีมติคณะรัฐมนตรี ที่ออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ เป็นเหตุจูงใจที่ทำให้หันมาสนใจ เรื่องของยูคาลิปตัสอีกครั้งหนึ่ง
    มติ ครม. ฉบับนั้นระบุว่า "คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการดำเนินงาน ในเรื่องการจัดหาที่ดิน เพื่อปลูกต้นยูคาลิปตัส ในการผลิตเยื่อกระดาษ ส่งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงเกษตร และสหกรณ์เสนอ โดยกลุ่มบริษัทเกษตรรุ่งเรืองพืชผล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ลงทุนฝ่ายไทย มีความประสงค์จะขออนุญาต ใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเสื่อมโทรม เนื้อที่ประมาณ ๒-๒.๕ แสนไร่ เพื่อรองรับโครงการปลูกป่า และตั้งโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ นอกจากนี้บริษัทยังต้องการพื้นที่ของ ส.ป.ก. เนื้อที่ประมาณ ๕ แสนไร่อีกด้วย"
    พื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม ๒.๕ แสนไร่และที่ดิน ส.ป.ก. อีก ๕ แสนไร่นี้อยู่ในภาคตะวันออกทั้งหมด เนื่องจากบริษัทฯ ต้องการลดค่าใช้จ่าย ด้านการขนส่งวัตถุดิบ ป้อนโรงงานเยื่อกระดาษ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา
    นับว่าเป็นความคืบหน้าครั้งใหญ่ภายหลังจากที่นายจู หรง จี  นายกรัฐมนตรีของจีน เอ่ยถึงเรื่องการขอเช่าพื้นที่หลายแสนไร่ เพื่อปลูกยูคาลิปตัส และรายได้ที่ไทย จะได้รับจากการขายเยื่อกระดาษให้จีน เมื่อคราวมาเยือนเมืองไทยเมื่อปลายปี ๒๕๔๒ ด้วยเหตุผลที่ว่า จีนต้องการใช้กระดาษเป็นจำนวนมาก แต่สภาพอากาศและดินที่นั่นเย็นเกินไป ไม่เหมาะที่จะปลูกไม้โตเร็ว นอกจากนี้ จีนยังเห็นว่าประเทศไทยมีความรู้ และความก้าวหน้า ด้านการปลูกยูคาลิปตัสมากที่สุด ในภูมิภาคอีกด้วย
      รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการปลูกสวนป่าตั้งแต่ปี ๒๕๒๐ เป็นต้นมา เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า และสร้างป่าเศรษฐกิจ ที่สามารถตัดฟันไม้ออกมาใช้ประโยชน์ได้ การปลูกสวนป่า โดยเฉพาะไม้ยูคาลิปตัสในไทย ยังเกิดขึ้นด้วยแรงผลักดันอย่างเดียวกันกับ ประเทศโลกที่สามอื่น ๆ คือ ความต้องการวัตถุดิบในปริมาณมาก และราคาถูก ของประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเงินทุน และเทคโนโลยี ผ่านทางรัฐบาล และนายทุนที่ให้การตอบสนอง อย่างกระตือรือร้นเสมอมา
    การส่งเสริมให้ปลูกยูคาลิปตัส โดยหวังผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว รวมทั้งวิธีคิดที่คลุมเครือ เกี่ยวกับการอนุรักษ์ หรือการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของชาวบ้านอย่างมาก โดยเฉพาะการสูญเสียที่ดินทำกิน และการเปลี่ยนแปลงวิถีการผลิต มาเป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทั้งยังก่อให้เกิดความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรระหว่างรัฐ นายทุน และเกษตรกรรายย่อยมาโดยตลอด
    ปลอดประสพ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดหาที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม ๒.๕ แสนไร่ให้กับโครงการปลูกยูคาลิปตัสเพื่อส่งขายประเทศจีนบอกว่า โครงการนี้มีข้อดีหลายอย่าง คือ ช่วยลดการนำเข้าเยื่อกระดาษ มีรายได้จากการส่งออก เกษตรกรมีงานทำ (เป็นลูกจ้างทำงานในสวนป่าของบริษัท) ที่สำคัญก็คือ มันจะเป็นเครื่องมือ ที่ทำให้รัฐได้ที่ดินกลับคืน มาจากประชาชนที่ครอบครองอยู่อย่างผิดกฎหมาย
      "พื้นที่ที่กรมป่าไม้ จะให้บริษัทร่วมทุนเช่าปลูกยูคาลิปตัส ปัจจุบันนี้ไม่ใช่ป่าอีกต่อไปแล้ว มันถูกบุกรุก ถากถางกลายเป็นไร่เป็นนา มีชาวบ้านเข้าไปถือครอง โดยใช้สิทธิของความยากจน เราจะเข้าไปจับกุมก็ไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นปัญหาสังคมใหญ่โต แต่ถ้าโครงการนี้เกิดขึ้น รัฐก็จะได้ที่ดิน ๒-๓ แสนไร่นี้กลับคืนมา แถมยังได้ค่าเช่าจากเอกชนอีกด้วย ส่วนประชาชนที่ยึดครองอยู่อย่างผิดกฎหมาย ก็เท่ากับว่าได้รับการนิรโทษกรรมโดยทันที" อธิบดีกรมป่าไม้กล่าว "ขณะนี้กรมป่าไม้พร้อมแล้วที่จะดำเนินโครงการ มีการตั้งคณะกรรมการ ไปสำรวจพื้นที่ปลูกยูคาลิปตัส ๒.๕ แสนไรร่วมกับบริษัท โดยบริษัทต้องเจรจา และจ่ายค่าชดเชยให้ผู้ที่ถือครองอยู่เอง"
    แต่ปัญหาก็คือ ความพร้อมของกรมป่าไม้ที่อธิบดีพูดถึงนั้นเกิดขึ้นท่ามกลางคำถาม และข้อถกเถียงที่ยังไม่มีบทสรุปถึงผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม ความคุ้มทุน และผลประโยชน์ที่แท้จริง จากโครงการนี้
    ชาวอีสานที่เคยปลูกหรือได้รับผลกระทบ จากยูคาลิปตัสเรียกมันว่า "พืชผีปอบ" เกษตรกรในอำเภอท่าตะเกียบ จังหวัดฉะเชิงเทรา บางรายก็ไม่เห็นด้วยกับการปลูกยูคาลิปตัส เนื่องจากเป็นพืชที่มีความสามารถในการดูดน้ำ และธาตุอาหารมาก ทำให้พืชทางการเกษตรอื่น ๆ ที่ปลูกอยู่ข้างเคียงตายหมด เพราะแย่งน้ำ และอาหารไม่ทัน แหล่งน้ำที่อยู่ใกล้แปลงปลูกก็แห้งไป นอกจากนี้การปลูกยูคาลิปตัส ยังต้องลงทุนสูงเนื่องจากจะคุ้มทุนก็ต่อเมื่อ ปลูกในแปลงขนาดใหญ่เท่านั้น และกินเวลานาน กว่าจะมีรายได้จากการปลูก เพราะรอบตัดฟันของไม้ชนิดนี้ ต้องรอนานถึงสี่ห้าปี แต่เกษตรกรชาวท่าตะเกียบ อีกส่วนหนึ่งที่เป็นสมาชิก ของบริษัทสวนป่ากิตติ (บริษัทหนึ่งของกลุ่มเกษตรรุ่งเรืองพืชผล) ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษ คือ ซื้อกล้าไม้ได้ในราคาถูก และบริษัทรับประกันราคาให้ กลับมองว่ามันเป็นพืชที่ดีตรงที่ปลูกง่าย โตเร็ว ไม่ต้องดูแลรักษามาก ความไม่คุ้มทุนหรือผลกระทบจากยูคาลิปตัส ที่เกษตรกรคนอื่น ๆ เจอนั้นเป็นเพราะปลูกไม่ถูกวิธี จัดการสวนป่าไม่ดี
    "ยูคาฯ มันดีตรงที่ไม่กลัวแล้ง ไม่กลัวฝน คนที่มองว่ายูคาลิปตัสมีข้อเสีย คือคนที่ปลูกแล้วได้ผลผลิตไม่ดี ปลูกแล้วขาดทุน เพราะดูแลรักษาไม่ดีเอง ไม่ได้ผลประโยชน์ก็มาบอกว่าของไม่ดี มีข้อเสีย เหมือนเรามีลูก เราเลี้ยงลูกด้วยน้ำข้าว แทนที่จะเลี้ยงด้วยนม เด็กจะโตได้อย่างไร บ้านนี้เมืองนี้เขาก็ปลูกกันทั้งนั้น นั่งรถผ่านมาก็มีแต่ยูคาฯ" ทองพูน เสียงลำ เจ้าของสวนป่ายูคาลิปตัสจำนวน ๗๐ ไร่ในอำเภอท่าตะเกียบกล่าว
      ทองพูนเล่าว่า ล่าสุดบริษัทสวนป่ากิตติ ซึ่งปฏิเสธการขอเข้าชมโรงงานเยื่อกระดาษของผู้สื่อข่าว รวมทั้งไม่ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมให้ข้อมูลในวงเสวนาในครั้งนี้ ได้มาบอกให้เกษตรกรปลูกยูคาลิปตัส โดยใช้ "แนวทางใหม่" นั่นคือปลูกถี่ขึ้นอีกเท่าตัวเพื่อเป็นการเพิ่มผลผลิตโดยให้ปลูกในระยะ ๑.๕x๑.๕ เมตร แทนที่จะเป็น ๓x๓ เมตร เหมือนที่เคยแนะนำไว้ในตอนแรก ซึ่ง อาจารย์บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ นักวิชาการจากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่า การที่บริษัทส่งเสริมให้ปลูกถี่ขึ้น จะทำให้ที่ดินเสื่อมโทรมเร็วและไม้จะโตช้า การปลูกแน่นมากไม่ได้เป็นผลดีกับเกษตรกร แต่เป็นผลดีสำหรับคนขายกล้าซึ่งจะมีโอกาสขายกล้าได้มากขึ้น
    อาจารย์บุญวงศ์ยังให้ความเห็นต่อโครงการปลูกยูคาลิปตัส ๗.๕ แสนไร่นี้ด้วยว่า "ผมไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับการปลูกพืชอะไรก็ตามที่เป็นพืชเชิงเดี่ยวในพื้นที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ และจากการสำรวจของนิสิตคณะวนศาสตร์เมื่อปี ๒๕๔๑ พบว่าประเทศไทยมีพื้นที่สวนป่ายูคาลิปตัสอยู่ทั้งหมด ๒.๗ ล้านไร่ ในขณะที่ปัจจุบันนี้ เราต้องการไม้ยูคาลิปตัสเพียง ๑.๓ ล้านไร่เท่านั้น นั่นหมายความว่าเรามีสวนป่ายูคาลิปตัสมากเกินพอแล้ว    
    "ที่นี่ไม่ควรจะเป็นโซนของการปลูกยูคาลิปตัส น่าจะเป็นโซนของไม้ผลมากกว่า ยูคาลิปตัสน่าจะไปลงที่อื่นที่ไม่ใช่ท่าตะเกียบหรือฉะเชิงเทรา เพราะศักยภาพของที่ดินที่นี่อุดมสมบูรณ์มากและเหมาะสำหรับปลูกพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนในระยะสั้น"
    ความเป็นห่วงว่าภาคตะวันออก จะถูกปกคลุมไปด้วยสวนป่ายูคาลิปตัส ไม่ได้มาจากเกษตรกร และนักวิชาการเท่านั้น หากยังขยายวงไปถึงเจ้าหน้าที่ป่าไม้อีกด้วย เพราะว่าฉะเชิงเทรา เป็นที่ตั้งของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ซึ่งเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกันกับผืนป่าอนุรักษ์ที่สำคัญอีกสี่แห่ง คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว, อุทยานแห่งชาติเขาชะเมา-แม่วง, อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองเครือหวาย หรือที่เรียกกันว่า "ป่ารอยต่อห้าจังหวัด" นั่นเอง
    เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่นี่กลัวว่าเอกชน และเกษตรกรจะเอายูคาลิปตัส เป็นไม้เบิกนำการบุกรุกผืนป่าแห่งนี้ ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นพื้นที่เพียง ๑.๓ ล้านไร่หรือน้อยกว่า ๒ เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ป่าทั้งหมดในประเทศ แต่ก็มีสัตว์ป่าอยู่ถึง ๓๗ เปอร์เซ็นต์ และที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ ถ้ารัฐบาลให้เอกชน เช่าที่ดินที่ชาวบ้านถือครองอยู่นี้ไป มีความเป็นไปได้อย่างมาก ที่พวกเขาจะบุกรุกพื้นที่ป่าแห่งใหม่ต่อไป ดังเช่นที่ชาวบ้านคนหนึ่งตั้งคำถามว่า
    "ทุกวันนี้คนไทยยังไม่มีที่ทำกินเลย มีเหตุผลอะไรที่จะไปให้ประเทศจีน เช่าพื้นที่ไปได้ ถ้าโครงการนี้เกิดขึ้น ชาวบ้านจะเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ถ้าประเทศจีนมาเช่าที่ไปปลูกยูคาลิปตัส จะให้ชาวบ้านไปอยู่ที่ไหน จะให้ค่าชดเชยที่นี่แล้วให้ชาวบ้านไปบุกป่าที่อื่นต่อใช่ไหม"
    เมื่อปรากฏว่าโครงการนี้ มีขนาดใหญ่มาก และการปลูกสวนป่ายูคาลิปตัสในพื้นที่มากถึง ๗.๕ แสนไร่ก็อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของชาวบ้านมากกว่าที่คิด ข้อเสนอของ รัชดา ฉายสวัสดิ์ จากสมาคมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ที่ว่า ต้องผลักดันโครงการนี้ เข้าสู่การทำรายงาน ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และการทำประชาพิจารณ์ จึงเป็นสิ่งที่รัฐควรทำให้เกิดขึ้นจริง

 
 สนับสนุน หรือ คัดค้าน
การุณยฆาต : ฆ่าด้วยความกรุณา

นักศึกษากับ การประกวดนางงาม โอกาสที่ยั่งยืน หรือเย้ายวน
สารบัญ | จากบรรณาธิการ | ๑๐๐ ปีของสามัญชนนาม ปรีดี พนมยงค์ | ช่วงหนึ่งแห่งชีวิต ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ | ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ท่านปรีดีฯ และกรณีสวรรคต | บาร์ออกซิเจน | เพศที่ทำงานหนัก | "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว" : ปฏิบัติการลับของ สื่อมวลชน | ยูคาฯ ๗.๕ แสนไร่ : การรุกคืบครั้งใหญ่ ของพืชเจ้าปัญหา | เฮโลสาระพา

Pridi Banomyong, an Ordinary Man: A Hundred Years | Use Thai Cloth
สำนักพิมพ์ สารคดี | สำนักพิมพ์ เมืองโบราณ | วารสาร เมืองโบราณ | นิตยสาร สารคดี
[ วิริยะบุคส์ | มีอะไรใหม่ | เช่าสไลด์ | ๑๐๘ ซองคำถาม | สมาชิก/สั่งซื้อหนังสือ | WallPaper ]
ขึ้นข้างบน (Back to Top) นิตยสาร สารคดี (Latest issue) E-mail