|  | กับคำถามที่ว่า "ทำไมไอน์สไตน์จึงสมควรได้รับการยกย่อง
      ให้เป็นบุคคลแห่งศตวรรษที่
      20" สิ่งที่น่าจะนำไปสู่คำตอบเพื่อใช้อธิบายคำถามดังกล่าว
      ได้อย่างกระจ่างชัดที่สุดนั้นก็คือ
      การศึกษาและการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับผลงานอันล้ำค่าของอัจฉริยบุคคล
      ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่า
      "บิดาแห่งโลกฟิสิกส์สมัยใหม่"
      "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์"
      นั่นเอง
 "อัลเบิร์ต
      ไอน์สไตน์ "
      คือผู้เปิดโลกฟิสิกส์สมัยใหม่
      จากพื้นฐานความสนใจในธรรมชาติวิทยาเป็นชีวิตจิตใจ
      ทำให้สามารถค้นคว้าทฤษฎีสัมพัทธภาพ
      และทฤษฎีสนามรวม
      รวมทั้งค้นพบกฎของเอกภพซึ่งได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดทางฟิสิกส์ที่มีอยู่เดิม
      อันถือเป็นก้าวสำคัญยิ่งของการเปลี่ยนแปลงในวงการวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน
 | 
  
    |  | ผลงานการค้นคว้าอันโดดเด่นชิ้นแรกของไอน์สไตน์
      นั่นก็คือ
      ทฤษฎีพิเศษแห่งสัมพัทธภาพ
      ซึ่งมีใจความว่า "วัตถุยิ่งมีความเร็วเท่าใด
      ก็ยิ่งมีมวลมากขึ้น
      ขณะเดียวกันก็มีขนาดเล็กลงทุกที"
      นอกจากนี้ยังค้นพบอีกว่า
      "ไม่มีวัตถุใดมีความเร็วเท่ากับแสงหรือมากกว่าแสง
      เพราะเมื่อมีความเร็วสูงถึงขนาดนั้น
      ความยาวหรือขนาดของวัตถุนั้นก็หดลงจนหมด
      และความเร็วแสงนั้นยังวัดได้ด้วยความแม่นยำเท่ากับ
      300,000 กิโลเมตรต่อวินาที"
      อีกสิ่งหนึ่งที่กล่าวขวัญถึงกันมาก
      จากทฤษฎีพิเศษของไอน์สไตน์ก็คือ
      ความสมมูล (equivalent)
      ของมวลสารและพลังงาน
      นั่นคือมวลสารจะเพิ่มขึ้นเมื่อความเร็ววัตถุเพิ่มขึ้น
      และในขณะเดียวกันพลังงานของวัตถุนั้นก็เพิ่มขึ้นด้วย
      โดยมีสมการแสดงความสัมพันธ์ดังนี้ E = mc2
 E =
      พลังงานที่เพิ่มขึ้น
 m =
      มวลสารที่เพิ่มขึ้น
 c =
      ความเร็วของแสง
 | 
  
    |  | นั่นก็คือมวลสารมีความสัมพันธ์กับพลังงาน
      ซึ่งอาจเขียนเป็นอีกสมการหนึ่งได้ว่า E = mc2
 E =
      พลังงานที่สมมูลกับมวล
 m =
      มวลสารของวัตถุ
 c =
      ความเร็วของแสง
 จากการอ่านสูตรนี้
      เราอาจไม่เห็นความมากมายมหาศาลของพลังงาน
      แต่เมื่อคิดถึง
      ค่าความเร็วของแสงยกกำลังสอง
      จึงเห็นได้ว่ามีค่ามหาศาลจริงๆ
      สมมุติว่าวัตถุนั้นมีมวลสาร
      1 กิโลกรัม
      พลังงานที่ได้ก็จะสูงประมาณ
      900,000,000,000 จูล
      แต่ทั้งนี้เป็นการอธิบายการเกิดพลังงาน
      ในระดับอะตอมที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
      เนื่องจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ภายใน
      มิใช่การเปลี่ยนแปลง
      จากการใช้พลังงานเคมีตามปกติ
      ด้วยเหตุนี้เอง
      เราจึงเข้าใจได้ทันทีว่า
      เหตุใดการแตกตัวของอะตอมธาตุยูเรเนียมเพียง
      1 กรัม
      จึงสามารถให้พลังงานค่ามหาศาลได้
 | 
  
    |  |     
      ผลงานชิ้นที่สองก็คือ
      ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
      เมื่อ พ.ศ. 2459
      ไอน์สไตน์ได้ประกาศทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปขึ้น
      อันเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของผู้สังเกตที่มีความเร็วไม่คงที่
      เนื้อหาของทฤษฎีทั่วไปนั้น
      ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับแรงดึงดูดระหว่างมวล
      และมีการพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ด้วย
      ผลของการเคลื่อนที่ที่มีความเร่งนั้นจะเป็นอย่างไร
      ก็ขึ้นอยู่กับอัตราความเร่ง
      และความเร่งนี้ก็เหมือนกับแรงดึงดูด
      เช่น
      ถ้าไปยืนอยู่บนดาวที่มีมวลมาก
      น้ำหนักของเราก็จะสูง
      แต่ถ้าไปอยู่ที่ดาวพุธ
      ซึ่งมีมวลเพียง 1 ใน 25
      ของมวลบนโลก
      น้ำหนักของเราจะน้อยลงเหลือเพียง
      1 ใน 3
      ของนน้ำหนักที่ชั่งบนโลกเท่านั้น
      ไอน์สไตน์ได้พัฒนาทฤษฎีแห่งการดึงดูดของมวล
      และกระทำได้เสร็จสมบูรณ์ในทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปนี้
      ดังนั้นเราอาจเรียกทฤษฎีสัมพันธภาพทั่วไปว่า
      "ทฤษฎีแห่งการดึงดูดระหว่างมวลของไอน์สไตน์"
      ก็ได้จากการคำนวณของไอน์สไตน์
      พบว่าแรงดึงดูดระหว่างวัตถุขนาดใหญ่
      เช่นดาวเคราะห์กับดวงอาทิตย์
      จะได้ผลลัพท์คล้ายกับของนิวตันที่เคยเสนอไว้ว่า
      "วัตถุทั้งหลายในเอกภพ
      จะดึงดูดกันด้วยแรงดึงดูดระหว่างมวล"
      ไอน์สไตน์สามารถคำนวณได้ว่า
      การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์นั้นเป็นวงรี
      แต่เมื่อครบรอบแล้วก็ไม่เวียนกลับรอบเดิม
      หากแต่โคจรเป็นวงรีในลักษณะเกลียวเอียงไปเรื่อย
      แต่ระยะห่างระหว่างวงโคจรเดิมนั้น
      น้อยมาก
      กว่าจะย้อนกลับมาที่เดิมก็ใช้เวลาถึง
      34 ล้านปี คือ 34 ล้านรอบ  | 
  
    |  | ยังมีทฤษฎีอีกหลายอย่างที่ไอน์สไตน์ได้เสนอขึ้น
      นอกจากทฤษฎีสัมพันธภาพอันลือลั่นแล้ว
      ยังมีทฤษฎีสนามรวม ( Unified Field
      Theory)
      ที่ไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงมากนัก
      ไอน์สไตน์ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับสนามรวม
      แก่สาธารณชนขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ
      พ.ศ. 2493
      อันเป็นการขัดแย้งกับกฎกลศาสตร์ของนิวตัน
      โดยไอน์สไตน์ได้อ้างถึงความสัมพันธ์ระหว่างสนามพลังงานต่างๆ
      ว่าเป็นจริง
      ด้วยการพิสูจน์
      โดยเรขาคณิตแบบใหม่ที่มีมิติของเวลาเพิ่มเข้ามาด้วย
      เนื่องจากเรขาคณิตของสสารที่เคลื่อนไหวนี้มีความสัมพันธ์กับเวลา
      การใช้เรขาคณิตแบบเดิมที่สสารคงที่อันเป็นหลักกลศาสตร์แบบเก่าของนิวตันนั้น
      จึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
      ไอน์สไตน์เสนอแนวความคิดว่า
      ความโน้มถ่วงและรังสี (การแผ่รังสี)
      มีกฎร่วมกันอยู่ คือ
      กฎกำลังสองกลับ
      นั่นก็หมายความว่าความโน้มถ่วงกับการแผ่รังสีน่าจะเกิดจากสนามรวมอย่างเดียวกัน
      นั่นคือขณะที่มีคนสังเกตเห็นรังสีเคลื่อนที่
      รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าก็จะกลายเป็นความโน้มถ่วง
      และด้วยเหตุนี้
      การอธิบายกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์จึงง่ายเข้าด้วยการใช้กฎเพียงอย่างเดียว
      ก็สามารถครอบคลุมกฎต่างๆ
      ที่เคยอธิบายมา
      และตามความคิดของไอน์สไตน์
      ถือว่าหลักนี้เสนอความเป็นจริงตามจักรวาลแล้ว | 
  
    |  | แม้บางเรื่องจากทฤษฎีของไอน์สไตน์
      จะถูกพิสูจน์แล้วว่าผิดพลาด
      แต่สิ่งที่ยังถูกต้อง
      และเป็นที่ยอมรับอยู่นั้นมีมากมาย
      ทั้งยังเป็นที่ประทับใจของนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังอยู่ตลอดเวลา
      ทั่วโลกต่างยกย่องกันว่า
      ไอน์สไตน์เป็นบิดาแห่งฟิสิกส์
      เชิงทฤษฎีรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
      และยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้บุกเบิกสู่ยุคนิวเคลียร์
      ทฤษฎีต่างๆของไอน์สไตน์
      นอกจากจะให้แนวทางที่ใหม่แก่โลกฟิสิกส์แล้ว
      ยังลบล้างข้อเสนอของนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนอีกมากมาย
      ไม่ว่าจะเป็น นิวตัน
      หรือชเรอเดงเจอร์ก็ตาม ปัจจุบันเรื่องราวของไอน์สไตน์ยังคงได้รับการกล่าวถึงอยู่เสมอ
      สำหรับทฤษฎีทางฟิสิกส์ของเขานั้น
      ยังมีการศึกษา ค้นคว้า
      และทดลองเพื่อพิสูจน์และประยุกต์ใช้อยู่ตลอดเวลา
      และเมื่อไม่นานมานี้
      ได้มีการค้นพบว่ามีทฤษฎีใหม่ที่ขัดแย้งกับทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่กล่าวไว้ว่า
      "ไม่มีวัตถุอื่นใดในโลกที่เดินทางผ่านสุญญากาศหรือเดินทางผ่านที่ซึ่งไร้อากาศได้เร็วกว่าแสง"
 | 
  
    |  | เมื่วันพฤหัสบดีที่ 13 ก.ค. 2543
        สถาบันวิจัย NEC
        แห่งนิวเจอร์ซี
        สหรัฐอเมริกาได้ตีพิมพ์ผลงานค้นคว้าวิจัย
        เกี่ยวกับการพิสูจน์ได้ว่า
        ยังมีสิ่งที่เดินทางได้เร็วกว่าแสงเผยแพร่ต่อสาธารณชน
        ซึ่งเป็นผลงานของ 3
        นักวิทยาศาสตร์คือ หวาง
        หลี่จุ้น อเลกซานเดอร์
        คูซมิค และอาร์เธอร์
        โคการิง
        นักวิทยาศาตร์ทั้ง 3
        คนได้ศึกษาโดยอาศัยทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า
        (electromagneticm) และทฤษฎีกลศาตร์
        (quantum mechanics)
        โดยทำการทดลองด้วยการใช้สื่อกลางพิเศษคือ
        เซเซียมอะตอมส์
        บรรจุในหลอดทดลองขนาด 6 ซม.
        (2.4 นิ้ว)
        จากนั้นใช้แสงเลเซอร์ลำแสงเรียบ
        ยิงผ่านเข้าไปด้วยเวลา
        3 ในส่วน 1 ล้านของ 1 วินาที
        ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นคือ
        อะตอมของก๊าซเซเซียม
        ทำหน้าที่กำหนดรูปแบบสูงสุดต่ำสุด
        ด้วยความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน
        ซึ่งรวมตัวกันเป็นตัวกระตุ้นแสง
        ให้ไปปรากฏบนอีกด้านหนึ่งของหลอดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
        หากเทียบกับการเดินทางของแสงในสุญญากาศ
        นักวิทยาศาตร์ทั้ง 3
        ให้ข้อสรุปว่า
        ปรากฏการณ์ดังกล่าวคือ
        การเดินทางที่ใช้เวลาแตกต่าง
        จากการเดินทางของแสงในสุญญากาศ
        6 หมื่น 2 พันล้านส่วนของ 1
        วินาที
        ทำให้จุดสูงสุดของตัวกระตุ้นแสง
        เดินทางไปยังอีกด้านหนึ่งของหลอด
        ก่อนที่ตัวกระตุ้นแสงจะไปถึงด้านที่ใกล้กว่าของหลอด
        คำอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวค่อนข้างจะเข้าใจยากพอสมควร
        นักวิทยาศาตร์ทั้ง 3
        คนจึงตั้งชื่อว่า
        ปรากฏการณ์ negative delay หรือ negative
        velocity
        ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ความเร็วที่ตรงข้ามกับความเชื่อของคนทั่วไป
        การทดลองและการค้นพบที่ว่า
        คลื่นแสงเดินทางเร็วกว่าแสง
        ครั้งนี้มิใช่ครั้งแรก
        โดยหนึ่งในการทดลองก่อนหน้านี้เป็นผลงานของนักวิทยาศาตร์ชาวอิตาลี
        แต่ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่มีหลักฐานอธิบายสิ่งที่ค้นพบได้ชัดเจนที่สุด | 
  
    |  | จากการทดลองเพื่อค้นหาข้อมูลมาหักล้างทฤษฎีของไอน์สไตน์ดังกล่าว
        ซึ่งเป็นความพยายามของนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่นั้น
        แสดงให้เห็นถึงความสนใจในผลงานของอัจฉริยบุคคลที่ชื่อว่า
        "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์"
        อย่างแท้จริง
        และถึงแม้ว่าทฤษฎีใหม่
        ที่ไม่ตรงกับทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่ถูกค้นพบ
        โดยนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่นั้น
        จะเป็นที่ยอมรับของวงการวิทยาศาสตร์โลกหรือไม่ก็ตาม
        นั่นคือสิ่งที่เราต้องติดตามกันต่อไป
        แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถประจักษ์ได้ในขณะนี้ก็คือ
        ผลงานทุกชิ้นที่ไอน์สไตน์ได้สร้างสรรค์ขึ้น
        คือตัวจักรสำคัญที่คอยขับเคลื่อน
        และกระตุ้นให้นักวิทยาศาตร์รุ่นใหม่ได้ตื่นตัว
        ร่วมระดมความคิด
        และเข้าห้องทดลองเพื่อพิสูจน์กฎ
        และทฤษฎีต่างๆ
        ด้วยแรงบันดาลใจที่ว่า
        จะพบความรู้ใหม่นอกกรอบกำแพงที่ไอน์สไตน์ได้ว่าไว้
        การปลุกเร้าให้นักวิทยาศาตร์รุ่นใหม่
        ได้รู้จักเรียนรู้
        รู้จักพยายามหาคำตอบ
        และรู้จักถ่ายทอดแนวความคิดใหม่ๆ
        ออกมาใช้กับนวัตกรรมอันล้ำยุค
        ในโลกยุคปัจจุบันนี้เอง
        จะเป็นเสมือนบันไดก้าวแรกในการเสริมสร้างความมั่นคง
        เพื่อจรรโลงโลกของเราให้ยั่งยืนต่อไป
        ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าไอน์สไตน์
        คือผู้จุดประกายและเป็นเสมือนผู้บุกเบิกให้วงการวิทยาศาสตร์
        โดยเฉพาะโลกของฟิสิกส์สมัยใหม่
        ได้รับความสนใจและแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ด้วยผลงานที่ฝากไว้เป็นประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาตร์โลก
        และด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด
        ผนวกเข้ากับตำนานแห่งความอัศจรรย์ทางความคิด
        ของอัจฉริยบุคคลท่านนี้
        คงไม่มากเกินไปใช่ไหมหากจะประกาศให้โลกได้รับรู้ว่า
 "ไอน์สไตน์
        คือผู้สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งศตวรรษที่
        20"
 |