Page 107 - Skd 298-2552-12
P. 107

อธบิ ายไดโ้ ดยใชแ้ บบจำ� ลองชดุ เดยี วกนั  กลา่ วคอื  ผลกึ        ผลึกรูปแผ่น (plate halo) หรือเส้นโค้งที่เกิดจาก                 แผลละกึ ผรลูปึกแรผปู น่ แท่ง
ท้ังสองแบบประกอบด้วยหน้ารูปหกเหล่ียม ๒ หน้า                       ผลกึ รปู แผ่น (plate arc)                                       รขหอสังผตวัลเกึ ลรขูปรแะผบน่ชุ ่ือหนา้
ท่ีขนานกัน (เรียกว่าหน้า ๑ และหน้า ๒ โดยมีหน้า                                                                                    และผลกึ รปู แท่ง
สี่เหลี่ยมอกี  ๖ หน้าดา้ นข้าง ไดแ้ ก่ หน้า ๓-๘)                     ในตัวอย่างแรกสุดจะขอแนะน�ำปรากฏการณ์                         รหสั ตวั เลขระบุชอ่ื หนา้
                                                                  ทรงกลดรูปแบบหนึ่งซ่ึงเกิดบ่อยรองจากการเกิดการ                   ของผลึกรูปพรี ะมิด
   หากผลกึ มลี กั ษณะแบน (หนา้  ๑ และหนา้  ๒ อยู่                 ทรงกลดแบบวงกลม ๒๒ องศา  การทรงกลดแบบนี้
ใกล้กัน) ก็จะเรียกว่า ผลึกรูปแผ่น (plate crystal)                 มีลักษณะเป็นแถบแสงด้านซ้ายและขวาของ                               นิตยสารสารคดี 115
แต่หากผลึกมีลักษณะยาว (หน้า ๑ และหน้า ๒ อยู่                      ดวงอาทิตย์ และมีต�ำแหน่งปรากฏบนเส้นวงกลม
หา่ งกนั ) กจ็ ะเรยี กวา่  ผลกึ รปู แทง่  (columnar crystal)      ขนาด ๒๒ องศา

   สำ� หรบั ผลกึ รปู พรี ะมดิ  (pyramidal crystal) นน้ั              ฝรงั่ ตงั้ ชอ่ื แถบแสงนไ้ี วอ้ ยา่ งนอ้ ย ๓ ชอื่   ชอ่ื แรก
ไม่ได้มีรูปร่างเหมือนพีระมิดในอียิปต์ (ซ่ึงมีฐานเป็น              เปน็ ชอื่ เรยี กอยา่ งเปน็ ทางการคอื  พารฮ์ เี ลยี  (parhelia)
รูปสี่เหลี่ยมและมียอดแหลม) แต่ผลึกรูปร่างนี้จะ                    มาจากภาษาละตนิ   para หมายถงึ อยขู่ า้ ง ๆ  helios
มหี นา้ ผลกึ ทที่ ำ� มมุ เอยี ง ๑๕๒ องศากบั หนา้  ๑ (และ/         หมายถึงดวงอาทิตย์  ค�ำว่า parhelia เป็นพหูพจน์
หรอื หนา้  ๒) เพมิ่ เตมิ เขา้ มา (ในทางผลกึ วทิ ยาจะพดู           หมายถึง แถบแสงทั้งสองด้าน  หากพูดถึงแถบแสง
อีกแบบหนึ่ง กล่าวคือ หากให้แกน c เป็นเส้นตรง                      ดา้ นใดดา้ นหน่ึงจะเรียกว่า พาร์ฮีเลียน (parhelion)
ต้ังฉากทะลุหน้า ๑ และหน้า ๒ จะพบว่าหน้าผลึกท่ี
เพิ่มเข้ามาใหม่นีเ้ อียงท�ำมุม ๒๘ องศากบั แกน c)                                      ฉบบั ที่ ๒๙๘ ธันวาคม ๒๕๕๒

   ในภาพ ณ ท่ีนี้จะแสดงจ�ำนวนหน้ามากที่สุดท่ี
เปน็ ไปได ้ กลา่ วคอื  มหี นา้  ๑๓-๑๘ และหนา้  ๒๓-๒๘
เพม่ิ เขา้ มา  สงั เกตการตง้ั ชอื่ รหสั ตวั เลขของหนา้ เอยี ง
เช่นหน้า ๑๓ หมายถึงหน้าที่อยู่ระหว่างหน้า ๑ กับ
หน้า ๓  หรือหน้า ๒๔ หมายถึงหน้าท่ีอยู่ระหว่าง
หนา้  ๒ กบั หนา้  ๔ เปน็ ต้น

   ผลกึ รปู พรี ะมดิ นจ้ี งึ มจี ำ� นวนหนา้ ไดส้ งู สดุ  ๒๐ หนา้
โดยในทางปฏบิ ตั สิ ามารถมรี ปู แบบตา่ ง ๆ ไดห้ ลากหลาย
เชน่ หนา้  ๓-๘ ทอ่ี ยตู่ รงกลางหายไปยกชดุ  หรอื หนา้  ๑
มขี นาดใหญ ่ สว่ นหนา้  ๒ มขี นาดเลก็  เปน็ ตน้   รปู แบบ
ต่าง ๆ ของผลึกรูปพีระมิดที่อาจเกิดข้ึนมีได้ถึง ๑๘
แบบยอ่ ย

   เมอ่ื ไดร้ จู้ กั รปู รา่ งของผลกึ แบบตา่ ง ๆ กนั ไปแลว้
คราวนกี้ ส็ ามารถทำ� ความเขา้ ใจปรากฏการณท์ รงกลด
แบบต่าง ๆ ได้เป็นกลุ่ม ๆ ตามลักษณะรูปร่างของ
ผลกึ น้�ำแข็ง ดังต่อไปน้ี

การทรงกลดทีเ่ กดิ จาก
ผลึกรปู แผ่น

   เรามาเริ่มจากผลึกรูปแผ่นกันก่อน  ผลึกแบบนี้
เมอื่ ลอ่ งลอยอยใู่ นเมฆจะมแี นวโนม้ วางตวั แบน ๆ ตาม
แนวระดับ โดยอาจเอียงพลิกไปพลิกมาได้เล็กน้อย
(คลา้ ยใบไม้ทร่ี ่วงหล่นจากตน้ ไม)้

   เมื่อแสงตกกระทบผลึกรูปแผ่นก็อาจสะท้อน
ออกไปหรือพุ่งเข้าทางหน้าหนึ่งของผลึก แล้วหักเห
ออกไปอีกหน้าหน่ึง เกิดเป็นการทรงกลดที่เกิดจาก
   102   103   104   105   106   107   108   109   110   111   112