| 
  
  ปองศักดิ์ พงษ์ประยูร
 อาจารย์ประจำภาควิชา
      ธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์
      จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
 
 
      ไลเคน
        มีคุณสมบัติที่ดี
        ในการตัดแสง จึงมีส่วน
        ช่วยป้องกัน แสงแดด
        และความร้อน ช่วยลดอัตรา
        การเสื่อมสภาพของหินรากของไลเคน
        เพียงแต่ทำหน้าที่
        ยึดเกาะ
        ไม่ได้ชอนไชเข้าไป
        เกาะกิน
        ทำลายเนื้อหิน เพราะถ้าทำลาย
        ตัวมัน จะหลุดล่อนไปด้วย ไม่อาจปรากฏอยู่ได้เป็น ๔๐-๕๐ ปี วิธีการขจัดไลเคน
        จะทำลายเนื้อหิน และทำให้
        หินผุพังเร็วขึ้นตะไคร่หรือสาหร่าย
        อาจทำลายผิวหินบ้าง
        แต่น้อยและช้ามาก
        ทั้งสามารถ กำจัดออกง่ายๆ
        ในหน้าแล้ง
        โดยไม่ต้องสูญเสีย
        งบประมาณ |  | "ไลเคนมีส่วนช่วยป้องกันแสงแดดให้หินที่มันขึ้น เหมือนสีที่ทาบ้านเพื่อป้องกันแดด ป้องกันแสงส่วนหนึ่งไม่ให้ผ่านเข้าไป  แดดนั้นเป็นตัวการทำลายที่รุนแรงและถาวร  ทำให้หินผุพัง โดยแดดทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น  เม็ดแร่ภายในก้อนหินซึ่งเรียงตัวอย่างไม่เป็นระบบระเบียบและแต่ละแกนมีการขยายตัวไม่เท่ากัน เวลาขยายตัวและหดตัวจะดันกันเองจนแตก  เป็นการเริ่มผุพังทางกายภาพ แม้รอยแตกเล็กนิดเดียวแต่พื้นผิวก็จะเพิ่ม  จากนั้นน้ำก็เข้ามาเป็นตัวทำละลาย อัตราการผุพังก็เพิ่มขึ้น  ถ้าจะลดการผุพังทำลาย ก็...ต้องมีอะไรมาป้องแสงไว้ "โดยทั่วไป ไลเคนจะเกาะบนหินทรายกับหินแปรซึ่งพืชอื่น ๆ ไม่สามารถขึ้นได้ เพราะแทบไม่มีแหล่งอาหาร  ไลเคนจะไม่
 เจริญเติบโตมาก กินอยู่ประหยัดพอประทังชีวิตเท่านั้น  มันไม่ได้ต้องการน้ำ อาหารก็หาเอาจากอากาศ  ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหยั่งรากลึกลงไปในเนื้อหิน เกาะกินทำลายเนื้อหิน รากเพียงแต่ทำหน้าที่จับยึดผิวหินเท่านั้น เหมือนรากของกล้วยไม้
 "ถ้าหากจะทำลายผิวหินก็คงแทบไม่ถึง ๑ มิลลิเมตร ไลเคนเป็นตระกูลเดียวกับพวกเห็ดรา  ลองดูราที่ขึ้นบนเลนส์กล้องสิ รากของมันชอนไชลงไปในเนื้อเลนส์ไหม มันแค่เกาะติดอยู่ที่ผิวเท่านั้น  ถ้าการยึดเกาะทำให้มันมีชีวิตอยู่ มันจะไปทำลายหินที่เป็นฐานของมันทำไม  ถ้ามันทำให้หินผุ ก็จะหลุดล่อนไปกับผิวหินแล้ว เราก็คงไม่มีทางได้เห็น  แต่นี่มันเจริญอยู่บนผิวหน้าที่ไม่ได้ลอก ไม่ได้ล่อนถึงอยู่มาได้เป็น ๑๐-๒๐ ปี
 "ไลเคนมีคุณสมบัติในการตัดแสงได้ดีมาก เหมือนเราสวมเสื้อป้องกันแสงแดด  หินทรายหรือหินแปรที่มีไลเคนปกคลุม ความร้อนจะผ่านได้น้อยลง การแตกก็ลดลงด้วย  ผมสนใจและแปลกใจกับความเป็นอยู่ของไลเคนตั้งแต่ ๓๐ ปีที่แล้วสมัยที่ออกไปศึกษาเรื่องหิน แต่ก็ไม่ได้ศึกษาลึกลงไป  ไลเคนนั้นคนมีความรู้เกี่ยวกับมันน้อยมาก  แต่ตอนนี้เรากำลังหาว่ามันมีอะไรพิเศษแฝงอยู่  นักวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มต้นวิจัยหาคุณค่าของมัน  ขณะที่บางคนไม่สนใจมันด้วยซ้ำ คิดว่าเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดอันตราย  โดยเนื้อหาของมัน มันก่ออันตรายไม่ได้  ลองคิดถึงว่าไลเคนสร้างสารคล้ายซีเมนต์เหนียวหนึบยึดอยู่กับผิวของหิน ลมมายังไง ฝนมายังไงไม่หลุด  มันไม่ทำลายมากไปกว่านั้น  ถ้ามันทำลาย ไลเคนพวกที่อายุ ๔๐-๕๐ ปีจะปรากฏอยู่ไม่ได้ เหมือนกวางที่หลบอยู่ในพุ่มไม้จะไม่ทำลายใบไม้
 "ถ้าไลเคนมีรากชอนไชลงไปลึกถึงขนาดทำให้หินผุได้ ต้องมีหลักฐานที่ใช้อธิบายได้ ต้องทำ thin section-แผ่นหินบาง เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งนี้ทำให้หินผุ โดย หนึ่ง-จะต้องให้เห็นไลเคนอยู่ที่ผิวของหิน  สอง-จะต้องแสดงให้เห็นรากของไลเคนที่ลึกลงไปในทราย ไม่ใช่แค่ทรายหนึ่งเม็ด แต่เป็นสองสามเม็ด ถ้าเห็นว่ามีราก มีช่องว่างอยู่มากก็จะพอพูดได้ว่าทำให้หินผุ  ซึ่งผมไม่คิดว่าจะเห็นรากไลเคนชอนไชในหิน  ส่วนในรูปถ่าย
 ที่นำมาแสดงซึ่งไม่บอกอะไรเลย ตัดหินตรงไหนที่ผุสักหน่อยเอามาก็เหมือนกัน
 "ถ้าขัดเอาไลเคนออกผมเห็นว่าเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ไลเคนมันเกาะแน่น ถ้าขัดออกจะทำลายเนื้อหิน และหินจะผุเร็วขึ้น เพราะทำให้รูพรุนของผิวหินเปิดออกเป็นเหตุให้น้ำฝนซึมเข้าผิวหินได้ในอัตราที่สูงขึ้น ยิ่งถ้าใช้วิธีการผิดพลาดจะยิ่งทำลายหนักขึ้นอีก   สำหรับพวกที่ต้องการความชื้นสูงอย่างพวกตะไคร่หรือ ก็คงทำลายหินบ้าง อย่างน้อยเมื่อซากมันเน่าเปื่อยก็ก่อให้เกิดกรดกัดกร่อนสิ่งที่มันเกาะอยู่ แต่เนื้อมันนิดเดียว กว่าหินจะหลุดร่อนกินเวลาเป็นสิบเป็นร้อยปี  ลวดลายภาพสลักก็คงเห็นอยู่ เพียงแต่ขาดความคมไปบ้าง
 "ถ้าจะเอาพวกตะไคร่ออกผมไม่ขัดข้อง แต่รอตอนหน้าแล้งมันแห้งแล้วเอาแปรงปัดก็หลุดล่อนออกง่าย ๆ สี่ห้าปีทำครั้งหนึ่งก็ถมเถไป ไม่ต้องใช้เงินทุนอะไรนักหนาเลย ยิ่งพวกมอส ขูดเบา ๆ ก็หลุดแล้ว  พวกไหนที่ปัดไม่หลุดอย่าไปขัด การขัดคือการทำลาย
 "แล้วพวกตะไคร่เมื่อหลุดออกมาแล้วสีของหินจะไม่ขาว  บังเอิญผมเห็นภาพปราสาทหินพิมายที่ขาวโพลนหลังการทำความสะอาด คุณสามารถทำให้มีสภาพอย่างที่เห็นได้สองกรณี ถ้าไม่ใช่ใช้กรดอย่างแรงก็ด่างอย่างแรง ที่ราดลงไปแล้วเกิดฟอง  เพราะฟองจะช่วยดันพวกที่อยู่ในซอกให้หลุดออกมาทำให้เห็นขาว ถ้าไม่ใช่ฟองกัดออกมา ใช้แปรงขัดพวกเศษมันก็ยังตกค้างหรือเกาะติดอยู่ตามซอก หรือใช้เครื่องมือแพทย์เพื่อแซะพวกนี้ก็เป็นไปเกือบไม่ได้ มีดแซะทั้งวันจะได้ไม่กี่ตารางนิ้ว ผิวหน้าหินทรายไม่ได้เรียบเหมือนกระจกที่จะใช้มีดขูดออกมาได้  ตะไคร่มีอยู่ทุกผิวหน้าของหิน  แต่กรดหรือด่างอย่างแรงจะเป็นตัวทำละลายเกือบทุกอย่าง ถ้าละลายเอาธาตุออกมาสักตัวโครงสร้างหินนั้นก็เสีย อัตราการผุกร่อนเท่ากับ ๔๐-๕๐ ปีในธรรมชาติ
 "อย่างปืนใหญ่หน้าพิพิธภัณฑ์สนิมทั้งแท่งเลยทำไมไม่ทำความสะอาดล่ะ นั่นเขารู้ว่าถ้าทำความสะอาดคือถูกไล่ออก เพราะมันจะไม่เหลือรูปทรงเดิม  มันเป็นสนิมที่ stable แล้ว ทุกคนรู้ว่าเป็นโบราณวัตถุ ถ้าทำให้ปืนใหญ่ใหม่เอี่ยม เป็นแท่งเหล็กแท้ๆ จะมีคุณค่าอะไร  ในขณะเดียวกันกลับผุพังหนักขึ้นไปอีก
 "ถ้าพูดถึงลวดลายแกะสลักสึกกร่อน การผุจะทำให้ลวดลายสึกกร่อนรวดเร็วกว่า  ลองไปดูหินที่ไม่มีพวกนี้ขึ้นสิ โดนแดดแล้วมันกร่อนไหม มันกร่อนเร็วกว่า... อย่างแร่เฟลด์สปาร์ดูมันใสคล้ายคล้ายควอตซ์ แต่พอเจอแดดฝนไปสักพักก็ขุ่นเป็นชอล์ก เหมือนดินเหนียวดินขาวไปแล้ว"
 
 |