| 
  
  จิราภรณ์ อรัณยะนาค
 ผู้อำนวยการส่วนวิทยาศาสตร์
      เพื่อการอนุรักษ์
      สำนักโบราณคดี
      และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
 
      ไลเคนและตะไคร
        ่ทำให้เกิดการผุกร่อนบนผิวหิน
        ทั้งทางฟิสิกส์และเคมี เช่น การสร้างกรดไกลโคลิก กรดฟอร์มิก กรดอะซีติกขึ้นมากัดกร่อนไลเคนและสาหร่าย
        พบมากบนผิวหินที่ขรุขระ
        เช่นบริเวณที่มีลวดลาย
        จากการแกะสลัก
        ทำให้บดบังลวดลาย
        ภาพสลักบนปราสาท
        การทำความสะอาด
        ขัดล้างจุลินทรีย์เหล่านี้ออกไป
        ไม่ได้เป็นการทำลายโบราณสถาน  |  | "จากที่อุทยานประวัติศาสตร์พิมายร้องขอว่า ไลเคน ตะไคร่ ขึ้นปกคลุมปราสาทจนดูกระดำกระด่าง บดบังลวดลายแกะสลัก  ดิฉันตรวจดูแล้วเห็นว่าในเชิงการอนุรักษ์ ต้องทำความสะอาดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเสื่อมสภาพที่ผิวของโบราณสถาน  เพราะไลเคนและตะไคร่ทำให้หินผุ แม้ไม่ใช่ไลเคนทุกชนิด แต่ชนิดที่อยู่ตรงนั้นทำให้หินที่อยู่ข้างใต้ผุแน่ ๆ "จริงๆ แล้วโบราณสถานทุกแห่งที่ทำการบูรณะจะต้องทำความสะอาด  และเมื่อจะบูรณะซ้ำ หรือทำการอนุรักษ์อะไรซ้ำ ขั้นตอนแรกก็ต้องทำความสะอาด  ไม่อย่างนั้นก็มองไม่เห็นรายละเอียดบนพื้นผิววัสดุหรือลวดลาย   ปรางค์ประธานปราสาทหินพิมายเคยทำสะอาดไปแล้วทั้งหลังตอนบูรณะเมื่อปี ๒๕๐๘   ต่อมาไลเคนและตะไคร่ก็ขึ้นมาอีกหนาทีเดียว  จะต้องมีการบำรุงรักษา การอนุรักษ์อะไรก็ตาม การบำรุงรักษาสำคัญที่สุด
 "เราทดลองทำความสะอาดจุดเล็ก ๆ ก่อน พอทำลงไปแล้วเห็นว่าเนื้อดินข้างใต้ไลเคนกลายเป็นดิน  เราจะให้ดินมันหนาขึ้นเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ เหมือนนั่งดูคนเป็นมะเร็งโดยไม่ทำอะไร  ปล่อยให้เนื้อร้ายลามไปเรื่อย ๆ   อันนั้นก็ไม่ใช่จรรยบรรณของหมอ  สิ่งที่ทำอยู่นี้เป็นเหมือนหมอ แต่เป็นหมอรักษาโบราณสถาน
 "เราทำเพื่อรักษาลวดลายภาพสลักบนปราสาทด้วย  ถ้าไลเคนมากจะบดบังลวดลายจนมองไม่เห็น  ทั้งบดบังและทำลาย  โดยตอนแรกไลเคนขึ้นปกคลุมอยู่ข้างนอก เรามองไม่เห็นข้างใน พอเอาไลเคนออกแล้วเห็นเลยว่าลวดลายมันดูลบเลือนขึ้น
 แล้วไลเคนมักขึ้นมากตรงที่มีลวดลายเสียด้วย  ตรงเรียบ ๆ ไม่ค่อยมี  คือถ้าเป็นหินโล้น ๆ ทั้งหมดเราก็คงไม่ทำอะไร
 "ในหน้าแล้ง เมื่อไลเคบางส่วนตายลง จะเหี่ยวแห้งหลุดออกไป ขณะเดียวกันก็พาเอาเนื้อหินที่กลายเป็นดินออกมาด้วย  ผิวของหินถูกทำลายจนชำรุดจะเห็นเนื้อหินที่อยู่ลึกเข้าไปออกเป็นสีสด ๆ เหมือนสีเดิมของหินขณะตัดใหม่ ๆ
 "ไลเคนที่พบบนหินทรายและหินศิลาแลงส่วนใหญ่เป็นครัสโตสไลเคน รูปร่างลักษณะเป็นแบบแผ่น ทัสลัส (thallus) เกาะติดแน่นกับผิวของหิน  และโฟลิโอสไลเคนมีรูปร่างเป็นแผ่นบาง ทัลลัสมีรูปร่างคล้ายใบไม้หรือกลีบดอกไม้เกาะอยู่บนผิวหิน ลักษณะคล้ายเปลือก
 ไลเคนบางชนิดโดยเฉพาะโฟลิโอสไลเคนสร้างไรซอยด์ (rhizoid) หรือรากเล็ก ๆ แทรกลงไปในเนื้อหิน ทำให้เม็ดแร่เช่นเฟลด์สปาร์ ควอตซ์แยกตัวจากกัน กลายเป็นผงทราย หรือดินปนทราย  ดินดังกล่าวมีลักษณะร่วนและอ่อนนุ่ม สามารถใช้ปลายเข็มหรือปลายมีดผ่าตัดสะกิดออกมาได้อย่างง่ายดาย   ส่วนครัสโตสไลเคน ทัสลัสของมันสร้างสารเมือกเกาะแน่นและซอกซอนเข้าไปในเนื้อหิน 	"ทางกายภาพ ไลเคนและตะไคร่มีการขยายตัวหดตัวได้  เมื่อมันเจริญก็ขยายขนาด เมื่อตายก็หด  หรือเมื่อโดนน้ำก็ขยายตัว  เมื่อโดนแดดส่องก็หดตัว  มีอัตราการหดตัวขยายตัวค่อนข้างสูง  ไลเคนบางชนิดขยายตัวได้ถึง ๓๕ เท่าเมื่อเปียกน้ำ การที่มันขยายตัว หดตัวสลับไปสลับมาทำให้ผิวของหินส่วนที่ยึดเกาะหลุดออกมาด้วย
 มีคนทำการทดลองทาสารเมือกนี้ลงบนกระจกและหิน พบว่าการขยายตัว หดตัวของมันทำให้ผิวของกระจกและหินหลุดออกมา
 "แล้วถ้าเราไม่ทำอะไร ต่อไปจะมีพืชชั้นต่ำ พืชชั้นสูงขึ้น เพราะเมื่อตะไคร่ ไลเคนตายไป จะกลายเป็นฮิวมัส-ดินที่มีสารอาหาร  ใช้เวลาไม่นานมอสจะตามมา  โบราณสถานแทบทุกแห่งมีมอสขึ้นแถบด้านล่างของโบราณสถาน แต่ที่เขาอนุรักษ์ไปแล้วเราก็ไม่เห็น   ข้างบนไม่ชื้นมากจะเป็นตะไคร่เสียส่วนใหญ่  อันตรายที่จะเกิดก็คงไม่ถึงกับทำให้โบราณสถานพังทลาย ถ้าเทียบกับโรคภัยที่เกิดกับมนุษย์ ไม่ถึงกับทำให้กระดูกผุ กระดูกหัก แต่ทำให้เกิดโรคผิวหนังเสียสวยไป  แต่ถ้ามีฮิวมัสสะสมนาน ๆ มีพืชหลายอย่างขึ้นผสมปนเป รากของมันไชชอนเข้าไปได้ลึก อาจมีผลต่อความแข็งแรงของโบราณสถานได้
 "ตัวอย่างจากพระอจนะที่เราทำการอนุรักษ์ หลังจากแซะตะไคร่และมอสออกด้วยมีด เราพบว่าผุเข้าไปถึงเนื้อข้างใน เนื่องจากความชื้นและกรดต่าง ๆ ที่ออกมาจากพวกนี้
 "เคยมีการนำเอาหินที่มีไลเคนคลุมไปส่องดูด้วยกล้องกำลังขยายสูง ๆ  แล้ววิเคราะห์หาว่าใต้ไลเคนนั้นมีสารเคมีอะไรบ้าง  พบว่ามีเกลือซึ่งเกิดจากพวกกรดอินทรีย์ที่ไลเคนสร้างขึ้น  แล้วมีหลักฐานอีกมากว่ามีกรดมากมายหลายสิบชนิด ซึ่งบางชนิดไม่ค่อยละลายน้ำมาก แต่ก็สามารถในการทำให้เกิดสารประกอบเชิงซ้อน (complex salt)  นั่นคือกรดพวกนี้จะไปห้อมล้อมอนุมูลโลหะซึ่งเป็นองค์ประกอบของแร่ เช่น เฟลด์สปาร์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของหินทราย  แล้วกลายเป็นสารประกอบเชิงซ้อนแล้วหลุดออกไป  ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ คือทำให้เฟลด์สปาร์กลายเป็นดิน
 "เราเองก็ทำ thin section โดยเอาหินที่มีไลเคนมาตัดตามขวาง...ขัดจนบาง แล้วส่องดูเนื้อหินด้วยกล้องจุลทรรศน์  ทำทั้งผิวที่มีไลเคนปกคลุมและไม่มี พบว่า แร่ที่เป็นองค์ประกอบของหินส่วนบนจะเป็นดิน ซึ่งมีเม็ดทรายปนอยู่เพราะแร่บางอย่างถูกทำให้ผุกลายเป็นดินไปแล้ว  เห็นได้เลยว่าเนื้อหินหายไป  เป็นรูเต็มไปหมด เม็ดแร่ไม่ค่อยเกาะกันแล้ว  เฟลด์สปาร์ที่เคยมีอยู่ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ผุผังสลายตัวกลายเป็นดิน โดยเฉพาะส่วนขอบ ๆ นอก  ในขณะที่ข้างในเนื้อแน่นไม่มีการผุผัง
 "อุปกรณ์ที่ใช้ทำความสะอาดปราสาทหิน เราใช้แปรงสีฟันปัด และใบมีดผ่าตัดของแพทย์ค่อย ๆ ขูด  แล้วใช้น้ำเปล่าใส่ขวดพ่นล้างออก  การที่เอาน้ำพ่นนี่ดีอีกอย่างคือ ไลเคนที่ดำ ๆ มองไม่ชัด พอพ่นแล้วจะเขียวชัดขึ้น  ถ้าเป็นจุดใหญ่ ๆ เราใช้แปรงทาสีปัด  แปรงลวดนั้นไม่เคยใช้เลย และก็ไม่ใช้น้ำยาล้างห้องน้ำด้วย ถ้าเป็นก้อนหินที่ผุแล้ว ตอนเอาใบมีดแซะจะมีเศษหินหลุดออกมาด้วย   การใช้มีดแซะนั้นจะไม่ทำให้หินเป็นรอย  หินทั่วไปขนาดเราเอามีดกรีดแรง ๆ ยังไม่เป็นรอย เพราะ ใบมีดผ่าตัดแหลมและบางมาก กระแทกแรงหน่อยก็จะหัก แต่จริง ๆ ตอนเราทำงานเราทำเบา ๆ หินจะหลุดออกได้ยังไง
 "ดิฉันเคยทดลองนั่งขูดหินทรายใต้กล้องจุลทรรศน์  ขั้นแรกจะเอามีดแซะไลเคนออกก่อน  ขั้นที่ ๒ ก็ใช้มีดแคะเอาดินจากหินที่มันเสื่อมสภาพแล้วใต้ไลเคน ได้ออกมาหนึ่งถ้วยเล็ก ๆ  เมื่อเอาไปหาองค์ประกอบทางแร่  เราพบว่ามันเป็นดินผสมทราย  แล้วลองขูดเนื้อหินด้านหลังเพื่อเปรียบเทียบ  กว่าจะได้เนื้อหินเท่าด้านหน้าต้องขูดเป็นวัน ๆ  ฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่ามีดจะไปทำอะไรเนื้อหิน  สิ่งที่เราแซะออกมาคือดินไม่ใช่เนื้อหิน  นักอนุรักษ์ทั่วโลกใช้มีดนี้เป็นอุปกรณ์ประจำตัว
 "หลังจากทำความสะอาดแล้ว เราต้องการจะทาซิลิโคนหรือน้ำยากันซึมเคลือบปราสาทในฤดูแล้ง  ซิลิโคนเป็นสารเคมีซึ่งฉาบแล้วน้ำจะไม่ผ่านเข้าไป แต่ความชื้นระเหยออกมาจากหินได้  เราได้ทดลองแล้วว่า เมื่อทาแล้วน้ำระเหยได้ถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์  แล้วน้ำยานี้ทาแล้วปล่อยทิ้งไว้จะไม่ดำ...ไม่เหลือง  เราทำกันมา ๒๐-๓๐ ปีแล้ว
 "ในรายงานการอนุรักษ์ของบุโรพุทโธขององค์การยูเนสโกที่อินโดนีเซีย ก็พบว่าใช้สารเคมี  ในการทำความสะอาด เขาใช้สารเคมีหลายชนิดผสมกัน ใส่ลงไปเพื่อให้ไลเคนตาย พอตายแล้วก็เอาน้ำล้าง เอาแปรงขัดออก  เราก็เคยทดลองใช้เหมือนกันแต่มันสิ้นเปลือง จึงข้ามขั้นตอนนั้นไป เพราะไม่ใช่ว่าใช้น้ำยาตัวนี้แล้วไลเคนหายไปจากหิน ยังไงก็ต้องขัดหรือแซะเอาไลเคนออกอยู่ดี
 "ที่พิมายก็ควรจะต้องใช้น้ำยาเคลือบ ยังไม่ได้ทำเพราะยังทำความสะอาดไม่เสร็จ ไม่มีน้ำยากันซึมชนิดไหนหรอกที่ทาแล้วป้องกันได้ตลอดชีวิต  ส่วนจะกี่ปีต่อครั้งก็ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำยา เท่าที่สังเกตดูจากการทดลอง ๖ ปีไปแล้วยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  อาจจะได้ถึง ๘ ปี ๑๐ ปีก็ได้  	"ตอนที่ทำความสะอาดปราสาทหินพิมาย เจ้าหน้าที่ของดิฉันจากส่วนกลางซึ่งรวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ผลัดเปลี่ยนกันไปดูแลตลอดเวลา  ปีที่แล้วเราเอานักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักชีววิทยาไปคุมตลอดเวลา ส่วนทางพิมายมีลูกจ้างซึ่งเป็นคนงานขุดค้นทางโบราณคดีอีกห้าคน  ปีนขึ้นไปทำความสะอาดบริเวณที่สูง ๆ
 "ทีนี้มีบางคนเห็นปราสาทพิมายแล้วตกใจว่ามันขาวเกินไป คิดว่าเราใช้สารเคมีไปฟอกไปขัด เราไม่เคยใช้สารเคมีในการทำความสะอาด เพราะเราทำความสะอาดเพื่อจะทาสารกันน้ำ  จึงต้องการให้ผิวแห้งที่สุดเพื่อทาสารกันน้ำแล้วจะได้มีประสิทธิภาพสูงสุด  จริง ๆ ถ้าดูโดยรวมแล้วเห็นว่ามันขาว แต่ถ้าดูใกล้ ๆ จะเห็นว่าส่วนที่เราทำความสะอาดแล้วไม่ได้ขาวกว่าส่วนที่ขาวอยู่เดิม  ปรางค์ประธานพิมายเดิมเป็นหินทรายสีขาว เราแค่สะกิดเอาตะไคร่และไลเคนออกแล้วมันก็ขาวเหมือนเดิม
 "เมื่อคนไปเรียนด้านการอนุรักษ์ คอร์สแรกสุดที่ได้รับการสอนคือจรรยาบรรณ ...ความคิดว่าเราจะต้องอนุรักษ์ทุกอย่างให้อยู่ต่อไปอีกหลาย ๆ พันปีเท่าที่เราจะทำได้  ไม่เฉพาะแต่โบราณสถาน   เราจะอนุรักษ์สิ่งนั้น ๆ ให้เป็นมรดกของลูกหลาน เรื่องโครงสร้างก็เป็นเรื่องของวิศวกรว่าจะอนุรักษ์อย่างไร  ส่วนที่ว่ามันทำลายผิว  เราก็ต้องรักษา  เหมือนคนไข้คนหนึ่งอาจเป็นโรคกระดุกผุ มะเร็ง โรคผิวหนัง หมอแต่ละสาขาก็รักษาไป
 "ทีนี้เราจะเลือกอะไร ขอให้ได้เห็นโบราณสถานอยู่ในสภาพเดิม หรือจะต้องการบูรณะ  โบราณสถานบางแห่งไม่เคยทำอะไรเลย กลายเป็นทุ่งหญ้าไปเสียหมด ดูไม่รู้ว่าเป็นโบราณสถานก็มี  คุณไปดูที่อยุธยา กำแพงบางแห่งเป็นเหมือนกับที่สำหรับปลูกต้นไม้ไปแล้ว  คนทำเขาทำเพื่อจะช่วยให้โบราณสถานอยู่ได้นาน  ทำความสะอาดกันจนกล้ามขึ้นไปหมด ปีนป่ายหล่นลงมาก็เจ็บตัวฟรี  ไม่มีใครเขาอยากทำลายหรอก แต่เมื่อทำไปแล้วบางคนไม่ชอบก็ไม่รู้จะว่ายังไง
 "ถ้าเป็นไปตามทฤษฎีที่บอกว่าไลเคนช่วยปกป้องหินจากแสงแดด ช่วยป้องกันน้ำแล้วทำไมหินที่อยู่ใต้ไลเคนยังผุ  ถ้าคุณดูกระบวนการ weathering ของหิน จะพบว่าแสงแดดมีผลกระทบไม่มาก  น้ำ ความชื้นมีผลมาก   ทีนี้พวกไลเคน ตะไคร่ที่อยู่บนหิน  มันไม่ได้ลดน้ำ ลดความชื้น แต่กลับทำให้น้ำสะสมอยู่ตรงนั้นมากขึ้น  มีข้อมูลบอกว่า พวกจุลินทรีย์เป็นพวกที่อมความชื้นได้ดี  เมื่อฝนตก มันดูดซับความชื้นไว้ในตัวเอง  ทำให้อัตราการระเหยของน้ำออกจากหินลดน้อยลง เมื่อน้ำถูกดูดซับอยู่ในเนื้อหินนาน ๆ ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีอะไร ๆ อีกมาก
 "งานศึกษาวิจัยชิ้นนั้นไม่ครบถ้วนกระบวนความ  แค่เจาะรูลงไปแล้วบอกว่าหินส่วนที่มีไลเคนกับไม่มีไลเคน ความแข็งแรงเท่ากัน  แล้วไปเจาะหินอีกก้อนซึ่งแตก ๆ พัง ๆ อยู่แล้วบอกว่าอันนี้มันไม่มีไลเคนแต่มันพัง ว่าความแข็งแรงต่ำ  แสดงว่าเมื่อไม่มีไลเคนปกคลุม...มันเลยผุมาก  มันคนละโรคกัน  เราบอกแล้วว่าไลเคนไม่ได้ทำให้หินทั้งก้อนผุ  เฉพาะผิวหินเท่านั้น  หินซึ่งมีลวดลายกร่อนไปเรื่อย ๆ ฉะนั้นมันคนละประเด็น
 "เท่าที่ศึกษาจากเอกสาร มีเสียงที่ว่าไลเคนช่วยปกป้องหินน้อยมาก  ยอมรับว่าไลเคนช่วยปกป้อง แต่เป็นบางชนิด  ซึ่งเราก็ไม่ทำอะไร  มันเป็นคราบแข็งเหมือนปูนติดอยู่ ถ้าเราพยายาม ทำความสะอาดอันนี้ต้องกระเทาะเนื้อหินออกมาด้วย  คือไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเอาทุกอันออก  บางอย่างก็เก็บไว้ได้"
 
 |