Click here to visit the Website
กลับไปหน้า สารบัญ
รำลึก ๑๐ ปีการจากไปของ สืบ นาคะเสถียร
เรื่อง : วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์
หัวหน้าสืบที่ห้วยขาแข้ง

    ภายหลังเมื่อรัฐบาลมีมติระงับการสร้างเขื่อนน้ำโจน กลุ่มนักอนุรักษ์ได้วิเคราะห์ว่า น่าจะมีมาตรการระยะยาว เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเสนอโครงการสร้างเขื่อนน้ำโจน ในอนาคตอีก และในเวลานั้นประเทศไทย ได้เป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก จึงเห็นว่าสืบน่าจะมีส่วนสำคัญ ในการเขียนรายงานทางวิชาการ เพื่อนำเสนอต่อกรรมการ ให้พิจารณาว่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เหมาะสมที่จะเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ

(คลิกดูภาพใหญ่)

    สืบสัมผัสกับป่าทุ่งใหญ่มากขึ้น เขาไม่ได้สนใจข้อมูลทางด้านธรรมชาติด้านเดียว แต่เขายังสนใจความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ชาวกะเหรี่ยงว่ามีวิถีชีวิตอย่างไร รักษาป่ากันอย่างไร ครั้งหนึ่งสืบลงไปเก็บข้อมูลด้านชุมชนที่หมู่บ้านแม่จันทะ เขาได้จดบันทึกเรื่องราวชีวิตของลุงเนียเต๊อะ ผู้เฒ่าที่ชาวกะเหรี่ยงนับถือมาก และล่องแพมาถึงป่าดงวี่ ระหว่างทางที่ค้างคืนในป่า สืบมักจะเปิดเทปฟังเพลงกะเหรี่ยง ที่เขาอัดเสียงมาตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน วีรวัธน์ผู้ร่วมเดินทางไปครั้งนั้น เคยตั้งคำถามกับสืบว่าทำไมชอบฟังเพลงกะเหรี่ยง
   
"ฟังแล้วรู้สึกสงสารพวกเขา เพลงกะเหรี่ยงเป็นเพลงที่ฟังแล้วเศร้า เหมือนกำลังจะบอกให้พวกเราช่วยเขา... ถ้าไม่ลงมาที่นี่ ไม่ได้ศึกษาดูก็จะไม่รู้ว่าคนกะเหรี่ยงเป็นยังไง เขาอยู่กันอย่างไร"

(คลิกดูภาพใหญ่)     นับแต่นั้นมา สืบได้พัฒนาความคิดจากการเป็นนักวิชาการแต่เพียงอย่างเดียว มาเป็นนักอนุรักษ์ที่มีพื้นฐานทางวิชาการ สืบไม่เก็บตัวเหมือนสมัยก่อนอีกต่อไป เขาขึ้นไปพูดตามเวทีสาธารณะต่าง ๆ จนคนทั่วไปรู้จักสืบดี เพราะทุกครั้งสืบจะพูดออกมาจากหัวใจ โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า "ผมขอพูดในนามของสัตว์ป่าทุกตัว"
   
สืบเริ่มออกรณรงค์เคลื่อนไหวต่อต้านการทำลายป่า และสัตว์ป่าทุกรูปแบบ ตั้งแต่การสร้างเขื่อนแก่งกรุง จังหวัดสุราษฎร์ธานี การสร้างเขื่อนเหวนรก ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๑ หนังสือพิมพ์ มติชน ได้ลงพาดหัวข่าวว่า
   
"กรมป่าไม้ทำแสบ อนุมัติให้บริษัทไม้อัดไทยเข้าทำไม้ ๓ แสนไร่ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ซึ่งอุดมสมบูรณ์ที่สุดในเอเชีย หวั่นสัตว์ป่าหายากแตกหนีกระเจิง ร้องให้ยับยั้งด่วนก่อนพินาศ"
   
บริษัทไม้อัดไทยจะขอสัมปทานทำไม้ ที่ป่าห้วยขาแข้งตอนใต้ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีควายป่าอาศัยอยู่ สืบและเพื่อนพ้องได้ออกโรงต่อต้านอย่างเข้มแข็ง ในเดือนตุลาคมมีการจัดนิทรรศการ และการอภิปรายในจังหวัดอุทัยธานี ให้ชาวเมืองเห็นคุณค่าของป่าห้วยขาแข้ง และมีการขอประชามติไม่สนับสนุน ให้มีการทำสัมปทานไม้ครั้งนี้ มีผู้ลงชื่อนับหมื่นคน สืบขึ้นอภิปรายด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก วิพากษ์วิจารณ์กรมป่าไม้อย่างตรงไปตรงมา
(คลิกดูภาพใหญ่)     "คนที่อยากอนุญาตให้ทำไม้ก็เป็นกรมป่าไม้ คนที่จะรักษาก็เป็นกรมป่าไม้เหมือนกัน ของนี้จะใส่ในมือซ้ายหรือมือขวาดี ถ้าใส่มือขวา มือซ้ายก็อด 
   
"ถ้าเรามีพื้นที่ป่าที่ดีที่สุด คือห้วยขาแข้ง แล้วเรายังไม่รักษา แม้แต่กรมป่าไม้เองก็ยังไม่สนใจรักษา ก็อย่าหวังว่าจะรักษาที่อื่นให้รอดได้"
   
จนกระทั่งเมื่อเกิดกรณีซุงนับพันท่อนถล่มอำเภอนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน บ้านเรือนกลายเป็นทะเลโคลน อันมีสาเหตุมาจากการตัดไม้ทำลายป่า ส่งผลให้รัฐบาล ประกาศยกเลิกสัมปทานทำไม้ทั่วประเทศ รวมถึงสัมปทานไม้ในป่าห้วยขาแข้งด้วย
   
ปลายปี ๒๕๓๒ สืบปรารภกับผู้เขียนว่า กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเลือกอะไร ระหว่างการรับทุนไปเรียนต่อระดับปริญญาเอก ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กับการไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
   
หากเป็นคนทั่วไป ก็คงจะเลือกการไปเรียนต่อระดับปริญญาเอก เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน  แต่สำหรับสืบแล้ว ป่าห้วยขาแข้งเปรียบเสมือนบ้านของเขา เขาเคยพูดเสมอว่า หากมีโอกาสไปดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแล้ว เขาขอเลือกสองแห่งคือ ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และป่าห้วยขาแข้ง
   
ธันวาคม ๒๕๓๒ สืบ นาคะเสถียร เดินทางเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าเขตฯ ด้วยความมุ่งมั่นแ ละใจเต็มร้อยที่จะรักษาผืนป่าที่นี่ให้ดีที่สุด เขาสบายใจที่เห็นลูกทีมของเขามีคุณภาพ และในอนาคต เขาหวังว่าป่าห้วยขาแข้ง และป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ที่มีเพื่อนสนิทของเขาคือวีรวัธน์เป็นหัวหน้า จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งอื่น ๆ
(คลิกดูภาพใหญ่)     สืบบอกกับคนรอบข้างว่า "ตอนนี้ผมสามารถให้ทุกสิ่งกับห้วยขาแข้งได้"
ห้วยขาแข้งเป็นป่าที่มีพื้นที่ขนาด ๑ ล้าน ๖ แสนกว่าไร่เศษ เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งเดียว ที่ไม่มีราษฏรบุกรุกอาศัยอยู่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่าที่หายากจำนวนมาก เช่น กระทิง วัวแดง ควายป่า นกยูงไทย สมเสร็จ เสือโคร่ง เสือดาว ช้างป่า ฯลฯ 
   
วันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ออกจับไม้เถื่อน ไปดูพื้นที่ในป่าประดู่ที่ถูกโค่นกว่า ๒๐๐ ต้นเพื่อแปรรูปในป่า สืบไม่พูดอะไร เดินก้าวยาว ๆ ออกมาดูท่อนไม้ตามทางในป่า โดยไม่สนใจว่าใครจะตามมาทันหรือไม่ ไม่กลัวหลงป่า ไม่กลัวถูกลอบทำร้าย แล้ววิทยุติดต่อเจ้าหน้าที่สั่งการให้รายงานเป็นระยะ ๆ
   
แล้วสืบก็พบว่า ป่าจำนวน ๑ ล้าน ๖ แสนกว่าไร่ อยู่ในความรับผิดชอบของข้าราชการ ๑๒ คน เจ้าพนักงานพิทักษ์ป่า ๓๐ คน และลูกจ้างชั่วคราว ๑๒๐ คน แบ่งไปประจำหน่วยพิทักษ์ป่า ๑๒ หน่วย แต่ละหน่วยจะต้องรับผิดชอบพื้นที่ป่าถึงหน่วยละ ๑ แสนกว่าไร่
   
และที่น่าตลกคือ งบประมาณในการดูแลป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งนี้ ได้เพียงไร่ละ ๘๐ สตางค์ต่อปี ในขณะที่ป่าสงวนที่ถูกบุกรุกจนเสื่อมสภาพแล้วรัฐให้เงินถึงไร่ละ ๑,๐๐๐ บาทต่อปี
   
"จะให้ผมไปรักษาอะไร มาเคี่ยวเข็ญให้ผมรักษาป่า แถมยังต้องมาชี้แจงอีกว่ารักษาอย่างไร" สืบเคยพูดอย่างเหลืออด
(คลิกดูภาพใหญ่)     สืบพบว่าปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า การลักลอบล่าสัตว์ เป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกวันในเวลานั้น 
   
"ผมพูดได้เลย มันมีการยิงกันทุกวัน ไปตามก็เจอแต่กองไฟ เจอซากที่ชำแหละไว้เรียบร้อย จับมันได้ครั้งหนึ่ง มันพร้อมจะล่าสิบครั้งกว่าจะโดนจับ ถูกปรับแค่ ๕๐๐ บาท คุกก็ไม่ติด กว่าเราจะจับมันได้ ต้องไปอดหลับอดนอน แบกข้าวสารไปกินในป่า มันหนีเราแต่เราต้องตามจับ อย่างเมษายนปีที่แล้ว ลูกน้องผมถูกนายพรานยิงตายสองคน เจ้าหน้าที่ยิงก่อนก็ไม่ได้ ถือว่าเกินกว่าเหตุ ผู้ต้องหามันเห็นหน้าเรา มันยิงใส่เราแล้วเราก็ตาย เรามีค่าเหรอ ตายไปอย่างดีก็เอาชื่อมาติดที่อนุสาวรีย์หน้ากรมป่าไม้"
   
สืบรู้ดีว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ทำงานด้วยความยากลำบากยิ่งนัก ในป่าเปลี่ยวที่พร้อมจะโดนยิงเมื่อไรก็ได้ โดยไม่มีหลักประกันใด ๆ ทั้งสิ้นให้แก่ครอบครัวและตัวเขา นอกจากเงินเดือนของลูกจ้างชั่วคราว ไม่เกินคนละ ๑,๕๐๐ บาทต่อเดือน ไม่มีสวัสดิการ หรือประกันชีวิตใด ๆ ทั้งสิ้น และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ พวกเขาขาดวิทยุสื่อสาร ที่จะติดต่อกันได้ในพื้นที่มหาศาล  และรถก็ไม่เพียงพอ แม้กระทั่งอาวุธประจำกาย ก็มีเพียงปืนลูกซอง ขณะที่นักล่าสัตว์มีปืนเอ็ม ๑๖ เป็นอาวุธล่าสัตว์ 
   
ด้านตะวันออกของป่าห้วยขาแข้งอยู่ติดกับหมู่บ้านหลายแห่ง ชาวบ้านเองมักจะลักลอบเข้ามาล่าสัตว์ หรือเป็นคนนำทางให้แก่พรานในเมือง บางครั้งก็มีใบสั่งจากกลุ่มอิทธิพลว่า ต้องการสัตว์ป่าประเภทไหน เขากระทิงจะมีราคาประมาณ ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ บาท ถ้าเป็นเขาควายป่า อาจจะมีราคาสูงเป็นหมื่นบาทขึ้นไป ร้านอาหารสัตว์ป่ารอบห้วยขาแข้ง ก็มีอาหารสัตว์ป่าไว้บริการลูกค้าได้ตลอดปี 
(คลิกดูภาพใหญ่)     ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของห้วยขาแข้งส่วนใหญ่ ก็เป็นลูกหลานในหมู่บ้านเช่นกัน การจับกุมพี่น้องกันเอง ก็เป็นเรื่องสะเทือนใจ เมื่อลูกน้องมารายงานว่าพบซากสัตว์ พบกระทิงถูกตัดหัว พบซากวัวแดง เขาจะนิ่งเงียบและเจ็บปวดอยู่ในใจ จับนักล่าไม่ได้แต่สัตว์ตายตลอด แต่พอจับคนล่าได้ คนเหล่านี้ก็ล้วนเป็นคนยากคนจน ไม่สามารถลากคอผู้บงการ หรือเจ้าของร้านอาหารสัตว์ป่ามาลงโทษได้สักครั้ง
   
"ลำพังชาวบ้านอย่างเดียวมันไม่หนักหนาหรอก ถ้าหากไม่มีเจ้าหน้าที่ หรือผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง เดี๋ยวนี้ชาวบ้านจะขนไม้เถื่อนหรือล่าสัตว์ ก็มักจะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมด้วย มันก็เลยกลายเป็นว่า ถ้าเราอยากจะทำหน้าที่ของเรา อยากจะรักษาป่า รักษาสัตว์ป่า เราต้องขัดแย้งกับทั้งฝ่ายภาครัฐ และฝ่ายประชาชนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน"
   
จิตประพันธ์ กฤตาคม พนักงานพิทักษ์ป่าผู้ใกล้ชิดสืบ เปิดเผยว่า
   
"พอพี่สืบมาเป็นหัวหน้าเขตฯ วงการค้าไม้เถื่อน หรือล่าสัตว์ป่ามีการเคลื่อนไหว เพราะอาจรู้กิตติศัพท์ที่ว่า หัวหน้าสืบเป็นคนทำงานจริงจัง ไม่กลัวอิทธิพลใด ๆ แต่การล่าสัตว์เป็นปัญหาที่หนักมากในเวลานั้น ทุกคืนพี่สืบจะฟังเสียงปืนด้วยความอดทน ถ้าเราไปเราก็เสียเปรียบ คือเราได้ยินเสียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน เราไม่รู้ว่าเป็นเสียงปืนล่าสัตว์ หรือเขาต้องการล่อให้เจ้าหน้าที่ออกไปโดนยิง พี่สืบเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกน้องมาก"
(คลิกดูภาพใหญ่)     สืบเริ่มตระหนักว่า ปัญหาในป่าห้วยขาแข้งดูจะยิ่งใหญ่ และสลับซับซ้อนมากกว่า ที่เขาประเมินไว้แต่แรก สืบพยายามขอความร่วมมือจากหน่วยราชการนอกป่าห้วยขาแข้ง ในการช่วยกันป้องกันการทำลายป่า และการล่าสัตว์ โดยเฉพาะบริเวณป่าสงวนรอบ ๆ ป่าห้วยขาแข้งซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของเขา เขาพยายามเดินเข้าหาผู้ใหญ่ ไปพูดคุยกับทุกคน แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง กรมป่าไม้เองก็ไม่สนับสนุนสิ่งใด 
   
แต่สืบก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาเชื่อว่าจะต้องรีบเร่งให้การศึกษาแก่ชาวบ้านรอบ ๆ พื้นที่ โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ให้เห็นถึงความสำคัญของป่าห้วยขาแข้ง สืบจึงให้ความสำคัญกับงานเผยแพร่มาก เขาจะลงมือทำด้วยตนเอง ออกแบบงานนิทรรศการ เขียนโปสเตอร์ เขียนบอร์ดเอง หากทำไม่ดีก็ทำใหม่ ตัดภาพเอง ไม่สวยทำใหม่ ภาพที่นำมาใช้ล้วนเป็นภาพสวยงามจากฝีมือของเขา เขาจะควักเงินเป็นค่าอัดขยายภาพเอง ออกไปบรรยายเองตามโรงเรียน ตามที่ชุมชนต่าง ๆ จนถึงเก็บข้าวของเครื่องมือฉายสไลด์เอง ทำทุกอย่างตั้งแต่เช้าจนค่ำ บางครั้งเที่ยงคืนเขายังอุตส่าห์ขับรถจากในเมืองเข้ามาในป่า ตื่นแต่เช้ามืด มาเขียนงานเอกสารที่คั่งค้างไว้ พอรุ่งสางก็ขับรถออกไปตามโรงเรียน บรรยายให้เด็กนักเรียนฟังต่ออย่างไม่เหน็ดเหนื่อย 
   
แต่ดูเหมือนปัญหาที่ยากที่สุดจะรอเขาอยู่เบื้องหน้า--ระบบราชการ
(คลิกดูภาพใหญ่) เตรียมตัวตาย

    "พี่สืบไปขอยืมเงินแม่เดือนละ ๒ หมื่นบาท แล้วไม่บอกเหตุผลว่าเอาไปทำอะไร ทางบ้านจึงเข้าใจว่าพี่สืบใช้เงินเปลือง เอาไปเลี้ยงผู้หญิงหรือเปล่า ทีหลังถึงรู้เอาไปให้ลูกจ้างรายวันในป่ายืมก่อน เพราะเงินเดือนของพวกเขาตกเบิกช้ามาก พวกนี้ไม่มีอะไรจะกิน พี่สืบก็ต้องเอาเงินจากทางบ้านออกไปก่อน"
   
โด่ง น้องชายคนเดียวบอกให้ผู้เขียนฟังว่า สืบรักลูกน้องมาก ยอมแบกรับภาระ ที่ทางการจ่ายเงินเดือนให้ลูกน้องช้า
   
สืบวิ่งเต้นหาแหล่งเงินทุนมาเพื่อเป็นสวัสดิการ และประกันชีวิต ให้แก่เจ้าหน้าที่ระดับล่างในห้วยขาแข้ง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจกับการทำงานของคนเหล่านี้ ที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตายแทบทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากทางการเลย
   
ดร. อแลน ราบิโนวิทซ์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งเคยบอกกับสืบว่า
   
"คุณไม่จำเป็นต้องกังวลกับการที่มีใครตาย เพราะการตายไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของคุณ พวกเขาทำงานของเขา คุณไม่ต้องไปรับผิดชอบพวกเขาถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรอก"

(คลิกดูภาพใหญ่)     แต่สืบตอบกลับทันทีด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า
   
"จะไม่มีใครต้องตายในเขตห้วยขาแข้ง ถ้ามีก็ต้องเป็นผม"
สืบเริ่มเข้าใจแล้วว่า หนทางเดียวที่จะทำให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างดี คือการผลักดันให้ป่าแห่งนี้ ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก ซึ่งจะทำให้เกิดการเฝ้าหวงแหนจากผู้คนทั้งโลก สืบจึงรีบลงมือเก็บข้อมูลอย่างหนัก เพื่อทำรายงานเสนอยูเนสโกจนสำเร็จในเวลาต่อมา
   
ต่อมาสืบพยายามผลักดันแนวความคิดเรื่องป่ากันชน คือบริเวณป่าสงวนรอบ ๆ ป่าห้วยขาแข้งในรัศมี ๕ กิโลเมตร ให้เป็นป่าชุมชนของชาวบ้าน ชาวบ้านสามารถมาใช้ประโยชน์ ตัดไม้ หาของป่าได้ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นป่ากันชน ซึ่งจะทำให้ป่าห้วยขาแข้ง ปลอดภัยจากการบุกรุกด้วย
   
แต่เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่แนวความคิดนี้อยู่นอกเหนือพื้นที่ของห้วยขาแข้ง เป็นเรื่องของป่าไม้เขต ป่าไม้จังหวัด กระทรวงมหาดไทย ทหาร ตำรวจ และข้าราชการท้องถิ่น ที่จะมีอำนาจในการจัดการดังกล่าว แต่สืบก็พยายามอย่างหนัก วิ่งหาผู้ใหญ่ วิ่งหาข้าราชการที่เกี่ยวข้องคนนั้นคนนี้ตลอดเวลา ชี้แจงให้ทุกคนเห็นความสำคัญของแนวความคิดนี้ เพื่อรักษาป่าที่ดีที่สุดผืนนี้ให้ได้
   
แต่ดูเหมือนจะมีเพียงความนิ่งเงียบในระบบราชการไทย ทุกครั้งผู้ใหญ่ในกรมป่าไม้ได้แต่พูดว่า "เอาเลยสืบ คุณทำโครงการมา" แล้วทุกอย่างก็หายเงียบ 
(คลิกดูภาพใหญ่)     เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๓ รัฐมนตรีคนหนึ่งได้ไปตรวจพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี ได้รับการบอกเล่าจากบริษัททำไม้ชื่อดังแห่งหนึ่งว่า มีการลักลอบตัดไม้ในห้วยขาแข้ง สืบรู้ดีว่าเป็นการกลั่นแกล้งเขา สืบถูกรัฐมนตรีผู้นั้นเรียกพบที่กรุงเทพฯ เขาเตรียมข้อมูลอย่างดี เพื่อชี้แจงว่าเป็นการทำไม้นอกเขตห้วยขาแข้ง และชาวบ้านแอบไปตัด โดยมีผู้ใหญ่จากอำเภอลานสักหนุนหลัง สืบพยายามที่จะอธิบายถึงปัญหาอันยุ่งยากที่เขา และลูกน้องต้องประสบ แต่เขาไม่มีโอกาสชี้แจง เพียงแต่ได้รับคำบอกสั้น ๆ ว่า "คุณต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมอีก"
   
สืบโกรธมาก และตอบกลับไปว่า "ผมทำงานหนักกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว นอกจากว่าท่านจะยืดเวลาหนึ่งวันให้ยาวไปกว่านี้ และผมไม่อาจบอกคนของผมให้ทำงานหนักกว่านี้ได้อีกแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาพวกเขาแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย"
   
สืบกลับออกมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งและถูกกดดัน เขาบอกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำให้เขาเชื่อมั่นว่า ความพยายามแทบเป็นแทบตายของเขานั้น ไม่ได้รับการตอบสนองจากใครทั้งสิ้น เขารู้สึกสิ้นหวังกับระบบราชการ เขาไม่ได้ภูมิใจกับการเป็นข้าราชการอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาไม่อาจจะทำอะไรให้มากกว่านี้แล้ว
(คลิกดูภาพใหญ่)     เขาบอกคนใกล้ชิดว่า "ทีนี้ผมแน่ใจแล้วว่า ผมกำลังต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ผมไม่อาจจะคาดหวังจากใครได้อีกต่อไป"
   
ภายหลังเหตุการณ์ในวันนั้น โด่ง น้องชายของเขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของพี่ชายว่า 
   
"ตั้งแต่วันนั้นแกเสียใจมาก ปรกติเวลากลับบ้านแกจะมากินข้าวด้วยกัน แต่ระยะหลังไม่กินอะไรเลย แกซื้อมาม่าเป็นโหล สามมื้อกินแต่มาม่าเหมือนอยู่ในป่า กำลังใจไม่ค่อยมี ดูแกเครียดมาก ผอมลงไปเยอะ มีครั้งหนึ่งแกเอามีดทิ่มทะลุโต๊ะเสียงดัง แล้วบ่นว่า ทำอะไรมันไม่ได้ ก่อนตายก็พูดว่า โด่ง พี่ไม่ไหวแล้ว"
   
หนึ่งอาทิตย์ก่อนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จับพรานล่าสัตว์ได้ของกลางจำนวนมาก มีหัวค่างหลายหัว พร้อมปลอกกระสุนที่ใช้ล่า เมื่อเจ้าหน้าที่นำซากสัตว์เหล่านี้มาที่สำนักงานเขตฯ สืบลงมาดูด้วยความเครียดสุดขีด เพราะก่อนหน้านี้ลูกน้องของเขาคนหนึ่ง ที่เขานางนำออกไปลาดตระเวนตามคำสั่งของเขา ก็ถูกลอบยิงที่ลำห้วยขาแข้ง สืบโมโหมากถึงกับตะโกนออกไปว่า
   
"ถ้ามึงจะยิงลูกน้องกู มึงมายิงกูดีกว่า"
   
เช้าวันที่ ๓๑ สิงหาคม สืบ นาคะเสถียร อยู่ในชุดกางเกงสีครีม สวมเสื้อสีส้มอ่อน ๆ เดินขึ้นไปบนสำนักงาน เขียนหนังสือและครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จนกระทั่งตกบ่าย สืบเริ่มเอาสิ่งของที่เคยยืมมาไปคืนเจ้าของ ประมาณห้าโมงเย็น สืบเดินมาชวนลูกน้องคนสนิทสองสามคนนั่งกินเหล้า หนึ่งในนั้นคือจิตประพันธ์ กฤตาคม หรือหม่อง ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับสืบ หม่องถ่ายทอดบรรยากาศขณะนั้นให้ฟังว่า
(คลิกดูภาพใหญ่)     "มาถึงแกก็บอกว่าเอาเหล้ามากินกัน กินไปคุยไปจนประมาณสองทุ่มแกบอกให้พี่ยงยุทธ วิทยุไปที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่าจะไม่ไปแล้ว จะส่งวิดีโอไปให้แทน จนประมาณห้าทุ่มผมก็ขอแยกตัวไปเข้าเวร สักประมาณครึ่งชั่วโมง พี่สืบก็เดินตามออกมาขอบุหรี่สูบ และนั่งคุยกับยามถามทุกข์สุข ซึ่งก็แปลก เพราะยามคนนี้ทำงานมานานแล้ว แต่แกถามเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน คุยได้ไม่นานแกก็บอกว่า เดี๋ยวพี่กลับไปบ้าน ผมอาสาจะไปส่ง แกบอกไม่ต้อง แล้วหันมายิ้มเหมือนกับคนที่มีความสุขที่สุด พร้อมกับยกมือขึ้นแล้วบอกว่า หม่อง พี่ไปแล้วนะ"
   
ประมาณตีสี่ของวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๓ ยามในห้วยขาแข้งได้ยินเสียงปืนนัดหนึ่ง แต่ไม่ได้คิดอะไร ในป่าแห่งนี้เสียงปืนเป็นเรื่องธรรมดา จนประมาณสิบโมงเช้า เจ้าหน้าที่เริ่มแปลกใจว่าหัวหน้าสืบยังไม่ลงมากินข้าว หม่องจึงอาสาเดินไปตาม เมื่อไขกุญแจบ้านเข้าไป เขาพบร่างที่ไร้ลมหายใจของหัวหน้าสืบอยู่บนเตียง มีแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนข้อความไว้ว่า 
   
"ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเอง โดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้น"
ลงชื่อ สืบ นาคะเสถียร ผู้ตาย

(คลิกดูภาพใหญ่) (นายสืบ นาคะเสถียร)

    สืบรู้ตัวดีว่า สักวันหนึ่งเขาอาจจะถูกยิงตาย จากการบงการของผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย 
   
สืบรู้ตัวดีว่า สักวันหนึ่งลูกน้องของเขาซึ่งเขาเป็นคนส่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ ต้องถูกยิงตายอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีใครสนใจ สืบไม่ใช่คนกลัวตาย แต่ทนไม่ได้ที่ลูกน้องเขาต้องตายไปต่อหน้า โดยที่เขาไม่อาจทำอะไรได้
   
สืบมีความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้สัตว์ป่า และป่าไม้ในป่าห้วยขาแข้งอยู่รอด
   
เมื่อความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อห้วยขาแข้ง ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ จากระบบราชการ และผู้มีอำนาจในเมืองไทย ที่ไม่เคยสนใจปัญหาการทำลายธรรมชาติอย่างจริงจัง
   
เขาเคยปรึกษาแม่ว่าจะลาออก และไปบวช แต่เขาก็ไม่ลาออก การลาออกเป็นการทรยศต่อตัวเอง ทรยศต่อห้วยขาแข้ง และทรยศต่อลูกทีมของเขา
   
แต่การมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่สามารถทำให้ความมุ่งมั่น ความเชื่อของเขาเป็นจริงได้ 
   
สืบ นาคะเสถียร เป็นคนไม่เคยทรยศต่อหลักการ และความมุ่งมั่นของตัวเอง 
   
บางทีการตั้งใจฆ่าตัวตายอาจเป็นเพียงหนทางเดียว ที่ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้ 


(คลิกดูภาพใหญ่) กอบกิจ นาคะเสถียร 
น้องชาย

    "พี่สืบเป็นคนที่มีความจริงใจ มีความซื่อสัตย์เหมือนพ่อ แกบอกว่าได้เจอสิ่งที่ชอบที่สุดแล้ว
   
คือการได้ทำงานที่ห้วยขาแข้ง แต่ตอนหลังชักแปลก ๆ บอกว่าปัญหาเยอะมาก ทำอะไรไม่ค่อยได้ มีงบประมาณน้อย มิหนำซ้ำทางการยังไม่สนใจที่จะมาดูแล ลูกน้องแกถูกยิงบ่อยขึ้น แกจับพวกตัดไม้ส่งโรงพัก ตำรวจก็ปล่อย เพราะตำรวจนั่นแหละค้าด้วย พี่สืบเริ่มถูกตามล่า โดนหมายหัว เวลาเข้าป่าแกจะไม่บอกพรานว่านอนตรงไหน กลัวถูกลอบทำร้าย เพราะไปจับเขาไว้เยอะ พี่สืบคิดว่าแกคงจะตายก่อนงานสำเร็จ จึงเริ่มเขียนเรื่องคุณค่าของป่าห้วยขาแข้ง เสนอต่อยูเนสโกเพื่อพิจารณาให้เป็นมรดกโลก อดตาหลับขับตานอนหลายเดือนกว่าจะสำเร็จ แล้วหอบแฟ้มหลักฐานการตัดไม้ทำลายป่า กับชื่อบุคคลเข้าพบรัฐมนตรีคนหนึ่ง แกเสียใจมากที่รัฐมนตรีไม่ดูแฟ้มที่เตรียมไปอย่างดี กลับบอกพี่สืบว่า คุณทำไม่ได้ก็ให้คนอื่นทำไป
   
"ช่วงหลังแกเครียดมาก ข้าวปลาไม่ค่อยกิน ร่างกายซูบผอม กลับมาบ้านก็ปิดประตูนั่งทำงานอย่างเดียว ใครเชิญไปพูดไปอภิปรายที่ไหนก็ไม่ไป เพราะกลัวทำงานไม่เสร็จ ก่อนจะถึงวันที่ ๑ กันยายนที่แกตั้งใจไว้ บางทีกลับมาบ้านได้สองวัน มีโทรศัพท์มาจากป่าว่าลูกน้องถูกยิง แกก็รีบออกไป แกไม่เคยเล่าปัญหาให้ฟัง แต่บางวันก็บ่นว่าทำไม่ได้ดังใจ แล้วเอามีดปักโต๊ะ ตะโกนว่า ทำอะไรมันไม่ได้ บางทีก็ชกมุ้งลวดทะลุ แล้วพูดว่า พี่ทำอะไรไม่ได้ ตอนหลังพอทำเรื่องมรดกโลกเสร็จ แกก็โอนเงินของแกซึ่งมีอยู่ไม่กี่พันบาทให้เป็นชื่อคนอื่น 
   
"ก่อนตายวันเดียวพี่สืบบอกกับผมว่า โด่ง พี่ไม่ไหวแล้ว แล้วก็เขียนจดหมายบอกผมว่า โด่งถ้ามีอะไรให้มอบของสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้คนนั้นคนนี้นะ แล้วแกก็ไปห้วยขาแข้งอยู่ที่นั่นหนึ่งคืน วันที่ ๑ กันยายน ตอนบ่ายสองโมงมีโทรศัพท์ มาบอกว่าพี่สืบเสียแล้ว ผมรู้ว่าสิ่งที่นึกสังหรณ์นั้นเป็นจริง ผมคิดว่าจะบอกพ่อแม่อย่างไรดี ยังไม่บอกแม่ในตอนแรกเพราะกลัวแม่ช็อก เลยโทรไปบอกพ่อก่อน พ่อเสียใจมาก เพราะปืนที่พี่สืบใช้ยิงตัวตายนั้น เป็นปืนที่พ่อยกให้ 
   
"ทำไมถึงเป็นวันที่ ๑ กันยายน ... พี่สืบเป็นคนชอบดูดวงนะ หมอดูเคยบอกว่าแกชะตาขาดตั้งนานแล้ว"


(คลิกดูภาพใหญ่) วีรวัธน์ ธีระประสาธน์ 
อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-นเรศวร เพื่อนสนิท

    "ครั้งหนึ่ง เราลงไปเก็บข้อมูลทางด้านชุมชนที่แม่จันทะ สืบเขาพกเครื่องเล่นเทปเครื่องเล็ก ๆ ไปด้วย ผมไม่รู้ว่าเขาอัดเทปเพลงกะเหรี่ยงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตกกลางคืนเขาก็เปิดเทป บอกว่าฟังแล้วสงสารเขา รู้สึกว่าเพลงกะเหรี่ยงนั้นเศร้า เหมือนว่าเขากำลังเรียกร้อง กำลังอยากให้เราสนใจเขา ผมก็บอกว่าเพลงกะเหรี่ยงไม่ได้เป็นเพลงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัว แต่เป็นเรื่องเล่าถึงความลำบากของชุมชน ของบรรพบุรุษในการก่อร่างสร้างตัว ท่วงทำนองมันก็ดูเศร้า ๆ เขาก็บอกว่า อื้ม มันแปลกดี น่าศึกษา ผมคิดว่าถ้าสืบยังมีชีวิตอยู่ เขาจะมีมิติเกี่ยวกับเรื่องชุมชนเรื่องสังคมสูง เพราะสืบมีพัฒนาการมาตลอด ดูได้จากตอนที่ไปอพยพสัตว์ป่าที่เขื่อนเชี่ยวหลานนั้น เขายังสนใจงานวิชาการล้วน ๆ แต่พอมาเห็นปัญหาที่เขื่อนน้ำโจน เขาพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นนักอนุรักษ์ได้ หลังจากเขื่อนน้ำโจน สืบก็ปรับตัวเองเป็นนักอนุรักษ์ที่มีมิติทางวิชาการ เขาเปิดตัวต่อสาธารณะมากขึ้น ไม่ได้เก็บตัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว คนเริ่มรู้จักสืบมากขึ้น งานที่เขาทำกับผมในช่วงหลัง ๆ นี่ก็จะเป็นเรื่องอนุรักษ์ เป็นงานเคลื่อนไหว แล้วผมก็ยังเชื่อว่าเขามีมิติทางสังคมสูงด้วย 
    "ทำไมสืบถึงยิงตัวตาย... ประการแรก ผมมองว่าเขาเป็นคนที่เครียดกับงาน ทำอะไรต้องทำให้สุด ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่เป็น ประการที่ ๒ สืบเป็นคนที่รับงานทุกอย่างไม่เคยปฏิเสธ หลายครั้งที่เขามาบ่นกับผมว่างานเยอะ ทำไม่ทัน แต่พอมีคนให้งานก็รับทุกที เช่นผู้ใหญ่จะไปประชุมต่างประเทศ ก็สั่งให้เขาเขียนเปเปอร์ให้ ผมรู้สึกว่านี่เป็นจุดอ่อน เขาเอาทุกอย่างมาสุมที่ตัว ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ทำให้ตัวเองต้องรับภาระ ประการที่ ๓ คือ นักเคลื่อนไหวทุกคน จะมีมิติทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่การที่สืบมาเป็นนักเคลื่อนไหวในช่วงสั้น ๆ ทำให้เขาแยกไม่ออก ระหว่างความผิดของตัวเอง กับความผิดของคนอื่น ฉะนั้นเมื่อทำงานที่ห้วยขาแข้งไม่สำเร็จ ก็โทษตัวเอง สืบเคยเข้าพบผู้ใหญ่เพื่อปรึกษา เรื่องการลักลอบทำไม้ในห้วยขาแข้ง แต่ผู้ใหญ่ไม่สนใจกลับโยนแฟ้มคืนให้เขา ยิ่งทำให้เขาคิดมาก สรุปแล้วผมเชื่อว่าเป็นเรื่องงาน ที่เขาตั้งความหวังไว้สูง กับเจอปัญหาในพื้นที่ซึ่งมีปัญหาการเมืองอยู่ด้วย แต่ตัวเองเอามาคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ทำงานไม่สำเร็จ 
    "ถ้าสืบยังมีชีวิตอยู่ เขาจะอึดอัดกับระบบราชการ ผมคิดว่าเขาคงจะลาออกมาทำงานวิชาการ อาจจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งเขาจะทำอะไรได้เยอะ เพราะว่าทุกวันนี้เราขาดนักวิชาการ ที่ยืนอยู่ข้างประชาชน ข้างความถูกต้อง สืบเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงออก ผมยังนึกยกย่องอธิบดีไพโรจน์ สุวรรณกร ที่ให้เรามีอิสระมากในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเห็นได้ชัดตอนที่ข้าราชการหลายคนออกมาคัดค้านการสร้างเขื่อนน้ำโจน ถึงแม้โดยระบบราชการจะไม่อนุญาต ให้แสดงความคิดเห็นอย่างชัดเจน แต่ถือว่าได้รับความกรุณา บรรยากาศแบบนั้นในตอนนี้ไม่มีแล้ว ขืนคุณออกไปแสดงความคิดเห็นอะไรสิ โดนแน่"


(คลิกดูภาพใหญ่) รตยา จันทรเฑียร 
ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร

    "สถานการณ์ของสัตว์ป่าในห้วยขาแข้งระยะเจ็ดแปดปี ภายหลังการตายของคุณสืบ เท่าที่มูลนิธิฯ ติดตามจากงานวิจัย การสำรวจ และการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ เราพบว่าปริมาณของสัตว์ป่าไม่ได้ลดลง ดูจะเพิ่มปริมาณขึ้น ๑๐-๑๕ เปอร์เซ็นต์ 
   
แต่ปี ๒๕๔๓ ไม่สามารถตอบได้ว่าปริมาณสัตว์ป่ามันมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร 
   
ก่อนหน้านี้มูลนิธิฯ กับเขตฯ มีความสัมพันธ์ในเชิงที่เป็นแนวร่วมเป็นมิตรกัน ทางมูลนิธิฯ ส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำอยู่ที่อนุสรณ์สถาน เพื่อช่วยทางเขตเวลาที่มีประชาชนเข้าไปในห้วยขาแข้ง ก็ช่วยเผยแพร่ความรู้อะไรต่าง ๆ ช่วยให้คนมีความเข้าใจ ในเรื่องคุณค่าของทั้งผืนป่า ว่ามีคุณค่าต่อชีวิตเราอย่างไร แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์เป็นแบบทางการ อาจเป็นวิธีบริหารงานของหัวหน้าเขตฯ คนปัจจุบันก็ได้ ขณะนี้ทางมูลนิธิฯ ได้ถอนเจ้าหน้าที่ออกจากอนุสรณ์สถานแล้ว เราจึงไม่มีข้อมูลพอที่จะบอกได้ว่า ปริมาณสัตว์ป่าในห้วยขาแข้งในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร
   
"คุณสืบเป็นคนจุดประกายเรื่องป่าตะวันตก เราพบเรื่องนี้ในเอกสารของคุณสืบ ที่นำเสนอให้ป่าห้วยขาแข้งเป็นเป็นมรดกโลก มีเอกสารลายมือคุณสืบ ที่เขียนเป็นภาพร่างของผืนป่าตะวันตกว่า ขอบเขตควรจะอยู่ที่ไหนอย่างไร ซึ่งก็คือขอบเขตปัจจุบันที่ทางมูลนิธิฯ กับกรมป่าไม้ กำลังพยายามรักษาผืนป่าตะวันตกไว้ให้ได้ โดยให้ประชาชนที่อยู่ใน หกจังหวัดที่ตั้งอยู่ในเขตผืนป่าตะวันตก ได้มีส่วนร่วมเป็นองค์กรอนุรักษ์ผืนป่าตะวันตก มูลนิธิฯ เชื่อว่าลำพังกรมป่าไม้องค์กรเดียว คงจะรักษาป่าไว้ไม่ได้ เราเห็นว่าผู้ที่จะเป็นกำลังสำคัญก็คือ องค์กรประชาชนในแต่ละจังหวัด และนักวิชาการ ซึ่งน่าที่จะเข้ามามีส่วนในการรักษาผืนป่าไว้ ในขณะเดียวกันป่าข้างนอก หรือที่ดินข้างนอกก็จะต้องมีการดูแลจัดการด้วย 

(คลิกดูภาพใหญ่)     "สถานการณ์ป่าโดยรวม จากการแปรภาพถ่ายดาวเทียม พบว่าพื้นที่ป่าลดน้อยลงเป็นลำดับ เมื่อปี ๒๕๔๑ พื้นที่ป่าไม้เหลืออยู่ประมาณ ๘๑ ล้านไร่ เฉพาะปี ๒๕๓๘-๒๕๔๑ พื้นที่ป่าไม้ลดลงล้านกว่าไร่ เฉลี่ยปีละ ๕ แสนไร่ แม้อัตราการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ จะลดลงน้อยกว่าเดิม แต่ในเชิงคุณภาพแล้ว ป่าหลายแห่งขาดศักยภาพของความเป็นป่า เป็นเพียงพื้นที่สีเขียว ขาดความเหมาะสมที่สัตว์ป่าจะดำรงชีวิตอยู่ การรักษาป่าให้อยู่ได้ ต้องรักษาเป็นกลุ่มป่า อาทิ ผืนป่าตะวันตก ก็คือผืนป่าต่อเนื่องเป็นผืนใหญ่ถึง ๑๑.๗ ล้านไร่ กลุ่มป่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มป่าภาคตะวันออก ป่ารอยต่อห้าจังหวัด กลุ่มป่าภาคใต้ 
    "การทำงานของมูลนิธิสืบนาคะเสถียรตลอด ๑๐ ปีที่ผ่านมา อย่างแรก เราพยายามทำให้พื้นที่ตรงที่คุณสืบเสียสละชีวิต เป็นสถานที่เมื่อคนเข้าไปแล้ว ได้เข้าใจความคิดของคุณสืบ จึงได้สร้างรูปปั้นของคุณสืบ และอนุสรณ์สถานเอาไว้ใช้ประโยชน์เป็นห้องประชุม เป็นที่สำหรับจัดนิทรรศการ รักษาบ้านที่คุณสืบเสียชีวิตไว้ นอกจากนี้ยังร่วมจัดการอบรมผู้พิทักษ์ป่า เจ้าหน้าที่ ลูกจ้างป่ารายวัน ให้พวกเขาได้รู้ถึงคุณค่าของป่า ต่อมาก็พยายามสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าทั้งผืน ซึ่งหมายถึงผืนป่าตะวันตกทั้งหมด ๑๑.๗ ล้านไร่ 
(คลิกดูภาพใหญ่)     แทนที่จะเป็นแต่เฉพาะทุ่งใหญ่ห้วยขาแข้ง 
   
"ส่วนที่ ๒ ก็เป็นงานเรื่องการสร้างจิตสำนึก ซึ่งมีตั้งแต่การจัดอบรม
   
จัดให้เผยแพร่ ให้ความรู้ หาแนวร่วมต่าง ๆ 
   
"งานส่วนที่ ๓ เป็นงานเฝ้าระวังสิ่งที่จะทำให้ผืนป่าถูกทำลายโดยตรงและโดยอ้อม มูลนิธิฯ พยายามที่จะนำเรื่องราวเหล่านั้นออกมาเผยแพร่ให้สังคมได้รับรู้ เป็นต้นว่าเรื่องโครงการสร้างเขื่อนที่ป่าแม่วง อุทยานแห่งชาติแม่วง ซึ่งจะเป็นการทำลายสัตว์ป่า ที่อยู่ของสัตว์ป่า ความหลากหลายทางชีวภาพ และโครงการที่จะตัดถนนผ่านเข้าไปในป่าอนุรักษ์ อันเป็นช่องทางให้มีการบุกรุกตามเข้าไปด้วย
   
"งานอีกส่วนหนึ่งเป็นงานเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ รวมทั้งประสิทธิภาพ ให้แก่คนรักษาป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า อุทยานแห่งชาติ คนร้อยคนที่ทำหน้าที่ดูแลพื้นที่แต่ละแห่งมีเพียงประมาณ ๑๐ คนเท่านั้นที่เป็นข้าราชการ ที่เหลือ ๙๐ คนเป็นลูกจ้างชั่วคราว เขาไม่มีรายได้อื่นนอกจากค่าจ้างรายวัน ทางมูลนิธิฯ ก็สืบสานความคิดของคุณสืบ จัดกองทุนผู้พิทักษ์สัตว์ป่า ถ้าหากว่าบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ทางมูลนิธิฯ ก็ดูแลลูกของเขาให้ อย่างตอนนี้มูลนิธิฯ ก็ให้การอุปถัมภ์ลูก ๆ ของผู้พิทักษ์ป่าอยู่ ๑๙ คน จากเดิมมี ๒๑ คน จบการศึกษาไป ๒ คน แต่ถ้าผู้ตายไม่มีลูก เราก็มอบเงินให้แก่ครอบครัวเขา" 
 

 สนับสนุน หรือ คัดค้าน
"โพล" (การเมือง) : เครื่องมืออันตราย ?

ไลเคน ตะไคร่ อันตรายต่อโบราณสถาน (ประเภทหิน) จริงหรือ ?
สารบัญ | จากบรรณาธิการ | รำลึก ๑๐ ปีการจากไปของ สืบ นาคะเสถียร | เคียงข้างนักปั่นขาเดียว | ช้างป่าและชาวไร่กุยบุรี การเผชิญหน้าที่ยังไม่ยุติ | ที่ปรึกษาหัวขโมย | จินตนาการในวัยชรา | จอห์นวูกับเส้นทางสู่ฮอลลีวูด (๒) ความยืดหยุ่นยุคหลังฟอร์ด | ครัวสมัยหิน

สำนักพิมพ์ สารคดี | สำนักพิมพ์ เมืองโบราณ | วารสาร เมืองโบราณ | นิตยสาร สารคดี
[ วิริยะบุคส์ | มีอะไรใหม่ | เช่าสไลด์ | ๑๐๘ ซองคำถาม | สมาชิก/สั่งซื้อหนังสือ | WallPaper ]
ขึ้นข้างบน (Back to Top) นิตยสาร สารคดี (Latest issue) E-mail