ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเอง โดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้น
กระดาษอีกแผ่นหนึ่งมีข้อความว่า ยงยุทธ ถุงกอล์ฟ รองเท้ากอล์ฟ กล่องของของน้ำฝน กระเป๋าเอกสาร กล่องใส่เอกสาร หลักฐานต่าง ๆ กระเป๋ากุญแจบ้าน...กุญแจรถ กระเป๋าดำสารคดี ขอให้คุณยงยุทธนำคืนพร้อมรถโฟล์กให้แก่พ่อของผมด้วย โดยติดต่อ คุณสลับ นาคะเสถียร ๑๗ หมู่ ๑๒ ถนนปราจีนอนุสรณ์ ต. ท่างาม อ. เมือง จ. ปราจีนบุรี โทร. ป.จ. ๐๓๗-๒๑๑๔๘๓ (ทุกเวลา)
กระดาษอีกแผ่นหนึ่งมีข้อความว่า
ยงยุทธ ถุงกอล์ฟ รองเท้ากอล์ฟ กล่องของของน้ำฝน กระเป๋าเอกสาร กล่องใส่เอกสาร หลักฐานต่าง ๆ กระเป๋ากุญแจบ้าน...กุญแจรถ กระเป๋าดำสารคดี ขอให้คุณยงยุทธนำคืนพร้อมรถโฟล์กให้แก่พ่อของผมด้วย โดยติดต่อ คุณสลับ นาคะเสถียร ๑๗ หมู่ ๑๒ ถนนปราจีนอนุสรณ์ ต. ท่างาม อ. เมือง จ. ปราจีนบุรี โทร. ป.จ. ๐๓๗-๒๑๑๔๘๓ (ทุกเวลา)
สืบ นาคะเสถียร มีบ้านพักอยู่ในย่านฝั่งธน เป็นบ้านไม้เก่าแก่ของตระกูลที่เขาพักอาศัยอยู่กับน้องชาย บนฝาผนังบ้านมีภาพถ่ายพ่อสมัยเป็นนายอำเภอหนุ่ม ถ่ายกับซากเสือโคร่งที่ลงมากินชาวบ้านเมื่อประมาณ ๔๐ ปีก่อน และยังมีเขาละองละมั่งคู่หนึ่ง อันเป็นสัตว์ป่าสงวนที่สูญพันธุ์ไปจากเมืองไทยนานแล้ว เป็นเขาสัตว์เก่าแก่ที่นายพรานสมัยนั้นล่าได้ และเป็นสมบัติตกทอดมาถึงคนรุ่นปัจจุบัน สืบ นาคะเสถียร เคยพูดให้เพื่อนฟังว่า "เราทุกคนล้วนเคยทำความผิดมาก่อน" ในวัยเด็ก สืบก็เป็นนักยิงนกตัวยงคนหนึ่ง สืบเป็นคนเมืองปราจีนบุรี มีนามเดิมว่า สืบยศ นาคะเสถียร เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๘๒ เป็นลูกชายคนโตในจำนวนพี่น้องสามคน ตระกูลของแม่มีอาชีพทำนา และเก็บค่าเช่านา สืบเคยเล่าถึงชีวิตในวัยเด็กให้ฟังว่า "สมัยเด็ก ๆ แม่สอนผมทุกอย่าง แม่ยังคิดว่าจะเป็นลูกผู้หญิง ผมเย็บจักรได้ ผมทำกับข้าวเป็น ตื่นเช้าผมจะต้องถูบ้าน ต้องหุงข้าว ใส่บาตรก่อนไปโรงเรียน กลับมาบ้านผมจะต้องไปเก็บกวาด แม่สอนผมทุกอย่าง" บางครั้งสืบยังต้องช่วยแม่ทำนา ยามว่างมักชวนเพื่อน ไปเที่ยวยิงนกตกปลา ตามประสาเด็กบ้านนอก โดยมีไม้ง่ามหนังสติ๊กเป็นเพื่อนคู่ใจ สืบได้รับการศึกษาชั้นประถมต้นในโรงเรียนประจำจังหวัด พอจบชั้นประถมสี่สืบก็ย้ายจากปราจีนบุรีไปเรียนต่อที่โรงเรียนเซ็นต์หลุยส์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เพราะพ่ออยากให้ลูกชายได้เรียนในโรงเรียนดี ๆ นับเป็นการจากบ้านเป็นครั้งแรก เขาเริ่มรับผิดชอบตัวเอง มีผลการเรียนที่ดี ชอบวาดรูปและเล่นดนตรีเก่งจนได้เป็นนักทรัมเป็ตมือหนึ่งของวงดุริยางค์ประจำโรงเรียน พอปิดเทอมสืบก็นั่งรถไฟกลับบ้าน เอารูปที่ตัวเองวาดไปอวดพ่อแม่ บางครั้งสืบจะไปช่วยแม่ยกคันนา เพราะชาวบ้านข้างเคียงไถนาเข้ามาในที่นาของแม่จนที่นาเว้าเข้ามา สืบกับแม่ช่วยกันยกคันนาท่ามกลางแดดแผดกล้า ทำให้เขารู้รสชาติความยากลำบากของชาวนามาตั้งแต่เยาว์วัย แม้บางครั้งสืบและน้องชายจะเกเรไม่ยอมทำงาน แต่พอเห็นแม่ทำงานคนเดียวสองพี่น้องก็ละอายใจ
เมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเซ็นหลุยส์ สืบตั้งใจสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรม ตามประสาคนชอบวาดรูป เคยวาดการ์ตูนเป็นเล่มให้เพื่อนนักเรียนอ่านกัน เล่าลือกันว่าฝีมือลายเส้นเฉียบขาดมาก แต่สุดท้ายเขาสอบติดคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สืบเล่าให้ฟังว่า "ตอนแรกผมไม่อยากเรียนวนศาสตร์ ผมไม่อยากเป็นป่าไม้ เพราะผมไม่ชอบป่าไม้ แต่ผมเลือกไปอย่างนั้นเอง ผมเลือกอันดับ ๕ พอผมติด ผมบอกแม่ว่า ผมไปเรียนดีกว่านะ อายุมันก็มากแล้ว รอปีหน้าก็ไม่รู้จะสอบสถาปัตย์ได้รึเปล่า ถ้าปีหน้าสอบไม่ได้อีกก็แย่ ต้องเกาะแม่กินไปเรื่อย ๆ" นพรัตน์ นาคสถิตย์ เพื่อนสนิทร่วมรุ่น วน. ๓๕ ได้ถ่ายทอดชีวิตสมัยเป็นนักศึกษาให้ฟังว่า "สืบเรียนหนังสือเก่ง เป็นคนตัวสูงกว่าเพื่อน แต่เวลานั่งฟังเล็กเชอร์มักไปนั่งข้างหน้าห้อง ชอบจดงานลงสมุดอย่างละเอียดเป็นระเบียบเรียบร้อย บางทีก็วาดรูปประกอบด้วย ตอนอยู่ปี ๔ ผมเคยพักห้องเดียวกัน มีเพื่อนอยู่ด้วยกันสามสี่คน ทุกวันกลับจากกินข้าวเย็นพวกเราก็นั่งคุยกันเฮฮา แต่สืบจะอ่านหนังสือทุกวัน อ่านจนกระทั่งพวกเราต้องเงียบเสียงกันไปเอง จนพวกเราเข้านอนแล้วก็ยังเห็นสืบอ่านหนังสืออยู่ เขาเป็นคนทำอะไรจริงจัง ขนาดเวลาเล่นฟุตบอลก็เล่นแบบจริงจังในตำแหน่งแบ็ก ยากที่พวกเราจะพาลูกผ่านไปได้ เพราะขายาว ๆ มารบกวน และสืบว่ายน้ำเก่งมากจนได้เป็นนักกีฬาโปโลน้ำของมหาวิทยาลัยด้วย" สลับ นาคะเสถียร พ่อของสืบ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่ดังคนหนึ่งในสมัยนั้น แต่สืบไม่เคยบอกใครเลย เพราะไม่ต้องการ อภิสิทธิ์ใด ๆ แม้กระทั่งการเกณฑ์ทหาร สืบก็ไม่ได้บอกสัสดีจังหวัดเลยว่าเขาเป็นลูกผู้ว่าฯ
สืบทำงานที่เขตภูเขียวฯ ได้พักหนึ่ง ก็สอบชิงทุนของบริติชเคาน์ซิลไปเรียนปริญญาโทด้านอนุรักษ์วิทยา ที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นเวลาหนึ่งปี แล้วกลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบางพระ แต่ทำได้ไม่นานก็ขอย้ายตัวเองมาทำงานวิชาการในกองอนุรักษ์สัตว์ป่า เพราะเสียดายความรู้ที่เรียนมา และรู้สึกว่างานวิจัยเป็นงานที่ตัวเองสนใจมากที่สุด สืบให้สัมภาษณ์ว่า "ผมสนใจงานวิจัยมากกว่าที่จะไปวิ่งจับคน เพราะว่าจับได้แค่ตัวเล็ก ๆ ตัวใหญ่ ๆจับไม่ได้ ก็เลยอึดอัดว่า กฎหมายบ้านเมืองนี้มันใช้ไม่ได้กับทุกคน มันเหมือนกับว่าเราไม่ยุติธรรม เรารังแกชาวบ้านในความรู้สึกของเขา เหมือนกับไม่ได้ให้ความยุติธรรมแก่คนในสังคม ในฐานะที่ผมมีหน้าที่ที่ต้องรักษาป่า ผมก็เลยขอไปทำงานทางด้านวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ป่าแทน" ดูเหมือนว่างานวิชาการเป็นสิ่งที่เขาชอบและมีความสุขที่จะทำมากที่สุด งานนี้เหมาะกับอุปนิสัยส่วนตัว ที่เป็นคนช่างสังเกต ชอบจดบันทึก สเกตช์รูป ถ่ายรูป ซึ่งทำให้งานวิจัยสัตว์ป่าของเขามีคุณค่ามากขึ้น สไลด์ภาพสัตว์ป่าหายากไม่ว่าจะเป็นกวางผา เลียงผา นกกระสาคอขาวปากแดง ไปจนถึงภาพการบุกรุกทำลายป่าทุกรูปแบบ รวมไปถึงภาพจากวิดีโอหลายสิบม้วนที่สืบลงทุนแบกเข้าไปถ่ายในป่าเอง และหิ้วเทปมาเช่าห้องตัดต่อเองในกรุงเทพฯ ข้อมูลทุกชิ้นถูกจัดใส่แฟ้มเป็นหมวดหมู่เรียบร้อย และไม่เคยปฏิเสธเลยเมื่อมีคนขอภาพถ่ายไปเผยแพร่ คุณเอิบ เชิงสะอาด เพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งเคยพูดว่า "สืบเหมาะจะเป็นนักวิชาการ แต่ไม่เหมาะจะทำงานคุมกำลัง เพราะงานปราบปรามบางอย่างอาจจะยอมได้ แต่สืบเป็นคนไม่ยอมคน"
ในปี ๒๕๒๙ ได้มีโครงการใหม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี คือโครงการอพยพสัตว์ป่าที่กำลังจะถูกน้ำท่วม อันเป็นผลมาจากการก่อสร้างเขื่อนเชี่ยวหลาน ทำให้ป่าดงดิบผืนใหญ่ อันเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขาสก และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง จำนวนแสนกว่าไร่ ต้องจมน้ำกลายเป็นทะเลสาบ ความลึกเกือบ ๑๐๐ เมตร บริเวณที่เคยเป็นเนินเขา และภูเขาก็ถูกตัดขาด โผล่พ้นน้ำกลายเป็นเกาะน้อยใหญ่จำนวนถึง ๑๖๒ เกาะ ส่งผลให้มีสัตว์ป่าจำนวนมากกว่า ๓๐๐ ชนิด อาทิ เลียงผา สมเสร็จ ชะนี ค่าง เสือลายเมฆ ไก่ฟ้าหน้าเขียว นกหว้า ที่หนีน้ำไม่ทันต้องติดตามเกาะ หรือหนีน้ำขึ้นไปอยู่ตามยอดไม้ รอวันตายเพราะขาดแคลนอาหาร ภารกิจของโครงการฯ คือ อพยพสัตว์เหล่านี้ออกมาอยู่ในที่ปลอดภัย สืบ นาคะเสถียร ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากกรมป่าไม้ ให้เป็นหัวหน้าโครงการฯเล่าให้ฟังว่า "โครงการอพยพสัตว์ป่าที่นี่ถือเป็นการทำครั้งแรกในเมืองไทย เราเริ่มตั้งแต่การสำรวจสภาพป่าและสัตว์ว่ามีอยู่กี่ชนิด ไปจนถึงเตรียมการอพยพสัตว์ซึ่งไม่เคยทำกันมาก่อน แต่ก็พยายามจะทำให้ได้มากที่สุด สมมุติว่ามีสัตว์ติดอยู่บนเกาะ ๑๐๐ ตัว เราพยายามที่จะช่วยชีวิตมันไว้ทั้ง ๑๐๐ ตัว ถ้าเราไม่ช่วยมันตายแน่ ๆ...ไปไหนไม่ได้แล้ว สัตว์หลายชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ยิ่งถ้าเราไม่ช่วยมัน พวกพรานมีปืนทั้งหลายต้องถือโอกาสล่ากันสนุกมือ ...ผมเชื่อว่าเวลาสร้างเขื่อนสมัยก่อน คงมีสัตว์ที่หนีน้ำไม่ทันตายเป็นจำนวนมากแน่ ๆ" เนื่องจากเป็นครั้งแรกในประเทศไทย การช่วยชีวิตสัตว์จึงเริ่มต้นจากการคัดคนที่ใกล้ชิดกับสัตว์ ตั้งแต่สัตวบาลไปจนถึงนายพรานที่ชำนาญในการดักสัตว์ พาคนเหล่านี้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน และศึกษาว่าต่างประเทศจับสัตว์กันอย่างไร จากหนังสือและวิดีโอรายการ "ซิงเกอร์ เวิลด์" ซึ่งมีสารคดีการช่วยชีวิตสัตว์ป่าจากการสร้างเขื่อน ที่ประเทศเวเนซุเอลา
ในช่วงเวลานั้นเอง ที่จังหวัดกาญจนบุรี ได้มีโครงการก่อสร้างเขื่อนน้ำโจน ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งจะทำให้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรประมาณ ๑๔๐,๐๐๐ ไร่ ต้องจมน้ำกลายเป็นพื้นที่อ่างเก็บน้ำ และกำลังได้รับการคัดค้านจากนักอนุรักษ์ฯ นักวิชาการข้าราชการกรมป่าไม้บางส่วน และชาวเมืองกาญจนบุรี ด้วยเหตุผลว่าจะทำให้สูญเสียพื้นที่ป่าจำนวนมหาศาล และเสี่ยงต่อโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวในอนาคต ในปี ๒๕๓๐ รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะอนุมัติโครงการขนาดยักษ์แห่งนี้ ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านการสร้างเขื่อน ถูกรัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อความวุ่นวาย มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และกำลังตกเป็นรองทั้งข้อมูลและการเผยแพร่ สืบ นาคะเสถียร ซึ่งเฝ้าติดตามสถานการณ์มาเป็นเวลานาน จึงได้เข้าร่วมการต่อสู้ คัดค้านการสร้างเขื่อนน้ำโจนอย่างแข็งขัน โดยใช้บทเรียน จากการอพยพสัตว์ป่าที่เขื่อนเชี่ยวหลาน เป็นกรณีศึกษา
อ่านต่อคลิกที่นี้