ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์
นักหนังสือพิมมพ์,
คอลัมนิสต์อิสระ
โพลไม่ได้เป็นความคิดเห็น
ที่แท้จริงของคนในสังคม
เนื่องจากกระบวนการทำ
มีส่วนบิดเบือนความคิดเห็น
เสียงส่วนใหญ่ของโพล
ไม่ใช่ตัวแทนของคนทั้งสังคม
เป็นเพียงเสียงของกลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มเล็กๆ เท่านั้น
สังคมไม่ควรตัดสิน
ความดีความชั่ว
จากการฟังเสียง
ของคนส่วนใหญ่
โพลไม่จำเป็น
ต่อระบบประชาธิปไตย
และการเลือกตั้ง
มีช่องทางอื่นอีกมาก
ที่ประชาชน
จะแสดงความคิดเห็น
และวิจารณ์
การทำงานของรัฐบาลได้
|
|
"โพลส่วนใหญ่ที่ทำออกมาในปัจจุบันมักจะขาดมาตรฐาน
ความน่าเชื่อถือ
และแสดงให้เห็นว่ามีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง
บางครั้งโพลก็เป็นตัวป่วนการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะโพลของบางสำนักที่แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เช่น ในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน เราก็พอรู้บ้างว่าขณะนี้สภาพบ้านเมืองและเศรษฐกิจก็แย่แค่ไหน แต่ผลของโพลก็ยังออกมาบอกว่า ชวน หลีกภัย ได้รับความนิยมอยู่ตลอด ซึ่งฟังดูไม่ค่อยเข้าท่านัก
"ถ้าโพลได้มาตรฐานจริง ๆ ก็คิดว่ายอมรับได้ แต่ปัญหาก็คือ โพลไม่ใช่สิ่งที่เป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์
เนื่องจากมีเทคนิคหรือวิธีการนานาชนิด
ที่จะทำให้คำตอบเป็นไปตามที่ผู้ทำโพลต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนแบบสอบถาม การตั้งคำถาม เทคนิคการสุ่มตัวอย่าง จำนวนผู้สำรวจ ฯลฯ
ยิ่งถ้าโพลมีลักษณะที่พยายามชี้นำ
ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เพราะโดยหลักการโพล
น่าจะเป็นแค่ตัวสะท้อนความรู้สึกของคน ไม่ใช่ชี้นำคน
ถ้าเมื่อไหร่ที่ผู้ทำโพลคิดว่าโพลนั้นชี้นำได
้ก็แสดงว่าผู้ทำไม่มีเจตนาบริสุทธิ์แล้ว
"คนที่ทำโพลมักจะอ้างว่า
ผลของโพลเป็นตัวแทนความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่
แต่ความจริงเป็นแค่เสียงของคนที่เขาไปสำรวจ
และเขียนออกมาเป็นตัวเลขเท่านั้น ถ้าไปสำรวจคน ๑ หมื่นคน ก็เป็นเสียงของคนแค่ ๑ หมื่นคนนั้น บางครั้งตั้งประเด็นสำรวจความคิดเห็นขึ้นมาโดยใช้กลุ่มเป้าหมายแค่ ๑๐๐ คนเท่านั้นซึ่งบอกอะไรไม่ได้มากมายนัก
แต่ผู้ที่ทำโพลถือว่าคนจำนวนพันคน
หรือหมื่นคนนั้น
สามารถสะท้อนภาพและแนวโน้มของสังคมโดยรวมได้ ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ได้ ไม่ได้มีมาตรฐานว่าจะต้องเป็นไปตามโพล ไม่ว่าในประเทศไทยหรือตะวันตกก็ตาม
"โพลที่พอจะเชื่อถือได้บ้าง
ต้องทำโดยหน่วยงานที่ไม่มีผลประโยชน์ได้เสีย
กับสถานการณ์การเมืองในขณะนั้น ๆ เช่น โพลที่ทำโดยสื่อมวลชน
เนื่องจากสื่อมวลชนมีผลประโยชน์ผูกพันอยู่กับรัฐบาล
หรือพรรคการเมืองต่างๆ น้อยกว่าสถาบันอื่น ส่วนโพลที่ทำโดยสถาบันการศึกษานั้น
ถ้าทำด้วยเจตนาดี
ก็ถือว่าเหมาะสมในแง่ที่ว่าเป็นการนำเอาเทคนิคใหม่ ๆ ของตะวันตกมาใช้ ถ้าใช้โพลเป็นเครื่องมือเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่างก็ย่อมไม่ดีอย่างแน่นอน แต่โพลของสถาบันการศึกษานั้นไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก
เพราะสถาบันเหล่านี้
ก็เป็นหน่วยงานที่อยู่ในมือของอำนาจทางการเมืองเช่นกัน
"โพลไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต่อระบบประชาธิปไตย
และการเลือกตั้ง ถ้าไม่มีโพลบ้านเมืองไม่พังพินาศหรอก สมัยก่อนเราก็อยู่ได้โดยไม่ต้องมีโพล
อาจเป็นไปได้เหมือนกันที่ว่า
โพลเป็นช่องทางให้รัฐบาลได้รับฟังความคิดเห็นของประชาชน
แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกสำรวจความคิดเห็นในเรื่องไหน
ซึ่งเท่าที่ดูสำนักทำโพลในเมืองไทยในปัจจุบันค่อนข้างห่วยแตก ทั้งประเด็นที่สำรวจ วิธีการและทัศนคติในการทำโพล นอกจากนี้
หนทางที่ประชาชนจะแสดงความคิดเห็นนั้น
ก็มีอยู่ตั้งหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องอาศัยโพล ทั้งเขียนจดหมายผ่านสื่อมวลชน ยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ เดินขบวน ตั้งพรรคการเมือง ชุมนุม ฯลฯ
"ส่วนประเด็นที่ว่า
โพลทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องของการพนัน
และทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของการเลือกตั้ง คือ จับคู่เอาเฉพาะผู้สมัครที่มีโอกาสชนะหรือพรรคการเมืองใหญ่ ๆ
มาแข่งขันกัน
ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้สมัครและพรรคการเมืองที่เหลือนั้น ผมคิดว่าเป็นเพียงผลที่ตามมาภายหลัง ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ถ้าการเมืองเลวเสียอย่าง ไม่ว่าจะนำเทคนิคอะไร
ดีแค่ไหนมาใช้ก็จะถูกนำไปสู่ความเลวหมด
เพราะพื้นฐานการเมืองมันเลว เปรียบได้กับการที่เราเอาเทคนิคต่าง ๆ ของตะวันตกมาใช้ ก็ไม่สามารถทำให้เรากลายเป็นสังคมตะวันตกไปได้ เพราะพื้นฐานของเราไม่ใช่ตะวันตก ในทำนองเดียวกัน ถ้าสังคมการเมืองเลว
ต่อให้ใช้เทคนิควิธีการของคนดีมาใช้
ก็จะถูกใช้ไปในทางที่เลว เราจึงไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรจากโพลได้บ้าง
"เหตุที่สังคมไทยนิยมทำโพล
และให้ความสำคัญกับการสำรวจความคิดเห็นมากขึ้น
นั้นเป็นเพราะว่าสื่อมวลชนไม่มีข่าว
จึงเอาผลโพลมาลงตีพิมพ์
ถึงแม้ว่าในระยะหลังสื่อมวลชนส่วนใหญ่เริ่มรู้แล้วว่า
โพลของสำนักไหนมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะไม่มีข่าวขาย นอกจากนี้ ความนิยมในโพลยังเป็นเพียงการทำตามฝรั่ง ฝรั่งเขานิยมทำกันเราก็ทำ โพลจึงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าแฟชั่นธรรมดา ๆ เหมือนกับแฟชั่นเสื้อสายเดี่ยว แต่ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ หน่วยงานต่างๆ มีสิทธิจะทำโพลเช่นเดียวกับการที่ทุกคนมีสิทธิจะสวมเสื้อสายเดี่ยว
แต่ประชาชนต้องตระหนักว่า
ผลของโพลที่ออกมานั้นไม่ใช่ตัววัดความดีความชั่ว
หรือนำมาเป็นแนวทางของสังคมได้เสมอไป
และสังคมก็ไม่ควรตัดสินความดีความชั่ว
จากเสียงส่วนใหญ่ในโพล เพราะสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าดี สิ่งนั้นอาจจะชั่วก็ได้ และสิ่งไหนที่เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าชั่ว อาจเป็นสิ่งที่ดีก็ได้
"โพลไม่ได้มีอันตรายโดยตัวของมันเอง ผู้ทำก็อาจจะมีเจตนาดี ถ้าประชาชนในสังคมนั้น ๆ เป็นคนที่มีคุณภาพเพียงพอ รู้จักแยกแยะข้อมูลข่าวสาร รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ไม่ปล่อยให้อะไรมาโน้มน้าวใจได้ง่าย ๆ ผลของโพลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นปัญหา โพลก็คงทำอันตรายสังคมไม่ได้นอกจากเป็นเพียงข้อมูลธรรมดา ๆ ชิ้นหนึ่ง แต่ว่าถ้าประชาชนเป็นประเภทชอบตามกระแส ชักจูงได้ง่าย ขาดสติ
ประกอบกับการที่โพลเอง
ก็มุ่งหมายที่จะใช้ความไม่มีสติของสังคมนี้
ให้เป็นประโยชน์กับตัวโพลเอง สังคมก็จะแย่
โพลจะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้โน้มน้าวความรู้สึก
และความคิดเห็นของผู้คนได้สำเร็จ ซึ่งสังคมไทยก็ส่อว่ากำลังเป็นเช่นนั้น เห็นได้จากที่ผ่านมาเราเกิดอาการ "ฟีเวอร์" อะไรหลาย ๆ อย่างขึ้นมา เห็น ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ว่าดีก็เกิดอาการ "ปุ๋ยฟีเวอร์", กรณี "สมพงษ์ เลือดทหาร" เรื่อยมาจนกระทั่งล่าสุดก็เกิดอาการ "สมัครฟีเวอร์" "สังคมที่ดีจะมีหลักยึดของสังคมนั้น ๆ อยู่แล้ว สังคมไทยก็มีอะไรหลายอย่างที่ดีงามกว่าแนวทางของโพลเยอะ เช่น ศาสนา ธรรมะ และแนวทางที่ดียึดถือกันมา ถ้าสังคมใดมีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วก็จะไม่กังวลใจเลยว่าคนอื่น ๆ จะคิดอย่างไรกัน เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าแนวทางที่ดีเป็นอย่างไรและเชื่อมั่นในแนวทางนั้น แทนที่จะไปยึดอยู่กับว่าคนส่วนใหญ่คิดอย่างไร
"สมมุติว่าถ้าคนส่วนหนึ่งในสังคมเชื่อว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นดี แต่โพลออกมาบอกว่าผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าธรรมะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าไม่มีจริง
ผู้คนจึงพากันเปลี่ยนไปเชื่อตามคนส่วนใหญ่
ก็แสดงว่าสังคมนั้นไม่ดี ไร้แก่นสาร ไร้สาระ หรือผลของโพลที่ทำการสำรวจประชาชนทั้ง ๖๐ ล้านคน แล้วพบว่า ๕๐
ล้านคน
เห็นว่าความกตัญญูต่อพ่อแม่เป็นสิ่งที่ล้าสมัยไปแล้ว อีก ๑๐
ล้านคนที่เหลือ
ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเห็นคล้อยตาม สามารถที่จะลุกขึ้นมายืนยันความคิดของตัวเองได้
"ประชาชนไม่ควรไปจริงจังกับโพล อย่าไปเชื่อโพล ฟังพอสนุก ๆ ไป เราต้องเชื่อตัวเรา ถ้าเราตัดสินใจด้วยสติ การศึกษาข้อมูลข่าวสารรอบด้าน ใช้มโนธรรมในการตัดสินใจแล้ว คนส่วนใหญ่จะคิดอย่างไรก็ไม่มีความหมาย ถึงแม้โพลจะบอกว่ากระบวนการทำนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถเชื่อถือได้ แต่ผลของมันก็ไม่มีความหมายอะไรถ้าเรามีความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างอยู่อย่างหนักแน่น"
|